แสงตะวันบ่งบอกเวลารุ่งอรุณทอแสงลงบนอควาเดีย เมืองแห่งสายน้ำลืมตาตื่นจากช่วงเวลานอน บ้างลุกขึ้นมาเตรียมการค้าขายเพื่อเก็บเกี่ยวโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันสำคัญ บ้างก็เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ปล่อยตัวไปสุดเหวี่ยง บ้างก็ยังคงหลับสนิทภายใต้ผ้าห่มและท่องไปในห้วงฝัน ดินแดนที่ไม่มีใครอาจรุกล้ำได้
ที่เนินเขา อันเป็นสถานที่ตั้งของวิหารเล็กๆ ภายในวิหารนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังแต่งตัวเพื่อเข้าพิธีสำคัญในวันนี้
ผู้หญิงที่ว่า คือวิเวียนกำลังเปลี่ยนชุดจากชุดนอนที่เหมือนผีสาวตามภาพจำของคนทั่วไปเป็นเสื้อเดรสสีขาวยาว คอเสื้อเว้าลงไป เผยให้เห็นเนินอกโค้งเว้าได้ทรวดทรงที่งดงาม แขนเสื้อปกปิดผิวขาวผ่องเหมือนหิมะตกใหม่ของเธอได้มิดชิด ส่วนท่อนล่างยาวพลิ้วจนชายเสื้อลากไปกับพื้น มองเผินๆแล้วเหมือนร่างเธอห่อหุ้มม่านแสงจากฟ้า ทรงพลังอำนาจจนไม่กล้าแตะต้อง ประกอบกับรูปลักษณ์ภายนอก รวมไปถึงหน้าตาที่งดงามของเธอ เพียงแค่เธอยิ้ม เหล่าฝูงชนก็ไม่กล้าตั้งข้อสงสัยว่าเธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงหรือไม่
ในทางกลับกัน หากมีผู้ใดคิดตั้งข้อกังขาขึ้นมา ฝูงชนที่เหลืออาจมองว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนนอกรีตที่สวรรค์พร้อมจะลงทัณฑ์ได้เลยทีเดียว
“เอาล่ะ เหลือแค่มงกุฎมะกอก”
เธอมองตัวเองในกระจก หันซ้ายหันขวาสองสามที จากนั้นก็หยิบมงกุฎช่อมะกอกสีเขียวที่วางไว้บนแท่นไม่ห่างจากตัวขึ้นมาสวมบนหัว และคว้าดาบฝักทองขึ้นมาประดับที่เอว
หึบ เธอสูดลมหายใจเขาลึกๆเพื่อปรับอารมณ์ตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้นในใจให้ลดลงไป
แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้มีอิทธิพลต่อความศรัทธา ดังนั้นจึงไม่ควรมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
ก้าวแรกที่ออกมาจากวิหาร ผู้คนในชุดนักบวชสีขาวต่างส่งเสียงสรรเสริญ
ก้าวที่สอง ผู้คนในชุดนักบวชเริ่มคุกเข่า แสดงท่าทางเคารพบูชา
เวลานี้คือยามเช้า แสงตะวันที่สาดส่อง ไม่เคยลำเอียงต่อการมอบความอบอุ่นและแสงสว่างให้แก่ผู้ใดบนพื้นโลก
ทว่าบัดนี้ แสงนั้นกลับมีอยู่เหมือนเพื่อเสริมความงดงามให้เธอแต่เพียงผู้เดียว
การปรากฏตัวของเธอท่ามกลางแสงอรุณ งดงามราวภาพวาด เส้นผมสีทองต้องแสงตะวัน ทอประกายดังดวงดาวพร่างพรายบนท้องฟ้า ท่อนแขนและขาผิวขาวผ่องที่พ้นเนื้อผ้าบางส่วนออกมาส่องสว่างราวกับไม่ใช่มนุษย์บนโลกนี้
เป็นฉากปาฏิหาริย์ที่เกิดจากความบังเอิญ ถึงกระนั้นไม่มีผู้ใดคิดตั้งคำถามกับตัวตนที่งดงามดุจเทพธิดาเลยแม้แต่น้อย
…
ภายในเมืองอควาเดีย สายน้ำยังคงไหลไป ไม่มีวันย้อนกลับมา
เสียงอันแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของเมืองท่าเล็กๆที่มีอาณาเขตติดกับทะเลอันกว้างใหญ่ยังคงดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน
ทว่า
เหล่าพ่อค้าเองล้วนดีใจ
เหล่าประชาชนล้วนตื่นเต้น
แม้ศรัทธาของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่ด้วยตัวตนที่พวกตนเคยได้ยินในฐานะเรื่องเล่า ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์’ ต่างทำให้ผู้คนหลั่งไหลและยืนเฝ้ารอขบวนเสด็จของวิเวียนกันอย่างหนาแน่น เต็มสองฝั่งของสายน้ำที่ผ่ากลางเมือง
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ เสด็จแล้ว!”
เสียงของชายผู้หนึ่ง เป็นชายไร้นาม เป็นเพียงชายที่ไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป เพียงแต่เขาได้รับหน้าที่ให้ส่งสัญญาณ
เสียงของชายผู้นั้นดังไม่ได้ไกลนัก แต่ข้อความที่เขาต้องการสื่อสารนั้นส่งต่อไปเป็นทอดๆ ทำให้ทั่วทั้งเมืองมีเสียงพูดคุยกันมากขึ้น ก่อนที่ทุกสรรพเสียงจะหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อร่างเงาของนักบวชผู้เดินหัวแถวปรากฏตัว
จากนั้น – ราวกับเสียงที่กักกั้นไว้ระเบิดออกมา เมื่อร่างอันสง่างามของหญิงสาวผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น
ขบวนเสด็จของวิเวียน มีการจัดรูปแบบที่เรียบง่าย โดยให้วิเวียนอยู่ตรงกลาง สองฝั่งซ้ายขวาของเธอมีทหารอาสาจากศาสนจักรมาประกบ ทำหน้าที่ทั้งถือธงและเป็นผู้อารักขาในยามจำเป็น
เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพบูชา สรรเสริญต่อความศักดิ์สิทธิ์และความงามระเบิดออกมาอย่างไม่ขาดสาย
วิเวียนเดินด้วยเท้าเปล่า ย่ำไปบนพื้นถนน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคงไม่หวั่นไหวและแฝงไปด้วยความสง่างามและความศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่ง แผ่รัศมีออกมาราวกับขีดเส้นกั้นไม่ให้ผู้ใดล้ำเส้นเข้าไปได้
ทว่า เส้นเขตแดนที่กั้นขึ้นมาไม่อาจใช้ได้กับความเยาว์วัย
เด็กชายคนหนึ่ง เดินเข้าไปภายในขบวนได้โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว เป็นช่วงเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่ประมาทไป
วิเวียนก้มลงมองเด็กชายที่ดึงชายชุดเดรสที่ปล่อยยาวลากไปกับพื้น เสียงของนักบวชผู้เดินนำขบวนสั่งให้หยุด ทหารอารักขาทั้งสองต่างจับดาบเพื่อพิทักษ์นายเหนือหัว ทว่าวิเวียนกลับยกมือห้ามเอาไว้ด้วยท่าทางสงบและอ่อนโยน ขณะที่ก้มมองแขกตัวน้อยผู้ไม่ได้รับเชิญ ผู้ซึ่งตอนนี้ทำหน้าเหยเกพร้อมร้องไห้เต็มที
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย พ่อหนุ่มตัวน้อย”
สุรเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความสงบนิ่ง หากให้เปรียบ คงเป็นน้ำใสที่ไม่มีสิ่งใดลงมากระทบ
ทั่วทั้งเมืองต่างเงี่ยหูฟัง รอยยิ้มที่เธอมีทำให้ความเยาว์วัยที่เผชิญหน้าลืมความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้น ก่อนที่แม่ของเขาจะเข้ามาอุ้มเด็กชายออกไปจากเส้นทางของขบวน
การเดินขบวนอันศักดิ์ศรีดำเนินต่อเนื่องไป เริ่มจากฝั่งซ้ายวนไปยังฝั่งขวา ด้วยท่าทีอันสงบของวิเวียนที่ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก การเคลื่อนไหวภายใต้เงาที่มีวิเวียนเป็นแสงสว่างก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เช้าเวลาเช้าตรู่ ก่อนที่ขบวนเสด็จของวิเวียนจะเริ่มต้นขึ้น ไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่อยากรับรู้ แต่รวมไปถึงเผ่าพันธุ์อื่น ๆที่แอบหลบซ่อนในเงามืดของเมืองนี้
พวกมัน คือภัยที่แม้แต่วิเวียนก็ไม่รู้มาก่อนว่า จะอุกอาจกล้าลงมือได้ถึงขนาดนี้
ชายคนหนึ่งในชุดพ่อบ้าน ยืนรอคอยการมาของขบวนเสด็จ
แม้รูปร่างจะคล้ายมนุษย์แต่มันก็ไม่ใช่มนุษย์ กล่าวให้ถูกต้องคือ มันเพียงยืมรูปร่างของมนุษย์ที่เคยสังหารมาเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
มัน ไม่แน่ใจเรื่องของวิเวียนมากนัก เมื่อวานที่เผชิญหน้ากันไม่นานไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้ ดังนั้นเป้าหมายครั้งนี้จึงเป็นการเฝ้ามองและทดสอบอะไรเพียงเล็กน้อย
แม้จะต้องรอนานสักหน่อย แต่หากยืนยันได้ว่าหญิงสาวเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จริงๆก็คุ้มค่าที่จะเฝ้าระวัง
ด้วยเหตุนี้ มันจึงเปลี่ยนแปลงร่าง
จากชายวัยชราในชุดพ่อบ้านสุดเนี้ยบ กลายเป็นเด็กผู้ชายในชุดซ่อมซ่อ เหยื่อคนล่าสุดที่มันเพิ่งลงมือสังหารเมื่อไม่นานมานี้ เป็นร่างที่เหมาะแก่การแสดงบทบาทน่าสงสารเป็นที่สุด
เมื่อเวลาลงมือมาถึง มันก็แค่แกล้งหกล้ม
นักบวชที่ไร้ฝีมือกับทหารอารักขาไร้คุณภาพ ปัจจัยทั้งหมดไม่ได้อยู่ในสายตาของมันเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ มันมองคนเหล่านั้นไม่ต่างอะไรจากมดปลวก
จากนั้นก็สะกดจิตหญิงสาวสักคนแถวนั้นให้แกล้งมาเป็นแม่ เท่านี้แผนการทั้งรุกและถอยก็ครบถ้วน
ทว่า ตอนที่มันได้เผชิญหน้าจริงๆ ตอนที่ระยะห่างกันแค่เอื้อมมือ มันกลับรู้สึกกลัว
การปลอมตัวของตัวเองแนบเนียน ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะโดนจับได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังหวาดกลัวต่อตัวตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์คนนี้
ต้องระวัง สัญชาตญาณเตือนบอก
ตนเองไม่อาจเอาชนะ หากต้องปะทะกันตรงๆ ตนเองต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และหายไปอย่างแน่นอน
เพราะผู้หญิงคนนี้ คือของจริง นั่นคือสิ่งที่มันยืนยันได้ด้วยตัวเอง แต่ถึงกระนั้นตัวมันก็ยังคงอยากทดสอบอะไรบางอย่าง
ความเยาว์วัยจอมปลอม หายตัวไปท่ามกลางฝูงชน ร่างกายเริ่มบิดเบี้ยวกลับสู่ร่างพ่อบ้านชราที่ตนใช้เป็นประจำอีกครั้ง
…
ผมได้ยินเสียงระฆังดังจากในเมือง วิเวียนคงทำหน้าที่ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้สักพักแล้ว หากผมจำกำหนดการณ์ไม่ผิดคงเป็นช่วงที่เธอจะต้องขึ้นไปพูดต่อสาธารณชน แต่ผมไม่ได้มีโอกาสไปฟังเพราะผมเองก็มีหน้าที่ต้องทำเช่นกัน
เบื้องหน้าของผมในตอนนี้คือเด็กสาวสองคน หากวัดกันตามมาตรฐานด้านฐานะในโลกก่อน พวกเธอไม่ใช่กลุ่มคนที่ผมจะมีโอกาสเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
เบื้องหลังของผมคือ อาร์เจนตา เมดสาวผมสีเงินแซมดำ ที่เมื่อวานเราเพิ่งไปเดินเที่ยวด้วยกัน ทว่าในวันนี้เธอติดตามผมมาในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งของบ้านเอเวอร์ไลท์ตามเงื่อนไขที่เธอยื่น
เงื่อนไขที่ว่าก็คือ ต่างฝ่ายต้องมีผู้ใหญ่อยู่ในสายตา แน่นอนว่าวิเวียนมีกำหนดการของตัวเองอยู่แล้ว เธอจึงมาไม่ได้ ส่วนไลล่าก็ไม่เป็นผู้ใหญ่พอเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คนที่ติดตามผมจึงเป็นอาร์เจนตา
เสียงแก้วกระทบโต๊ะ เสียงนกออกหากินยามเช้าร้อง กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ที่ล้อมรอบตัว อันที่จริงผมก็อยากจะสนใจพวกนั้นอยู่หรอก แต่ตอนนี้ผมต้องพยายามคิดหัวข้อมาคุยกับสองคนนี้ให้ได้โดยที่เฮนริค ผู้เป็นพ่อของทั้งสองคนจะผิดสังเกตเสียก่อน
อะแฮ่ม ผมกระแอมไอเพื่อปรับอารมณ์ พอนึกขึ้นมาได้ว่าท่าที่นี้เป็นอาการที่ติดมาจากวิเวียนก็นึกเขินจนตัวร้อนเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจชวนคุย
“คือ เอ่อ ปกติชอบทานอาหารประเภทไหนกันเหรอครับ”
แม้ผมจะอายุยี่สิบจากภายใน แต่การชวนคุยสักคนใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เดิมทีที่โลกก่อนผมก็ไม่ใช่คนชวนคุยอะไรเก่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกคำถามที่น่าจะเป็นหัวข้อที่ชวนคุยได้ง่ายที่สุด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาสำหรับผมเหมือนจะออกฝั่งตรงกันข้าม
ลูน่าหัวเราะเบาๆ ส่วนเอรี่ก้มหน้าหงุดไม่ยอมเงยหน้ามาตอบผม
“อะไรก็ได้ ฉัน…ไม่สิ ดิฉันท่านอะไรก็ได้หมดนั่นแหละ”
ลูน่าไม่คิดจะถนอมถ้อยคำหรือท่าทางที่ดูดีเหมือนลูกคุณหนูเอาไว้ เธอกล้าตอบออกมาตรงๆ กลับกันแล้วเอรี่ ที่ผมเคยรู้จักกลับดูมีท่าทีเหมือนไข่ในหินเสียมากกว่า
เธอยังคงไม่กล้าตอบ ก้มหน้ามองพื้น ปากเหมือนพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจับใจความสำคัญได้
“ขอเรียกว่า คุณชิน คงได้ใช่มั้ย”
“อ เอ่อ ครับ”
กลายเป็นบทว่า บทสนทนาของเราสามคนเหลือสองคน โดยมีลูน่าเป็นคนชี้นำหัวข้อการคุยไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินที่ผมเป็นคนเกริ่นก่อน เธอก็เริ่มสอบถามถึงเมนูโปรดของผม
“พิซซ่าล่ะมั้งครับ”
จากนั้นก็เป็นเมนูโปรดของเอรี่ เธอตอบอย่างรวดเร็วเมื่อคนถามเป็นพี่สาวของเธอ
“ข ของหวาน!”
เสียงเล็กๆ น่ารักชวนให้นึกถึงสัตว์จำพวกกระรอกไม่ก็กระแตดังขึ้น พอมาคิดดูอีกที อายุของผมกับเธอไม่น่าห่างกันนัก
ต่อมาลูน่าก็เริ่มสอบถามเรื่องงานอดิเรก
“อ่านหนังสือ”
“อ่านหนังสือ…”
ทั้งผมและเอรี่ต่างตอบขึ้นพร้อมกัน แต่คำตอบของเธอกลับทำให้ผมแปลกใจ
ผมเคยคิดว่าที่เธอห่างหายไปจากผม ไม่มาเล่นที่บ้านผมเพราะมองว่าผมเป็นคนน่าเบื่อที่เอาแต่หมกตัวอยู่กับกองหนังสือเสียอีก
ในเมื่อเธอเองก็ชอบหนังสือ บางทีข้อสรุปอันเกิดจากความคิดของผมเพียงฝ่ายเดียวอาจจะไม่ถูกต้องและไร้สิ้นซึ่งความแม่นยำ
และถึงแม้ผมจะไม่ได้เอาเรื่องที่เด็กสักคนจะไม่สนใจผมมาใส่ใจอยู่แล้ว แต่ประสาทสัมผัสของผมกลับบอกว่าเรื่องของเธอเป็นสิ่งที่ผมจะมองข้ามไม่ได้ คงคล้ายกับเวลายอดนักสืบในนิยายเจอเบาะแสสำคัญแม้หลักฐานจะเลื่อนลอยแค่ไหนก็ตาม
อาจเป็นไปได้เช่นกันที่ช่วงเวลาเกือบปี เธอจะเปลี่ยนแปลงไปจนบังเอิญมามีความชื่นชอบที่คล้ายกัน
แต่ผมไม่ได้กล่าวความคิดเห็นเช่นนั้นออกไป และประจวบกับจังหวะนั้น ลูน่าก็พูดขึ้นมาพอดิบพอดี
“แหม บังเอิญจังเลยนะ เหมือนเป็นเนื้อคู่กันเลย”
จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังหาสาเหตุที่ทำให้ลูน่าตัดสินใจมาเป็นลูกสาวของบ้านลูเมนฮอฟไม่เจอ จริงอยู่ที่ว่าเธอมีส่วนคล้ายกับเฮนริค อย่างเช่นสีผมหรือดวงตาที่คล้ายคลึงกัน จนถ้าหากบอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็ไม่มีใครไม่เชื่อ
แต่ถ้าหากสมมติฐานที่ว่าทั้งสองคนเป็นพ่อลูกกันเป็นจริง ก็ยังมีคำถามที่ตามมาว่าทำไมทั้งสองคนถึงแยกจากกันในระยะเวลาหนึ่ง และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นทำไมลูน่าถึงเลือกที่จะกลับมาอีกครั้ง
ผมลองตั้งคำถามแบบวายดันอิทในหัว แต่น่าเสียดายที่สติปัญญาของผมไม่ได้มีมากเพียงพอจะตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไปได้แบบยอดนักสืบในนวนิยายที่เคยอ่าน
และพอมองรอยยิ้มของเธอในเวลานี้ มันยิ่งทำให้ผมคิดว่าการจะอ่านใจลูน่าที่ผมเองก็ไม่ได้รู้จักเธอดีมากนักเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อย
“เนื้อคู่…”
ได้ยินเสียงพึมพำแสนแผ่วเบา แต่หาใช่เสียงของเอรี่ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้ามองพื้น แก้มทั้งสองข้างย้อมด้วยสีแดงก่ำเหมือนลูกมะเขือเทศสุก
เสียงที่พึมพำนั้นมาจากทางด้านหลังของผม เป็นจุดที่ไม่มีใครอื่นยืนอยู่นอกเสียจากอาร์เจนตา
ผมมองหน้าลูน่าที่ตอนนี้ยิ้มอย่างท้าทาย ดวงตาของเธอส่องประกายวาววับเหมือนกำลังเฝ้ารอคำตอบที่เข้าท่า แตกต่างจากเด็กสาวข้างๆที่ตอนนี้ขยุ้มกระโปรงจนเกิดเป็นรอยยับ
ไม่ใช่การประชันตอบคำถามเสียหน่อย และก็ไม่ใช่ช่วงเวลาของนักสืบที่จะไขคดีด้วย ตัวเลือกของผมมีเยอะแยะ
“แล้วลูน่า คุณชอบอะไร”
ผมเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการถามกลับไป และผมคงเลือกไม่ผิด เหมือนลูน่าหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“อยากรู้เหรอ”
“อืม ผมอยากรู้”
“ถ้าฉันตอบว่าหนังสือ ก็เท่ากับว่าเราเป็นเนื้อคู่กันสิเนอะ”
พูดแล้วเธอก็หัวเราะ ยิ่งเธอหัวเราะ แรงกดดันที่ผมสัมผัสได้จากทางด้านหลังก็ยิ่งมากขึ้นจนอยากบอกให้เธอหยุดพูดหยอกล้อเสียที
“เอ่อ…อืม ก็คงใช่”
“นายมัน ไม่รู้เลยว่าไม่ฉลาดหรือว่าบ้ากันแน่”
หากเลือกได้ก็คงอยากเลือกอันแรกมากกว่า อย่างน้อยมันก็น่าจะพอพัฒนาขึ้นได้แหละน่า…
เป็นอีกครั้งที่ไม่ได้พูดออกไป แต่ปล่อยให้ลูน่าเป็นคนชักจูงบทสนทนา
“นี่ ชิน”
“มีอะไรเหรอครับ”
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใครกันแน่”
“ลูนาเรีย ลูเมนฮอฟ นั่นคือชื่อของคุณ แค่นั้นก็เกินพอสำหรับผมแล้ว”
คำของผมแฝงคำโกหกส่วนหนึ่งเอาไว้ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากรู้ว่าเธอมาทำอะไรตรงนี้ แต่หากเรื่องนั้นเป็นความลับส่วนตัวที่เธอไม่อยากเล่า ผมก็จะไม่พยายามบีบบังคับให้เธอคลายมันออกมา
“ฉันตัดสินใจแล้ว”
ได้ยินเสียงเธอบอกแบบนั้นด้วยน้ำเสียงแสนแน่วแน่ พร้อมกับลุกขึ้นมา
สายตาของเอรี่และผมจับจ้องเธอพร้อมกัน บางทีเราสองคนคงเกิดสงสัยอย่างพร้อมเพรียงกันว่าลูน่าคิดจะทำอะไร
“ไปเดตกัน”
กล่าวเช่นนั้นแล้วขยิบตา ทำท่าทำทางเหมือนจะมีประกายวิ้ง ๆออกมา
คำพูดที่ส่งออกมาของลูน่าทำให้ทั่วบริเวณเงียบไประยะหนึ่ง ก่อนที่
“ห๊ะ?” ผมร้อง อ้าปากค้าง หากเมื่อสักครู่ดื่มน้ำไปคงสำลักแน่
“ฮึ่ม” อาร์เจนตาคำรามในลำคอเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำพูดนั้น
“อ่ะ…” เอรี่ตบโต๊ะลุกขึ้นยืนราวกับต้องการจะประท้วงว่าไม่เห็นด้วย
ทั้งผม อาร์เจนตาและเอรี่ต่างร้องส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาพร้อมกันต่อหน้า ทว่าลูน่าหาได้สนทีท่าของพวกเราไม่
เธอยิ้ม หันมาเผชิญหน้าผม ส่งสายตาพลางยิ้มเยาะเหมือนจงใจให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
“ก็ นั่นไง ทดลองคบหาดูใจก่อนแต่ง”
ไม่รู้ว่าเธอตีความคำว่าเดตเป็นยังไง แต่จากสายตาที่มุ่งมั่นแน่วแน่ปนความท้าทายนั้น ผมรู้สึกได้ว่าเป้าหมายของเธอคงไม่ใช่การเดตแบบปกติแน่ และอันที่จริงเธอคงไม่ได้คิดจะคบหาดูใจอะไรนั้นเลยด้วยซ้ำ
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอต้องใช้ข้ออ้างแบบนั้นกันแน่นะ
คิดมากไปกว่านี้ ผมคงไม่ได้อะไรเพิ่มเติม ดังนั้นคำตอบเพียงหนึ่งเดียวก็คือ
“ได้ ผมตกลง”
และด้วยความอยากรู้อยากเห็นนี้ ผมจึงตอบรับปากของเธอไป
ทว่า ในวินาทีถัดมาสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น
“ช ชั้น ขอไปด้วย…ค่ะ”
เอรี่ที่นิ่งเงียบมาตลอดกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามองผม
“ชั้นจะไปกับชินด้วย…”
การตัดสินใจที่แม้แต่ลูน่าเองก็ยังอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่เธอจะปิดปากและคลี่ยิ้ม
หากหูไม่ได้ฝาดไป เหมือนผมได้ยินเธอพูดว่า ก็น่าจะสนุกดีนี่หน่า ออกมา
จากคนเขียน: เสาร์ อาทิตย์ เป็นตอนชิวๆ กับหน้าฝนของประเทศไทยครับบบ
MANGA DISCUSSION