รุ่งเช้ามาถึง หลังจากฉัน – ไลล่า พาท่านวิเวียนไปส่งที่วิหาร ภารกิจที่มีเพียงฉันทำได้ก็เริ่มต้นขึ้น
หน้าที่ของฉันคือการสืบหาความจริง ทั้งจากคนและมอนส์เตอร์
แม้ท่านวิเวียนจะบอกว่าอย่าฝืนตัวเองมาก และให้เอาความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง แต่ใจหนึ่งฉันก็คิดอยากฝ่าฝืนคำสั่งนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าฉันเองก็ไม่อยากมีผลงานน้อยหน้ากว่าเด็กตัวกะเปี๊ยกที่ชื่อ ชินอะไรนั่น
ทักษะที่ฉันมีคือการสื่อสาร หากถามข่าวคราวจากผู้คนคงโดนสงสัยและไม่สามารถยืนยันได้ด้วยว่าบ้านลูเมนฮอฟมีสายอยู่ที่ไหนบ้าง
ดังนั้นหลังจากเปลี่ยนจากชุดพ่อบ้านที่ใส่ประจำมาเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวลายตารางหมากรุกกับกางเกงขาสั้นสีดำ มองเผินๆแล้วคงเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง และเลือกที่จะสืบข่าวคราวจากพวกสัตว์เป็นอันดับแรก
เดินเข้าไปในตรอก กลิ่นเหม็นของขยะที่ถูกทิ้งรุนแรงจนเตะกระแทกจมูกจนต้องนิ่วหน้า
เป้าหมายคือมาวจรจัดขนดำตัวหนึ่งกำลังคุ้ยหาอาหารในถังขยะที่ส่งกลิ่นอาหารเน่าเสียออกมา
มาว มันเป็นมอนส์เตอร์สี่ขา มีสองหู สองตาสีเหลืองเปล่งประกายเหมือนลูกแก้ว ที่ใบหน้ามีหนวดและมีขนที่หลากสีทั้งส้ม ดำ ขาว เทา ส่วนใหญ่จะมีสองสีขึ้นไปผสมในตัวเดียวกัน หากเทียบกับมอนส์เตอร์ทั่วไป ตัวมันก็เล็กและชอบไล่จับหนู
มนุษย์ชอบเลี้ยงมัน ทั้งที่มันเป็นพวกเอาแต่ใจ อยากนอนก็นอน อยากกินก็กิน พูดแบบนี้อาจฟังดูคล้ายๆมนุษย์ แต่แตกต่างตรงนี้แหละ…
มาว ไม่ต้องทำงาน แค่กิน เล่น นอน ขยายพันธุ์ไปวันๆ และมองมนุษย์เหมือนเป็นทาสที่หาอาหารมาบรรณาการมันทุกวัน
แต่กับมาวจรจัด มันกินของเหลือจากมนุษย์และที่อควาเดียก็มีสัดส่วนของมาวจรจัดมากกว่ามาวเลี้ยงมากเอาเรื่อง
“ว่าไง…”
ฉันไม่ได้ชอบมาว แต่ก็ไม่ได้เกลียด และการเข้าหามาวจรจัดที่ไวที่สุดคือเอาอาหารไปให้มัน
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงนำเงินที่ท่านวิเวียนมอบให้จำนวนหนึ่งไปซื้ออาหารที่เรียกว่าพิซซ่ามาให้มัน
มันทำท่าดมกลิ่นฟุดฟิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองฉันเหมือนถามว่ากินได้จริงๆเหรอ พอฉันพยักหน้ามันก็สวาปามอย่างเต็มที่
“นี่ ขอถามอะไรหน่อยสิ”
‘มีอะไร ยัยหนู’
“ชื่อไลล่า…”
‘ชื่อไม่มีความสำคัญกับพวกข้าหรอกนะ’
แตกต่างจากมาวเลี้ยงโดยสิ้นเชิงที่เชิดหน้าชูตากับชื่อที่ผู้เลี้ยงมอบให้
เอาเถอะ ฉันไม่ได้มาถกประเด็นความแตกต่างอะไรกับพวกมันสักหน่อย
“อืม เข้าใจแล้วล่ะ ฉันมีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับเมืองนี้หน่อยน่ะ”
‘แล้วพวกข้าจะได้อะไร’
มันแยกเขี้ยวและยิงคำถามที่เล่นเอาฉันอึ้งไปเลย ทั้งที่เมื่อกี้ก็เพิ่งกินไปแท้ๆ
“เครป ไซส์ใหญ่สุดอีกสองชิ้นค่ะ”
กลายเป็นว่าฉันต้องเจรจากับมันด้วยอาหาร
คำตอบของฉัน ทำให้มันแยกเขี้ยวอออกมาอีกรอบแต่ครั้งนี้มันเหมือนรอยยิ้มของพวกผู้มีอิทธิพลที่ประสบความสำเร็จในการข่มขู่เพื่อขูดรีดอย่างไรอย่างนั้น
‘คำถามของเจ้าคืออะไรกันล่ะ’
“เคยเห็นอะไรแปลกๆแถวนี้บ้างมั้ยคะ”
‘แปลกแบบไหน แบบไหนคือแปลก มนุษย์ที่ทำกิจกรรมสืบทอดทายาทในที่แจ้ง หรือว่ามนุษย์สักตัวสองตัวโดนจับโยนลงน้ำแทนการฝัง หรือจะเป็นมนุษย์จรจัดที่อดข้าวจนตาย อยากรู้เรื่องราวแบบไหนล่ะ’
ไม่ว่าข้อมูลอันไหนก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในเมืองที่มีนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาเช่นนี้ แต่ท่านวิเวียนไม่ได้มาขุดคุ้ยเรื่องโลกเบื้องหลังพวกนั้น
“เอ่อ ประมาณว่าคนที่แปลกๆ ไม่ค่อยได้เห็นหน้าหรือมีบรรยากาศแปลกๆก็ได้ค่ะ”
อ้อ ฉันได้ยินเสียงมันร้องทั้งที่มันไม่ได้ออกเสียงด้วยซ้ำ
‘ข้าได้กลิ่น มันไม่ใช่กลิ่นของมนุษย์ แต่ข้าก็ไม่รู้มันคือกลิ่นของตัวอะไร’
ฉันเผลอกลั้นหายใจ ไม่ใช่กลิ่นของมนุษย์…
ในฐานะที่ฉันก็ไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงเผ่าพันธุ์ที่รูปร่างคล้ายกับมนุษย์จึงพอเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่บ้าง แต่มาวเป็นมอนส์เตอร์ที่ประสาทสัมผัสเฉียบคมยังแยกแยะกลิ่นไม่ออก ก็อาจหมายความว่าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏตัวให้เจ้ามาวตัวนี้เห็นบ่อยนัก
“พอจะช่วยบอกรูปร่างของคนที่คุณเจอจะได้มั้ยคะ”
‘ข้าไม่รู้ ข้ารู้แค่ตัวมันมีกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งกว่าขยะ ร่างกายของบิดเบี้ยวได้ เดี๋ยวตัวเล็กบ้าง ตัวใหญ่บ้าง บางทีพวกมันก็สวมชุดเหมือนมนุษย์ชรา ทว่าบางทีก็สวมชุดเหมือนมนุษย์วัยเยาว์ที่เพิ่งตายไป เรื่องพวกนี้ใช่เรื่องที่เจ้าอยากทราบหรือเปล่า แม่หนู’
“อ๊ะ ค่ะ มีมากกว่านี้อีกหรือเปล่าคะ”
‘เครปเพิ่มอีกชิ้น’
“ห๊ะ?”
ฉันร้องเสียงหลง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้ามาวตัวนี้จะหน้าด้านหน้าทนรีดไถ่ฉันเพิ่ม แต่ในเมื่อมันเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี ฉันจะยอมก่อนก็ได้
‘มาวางต่อหน้าข้า’
“หา!?”
‘เอาเครปสามชิ้น มาวางต่อหน้าข้าเสียก่อน แล้วข้าจักตอบ’
…เป็นมาวที่นิสัยแย่ชะมัด พอเห็นมันวางท่าส่ายหางไปมาอย่างสบายใจ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกมีน้ำโห
ฉันเริ่มลังเลเมื่อนึกถึงสภาพของเงินกระเป๋าตังที่มีเหลือไม่มากนัก แต่ถ้าหากให้เลือกระหว่างงกเงินกับต้องเดินสุ่มหาแหล่งให้ข้อมูลใหม่ ก็คงต้องเลือกอย่างหลัง
ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ต้องยอมเดินไปซื้อเครปตามที่สัญญากับมันไว้
มันกินเครปของฉันอย่างรวดเร็ว บางทีมันคงไม่ค่อยได้กินอาหารแบบนี้มากนัก ตอนมันเงยหน้าขึ้นมาครีมที่ใช้ทำเครปยังคงเปื้อนปากมันเต็มไปหมด
ฉันไม่เช็ดให้หรอกนะ…
“อ เอ่อ พบเห็นอะไรที่แปลกปลอมไปมากกว่านี้อีกหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีแล้ว”
“อ้าว แบบนี้ก็แย่สิ”
แย่จริงๆแน่ ไม่ใช่แค่ในด้านข้อมูลเท่านั้นหรอก นี่ฉันโดนเจ้ามาวตัวนี้หลอกต้มตุ๋นหรือเปล่านะ
พอคิดแบบนั้น ใจก็ตุ้มๆต่อมๆ เหมือน
“แต่ว่า สหายของข้า อาจจะรู้”
ความหวังเล็กๆเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเดินตามเจ้ามาวสีดำพลางคิดในใจ
เกือบแล้วสิ เกือบบอกให้มันคายของคืนมาแล้วเชียว…
ฉันเดินตามเจ้ามาวขนดำเข้าไปในตรอก ยิ่งเข้าไปลึกกลิ่นเหม็นก็ยิ่งแรงขึ้นจนต้องนิ่วหน้าบ่อย ๆ
ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเช้า แต่พอเดินเข้าไปลึกกลับยิ่งรู้สึกถึงแสงแดดที่น้อยลงทุกที ในใจเริ่มคิดว่ามันจะอันตรายเกินตัวไปหรือเปล่านะ
ระหว่างทาง ฉันไม่เห็นผู้คนมากมายนัก ไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ จะมีก็เพียงแต่มนุษย์เพศชายที่เดินสวนกับฉันสองสามคนก็เท่านั้น
‘ยัยหนู เจ้ามาจากดินแดนแต่หนใด?’
“อ๊ะ เอ่อ อาณาจักรข้างๆนี่แหละค่ะ”
ที่ลังเลเล็กน้อยก่อนตอบก็เพราะคิดว่าถึงจะตอบไป มันก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
มอนส์เตอร์ส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถในการเข้าใจเรื่องพื้นที่อย่างมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ที่มีการพัฒนาด้านความคิดในรูปแบบใกล้เคียงกับมนุษย์ อย่างเช่นเผ่าของฉัน
หรือก็คือ มันมีเพียงความคิดที่ว่าอาณาเขตของมันคือพื้นที่ที่มันหากินและอาศัยอยู่ได้เท่านั้น
‘ยัยหนู เจ้าคงไม่ได้คิดอะไรเสียมารยาทอยู่ใช่มั้ย’
“เปล่า เปล่าค่ะ เปล่า”
ฉันเลิ่กลั่กมากเกินไปหรือเปล่านะ ถ้าทำให้เจ้ามาวตัวนี้ไม่พอใจ บางทีฉันอาจโดนเชิดค่าอาหารไปจริงๆก็ได้ ต้องรีบหาทางกลบเกลื่อนแล้วสิ
แต่โชคดีที่มันไม่ได้สนใจหรือใส่ใจเป็นพิเศษ หลังฉันตอบกลับมาก็พ่นลมส่งเสียงดัง หึ! ออกมาแรงๆแล้วเดินนวดนาดนำทางต่อไป
เจ้ามาวขนดำพาออกมายังพื้นที่ไม่พึงประสงค์ ที่แห่งนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นเท่ากับเส้นทางที่ผ่านมา แต่กลับมีบางสิ่งบางอย่างตั้งตระหง่านตรงหน้าฉัน
แม้จะไม่ได้ใหญ่ระดับคฤหาสน์ เป็นอาคารสองชั้นดูไม่ต่างจากร้านค้าภายนอก แต่การที่มีตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่น่ามีคนนี่แหละที่แปลก
มองจากการประดับตกแต่งด้วยสีสันฉูดฉาด เน้นตัวตนของอาคารให้เด่นชัดท่ามกลางพื้นเช่นนี้ และป้ายที่ติดไว้ด้านแบบเยื้องขวานิดหน่อยแถมยังมีรูปหญิงสาวแต่งตัวโชว์ทั้งท่อนบนและล่างอย่างจงใจ ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีที่ว่าสถานที่ที่มันพามาที่ไหน
‘ข้าเข้าไปไม่ได้ แต่พวกพ้องของข้าสามารถมุดรูเข้าไปได้ รอตรงนี้สักประเดี๋ยว แล้วข้าขอตัวไปตามพวกมันก่อน’
แล้วมันก็วิ่งหายไปในความมืด ทิ้งให้ฉันยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ
รอบตัวฉันมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ถ้าหากถามว่าสัดส่วนไหนมากกว่ากันก็คงเป็นเพศชาย บางแห่งฉันเห็นผู้ชายยืนลังเลเหมือนไม่กล้าเข้าหาอีกฝ่าย ขณะที่แห่งฉันก็เห็นพวกเขาเดินไปหญิงสาวและคุยกันเรื่องราคา
ฝ่ายชายมองเรือนร่างอีกฝ่ายด้วยสายตาแทะโลม ขณะที่ฝ่ายหญิงมองด้วยแววตาออดอ้อนราวกับขอร้องให้เลือกเธอ
ฉันไม่ควรจะอยู่ตรงนี้เลย แต่ก็ต้องยืนรอต่อไป
“นี่ หนุ่มน้อย”
“ค ค ใคร”
ได้ยินเสียงคนร้องทัก เธอเป็นหญิงสาวตัวสูง เส้นผมสีน้ำตาลยาวดัดเป็นลอนใหญ่ ร่างกายสวมใส่ชุดเดรสสีแดงเข้มทอประกายเหมือนนำดวงดาวมาประดับประดา ช่วงอกที่เว้นวางเหมือนหัวลูกศรที่ทิ่มลงพื้นนั้นเป็นเผยเนื้อผิวขาวนวลและเนินอกขนาดใหญ่ ท่อนล่างของชุดเป็นแบบแหวกขาเผยให้เห็นท่อนอวบสีขาวนวล
เรียกได้ว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีหุ่นดีเลิศจนฉันเทียบไม่ติด
“หนุ่มน้อย หลงทางเหรอจ๊ะ?”
เธอคงเป็นหนึ่งในหญิงสาวผู้ทำงานให้บริการเรื่องอย่างว่าในที่แห่งนี้ ในใจแอบกังวลและนึกกลัวเหมือนกันว่าจะโดนชักชวนเข้าไปทำเรื่องแปลกๆในสถานที่อันตรายแบบนั้นหรือเปล่า แต่ตอนนี้ต้องเดินหน้าต่อ
“ค คือว่า”
จังหวะนี้คงต้องพึ่งพาทักษะการแสดงที่ฉันเองก็ไม่ค่อยมั่นใจซะแล้ว
“ให้ช่วยหาผู้ปกครองมั้ย แต่พี่สาวก็ยังไม่เลิกงานด้วยสิ…”
เธอส่งเสียงอ่อนหวาน นิ้วข้างหนึ่งยกแตะแก้มทำท่านึกคิดอย่างเป็นธรรมาชาติ บางทีคงเป็นท่าทางที่เคยชินจากงานบริการประเภทอย่างว่า
“เดี๋ยวฉันให้คนในร้านช่วยเหลือก็แล้วกัน อย่างเพิ่งไปไหนนะจ๊ะ”
ว่าแล้วเธอก็จ้ำอ้าวเข้าไปในร้านทั้งที่รองเท้าสวมส้นสูงสีแดงเข้มเอาไว้
เธอดูเป็นคนดีกว่าที่คิด นั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจจนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
‘ข้าขอแนะนำสหายของข้าให้เจ้ารู้จัก’
ทีแรกฉันไม่ได้สังเกตดีๆ แต่ข้างหลังของเจ้ามาวขนดำมีมอนส์เตอร์อีกสองตัวยืนอยู่
ตัวหนึ่งเป็นสัตว์สี่ขาเหมือนมันแต่ตัวเล็กกว่า หางของมันไร้ขนแม้ร่างกายจะปกคลุมด้วยขนสีเทา เวลาไปไหนมาไหนมักเคลื่อนที่ผ่านช่องแคบเล็กๆระหว่างบ้านเรือน เป็นมอนส์เตอร์ที่ก่อโรคภัยได้ แม้จะตัวแค่นี้ และนั่นทำให้มันโดนมนุษย์รังเกียจไม่น้อยเลย
‘ด ดี จี้ด’
มันคือมอนส์เตอร์ที่ฉันเรียกว่า รัท แต่ท่านวิเวียนเรียกมันว่า หนู
ส่วนอีกตัวเป็นสัตว์ที่ยืนสองข้าง ตัวเล็กกว่าเจ้ามาว มันเป็นมอนส์เตอร์มีปีก มีจงอยปาก แถมยังแพร่พันธุ์ได้เร็ว ท่านวิเวียนเคยบอกว่าอย่าให้มันอยู่ในสวนบ่อยนักเพราะมันเองก็นำพาโรคภัยมาได้ไม่ต่างจากรัท
เวลาไปไหนมาไหน มันจะส่งเสียง กรู๊วๆ (เมื่อเทียบกับเสียงที่มนุษย์สามารถออกเสียงได้)
ชื่อของมันตามภาษาบ้านเกิดฉันคือ ปิ๊ลาบ แต่ท่านวิเวียนเรียกมันว่า นกพิราบ
‘สวัสดีกรุ๊ว’
มันทักทายพลางโยกหัวไปซ้ายทีขวาทีเหมือนระแวดระวังภัย อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
‘ข้ากำชับให้มันตอบทุกอย่างที่เจ้าถามแล้ว อยากจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเลย’
เจ้ามาวขนดำหาวหวอดใหญ่ก่อนจะกระโดดไปนั่งบนถังขยะหน้าสถานบันเทิง
พูดตามตรง หลังจากฉันโดนมันขูดรีดเสียขนาดนั้น ความเชื่อมั่นที่มีต่อคำพูดของมันก็เริ่มสั่นคลอนไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉันก็มีแต่ต้องลองดูเท่านั้น
“เอ่อ สวัสดีค่ะ ไลล่าค่ะ”
กรู๊ว
จิ๊ดจี๊ด
ทั้งสองส่งเสียงร้อง สายตาจับจ้องมาที่ฉันเหมือนเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถามในเรื่องที่ฉันอยากจะรู้
“ทั้งสองคนเคยเห็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรแถวนี้บ้างหรือเปล่าคะ”
เป็นคำถามรูปแบบเดียวกับที่ฉันถามเจ้ามาวไปก่อนหน้า ทั้งนี้ก็เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรวมถึงเผื่อได้มุมมองของข้อมูลใหม่ๆไปในตัว
‘จี้ด มีตัวกลิ่นประหลาด’
‘มีอาหารน่ากินเต็มไปหมด กรุ๊ว’
ฝ่ายปิ๊ลาบไม่ค่อยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ ขณะที่ข้อมูลที่รัทมีนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับข้อมูลของเจ้ามาวสีดำ ดังนั้นคงเชื่อถือได้
‘งู’ จี้ด…
งูเหรอ? จะว่าไป ตอนเดินทางมาท่านวิเวียนก็สั่งห้ามไม่ให้กินเนื้อของไจแอนท์ อนาคอนด้าตัวนั้นเพราะเกรงว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับอาหารการกินเกิดขึ้นได้
“งู มันทำไมเหรอคะ?”
‘อ่า เจ้างูนั่นสินะ’
คราวนี้ตัวที่ตอบคำถามของฉันไม่ใช่ทั้งรัทหรือปิ๊ลาบ แต่เป็นเจ้าแมวสีดำที่หาวหวอดใหญ่อย่างสายใจเฉิบ
ถึงจะแอบเคืองนิดๆที่มันไม่ยอมบอกให้หมดตั้งแต่ทีแรก แต่บางทีมันอาจจะเพิ่งนึกออกเพราะเจอเพื่อนสองตัวนี้ก็ได้ คงโกรธมันไม่ได้หรอก…
ท่าทีสบายใจแบบนั้น น่าโมโหเสียจริง
ฉันพยายามไม่แสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า ทว่าเจ้ามาวดำกลับทำสีหน้าเหมือนยิ้มเยาะ
‘หึ อย่าโกรธเคืองกันแล้ว ที่แห่งนี้มีสัตว์แปลกๆเพิ่มเข้ามาและหายไปเป็นเรื่องประจำ ข้าแค่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ จนเจ้าสองตัวนั้นมันพูดนั่นแหละ’
เหมือนฉันจะโดนอ่านใจได้ อับอายชะมัด อยากโวยวายกับใครสักคน แต่ตอนนี้คงต้องอดทนไปก่อน กลับไปถึงห้องแล้วจะโวยวายให้เต็มที่เลย คอยดูสิ
‘ข้าเจอเจ้างูเมื่อหลายวันก่อน ข้าจำได้ว่ามันแนะนำตัวว่าเป็นผู้พลัดถิ่นมายังที่แห่งนี้ ร่างกายของมันค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้พวกข้าต้องเดือดร้อนกับการหาอาหารให้มันที่ไม่มีปัญญาหากินเองบ่อย แต่อยู่มาวันหนึ่งมันก็หายไป…’
ว่ากันว่าสายตาของสิ่งมีชีวิตที่เข้าใกล้กับเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จะสามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ และมาวก็เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากขั้นนั้นมาก ทว่ามันในตอนนี้กลับจ้องมองฉันราวกับกำลังคาดหวังการตอบสนองของฉัน
อะไรกันนะ? มันอยากจะพูดอะไรกันแน่ ฉันเดาไม่ถูกจริงๆ
‘จู่ๆมันก็กลับมา ตัวของมันใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่นิสัยยังคงเหมือนเดิม ทำให้พวกข้ารู้ว่าคือมัน มันบอกพวกข้าว่ามันมีแหล่งอาหารดีๆอยู่ แต่ข้าได้กลิ่นไม่น่าไว้วางใจจากพวกมนุษย์ในอาคารหลังนั้น ข้าจึงไม่ได้ตามมันไป ทุกครั้งที่มันกลับมาจากอาคารหลังนั้น ตัวของมันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกมนุษย์ก็ช่างโง่เขลาเหลือแสน เจ้างูตัวใหญ่จนแทบเข้าประตูไม่ได้ ยังมองไม่เห็นกันอีก’
จากเรื่องเล่าของเจ้ามาว บางทีมนุษย์พวกนั้นคงไม่ได้มองไม่เห็นตอนที่งูตัวนั้นเข้าไปหาอาหาร แต่อาจจะมีเป้าหมายซ่อนเร้น เช่น กำลังจับตาดูพฤติกรรมของเจ้างูตัวนั้นเพื่อศึกษาอะไรบางอย่าง หรือบางที…
‘ยัยหนู! ระวัง!’
ตอนที่ฉันกำลังเหม่อและคิดกับเนื้อหาทั้งหมดที่ได้มา เจ้ามาวสีดำก็ตะโกนพลางส่งเสียงขู่ร้องดัง ‘ฟ่อ!’ ใส่บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ทางด้านหลังของฉัน
ผลั่ก
เสียงทึบๆดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่ล้มลง
รู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเองทั้งที่แรงกระแทกนั้นส่งผลกับฉันโดยตรง
โอ๊ย…
ท้ายทอยรู้สึกเจ็บปวดแถมยังร้อนเหมือนโดนเหล็กหนาๆรนไฟแล้วมานาบที่คอ ตอนนี้ถึงจะอยากร้องแต่กลับไม่มีเสียงใดออกมา
ใบหน้าซีกซ้ายสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบจากพื้นถนน ดวงตามองเห็นเจ้ามาวขนสีดำกำลังยืนขู่อะไรบางอย่างก่อนจะโดนถุงผ้าคลุมตัวแล้วจับไป จมูกได้กลิ่นของสถานที่อโคจรที่รุนแรง แต่ตอนนี้ถึงอยากจะกลั้นหายใจเพื่อรับมือก็ทำไม่ได้แล้ว
ฉึก…
เหมือนมีบางอย่างจิ้มที่แขนของฉัน ของเหลวบางอย่างถูกฉีดเข้าร่างกาย
เปลือกตาเริ่มหนัก สติเริ่มพร่าเลือน อ่า… ฉันเริ่มไม่ได้ยินอะไรแล้ว
ร่างกายที่รู้สึกได้ถึงอันตราย มันพยายามร้องเตือนให้ฉันลุกขึ้นและหนีไป
ทำได้ที่ไหนกันเล่า! อยากตะโกนบอกเช่นนั้นกับร่างกายที่อ่อนแอนี้เหลือเกิน
แต่ว่า…
ช่วยด้วย ท่านวิเวียน คุณอาร์เจนตา
ได้โปรด ค้นหาฉันให้เจอที
MANGA DISCUSSION