ผู้คนในเมืองส่งเสียงดังรับยามเช้า พ่อค้าแม่ค้าเริ่มส่งเสียงเรียกนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมา ฉันที่ตื่นเช้ามา พบเฮนริคนอนข้างกายกัน
ตั้งแต่เขารู้ว่าฉันตั้งครรภ์ ท่าทีบนเตียงของเขาก็อ่อนโยนขึ้นรวมถึงกิจกรรมที่เรามักทำร่วมกันก็ลดน้อยลง จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงการจูบกันก่อนนอนเท่านั้น
ร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงทารกที่กำลังเตะจากในท้อง แอบคิดว่ามันเร็วเกินไปเหมือนกันแต่ก็อาจแปลได้ว่าลูกคนที่สองคนนี้แข็งแรงดี ดังนั้นฉันจึงเลือกมองในแง่ดีแล้วลูบท้องเพื่อส่งสัมผัสของฉันไปหาเขา และบอกว่าฉันเองก็รักเขาเหมือนที่เขาคงจะรักฉัน
ตอนนี้ได้เวลามื้อเช้า พอคิดได้เช่นนั้นก็ลงจากเตียง ฝ่าเท้าเปลือยที่สัมผัสกับความหนาวเย็นทำให้สะดุ้งเล็กน้อย คงต้องระวังหน่อยไม่ให้หกล้มเพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวฉันและเขาที่ยังเดินเองไม่ได้
ฉันพยุงร่างกายหนักอึ้งของตัวเองกับหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นลงจากเตียง มุ่งหน้าออกจากห้องแล้วเดินไปยังครัว ตระเตรียมมื้อเช้าของเราสามคน
ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวเล็กๆมาตลอด ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อน
สมาชิกในบ้านของเรามีเพียงคนสามคน ไม่มีใครเป็นคนกินเก่งจึงไม่ต้องตระเตรียมอาหารในปริมาณมาก และสามารถเน้นไปที่รสชาติได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ เฮนริค เขาก็ยังเป็นผู้นำที่ดี แม้เขาจะทำอาหารไม่เก่งแต่ด้วยความสามารถทางการค้าขายของเขาจึงสามารถจัดหาวัตถุดิบคุณภาพดีมากักตุนได้มากมาย ถึงแม้บางทีฉันจะคิดว่าเขาใช้วิธีรุนแรงในการเจรจาไปบ้างก็ตามที
“ตื่นแต่เช้านะเลยนะ ที่รัก”
ระหว่างที่ฉันกำลังหั่นผัก เสียงของเฮนริคผู้เป็นที่รักก็กระซิบที่ข้างหู แขนสองข้างของเขาโอบลอบเอวที่ขยายขึ้นมาของฉัน
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านไร้ชื่อที่ฉันจากมาบอกว่า หากมีลูกเป็นคนที่สอง ร่างกายจะเสียทรงได้ง่ายๆ ดูท่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดกับฉันเช่นกัน เพียงแต่เดิมทีฉันเป็นคนตัวผอม ต่อให้ขยายขึ้นมาในระยะนี้คงเป็นความอวบระดับหนึ่งเท่านั้น
“อย่าสิคะ คุณ ฉันถือมีดอยู่นะ”
ฉันกล่าวตักเตือนเขา ทั้งที่ตัวเองก็กำลังอมยิ้มกับนิสัยที่จะว่าโรแมนติคก็ถูกต้อง แต่จะว่าเอาแต่ใจก็แม่นยำ
“ผมก็แค่กอดภรรยาของตัวเอง ผิดตรงไหนกัน”
“ผิดที่ฉันถือมีดอยู่ เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเอาได้นะคะ”
“หึหึ งั้นผมจะจูบคุณไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะยอมเลือกผมมากกว่ามีดเลย”
ที่แก้ม สัมผัสได้ถึงความสากจากหนวดของเขา ฉันย่นคอเล็กน้อยด้วยความจักจี้
ที่เอว รู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงที่เพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย มือของฉันที่ยังหั่นผักไม่เสร็จหยุดไว้ตรงนั้นแล้วเลื่อนลงไปสัมผัสกับหลังมือของเขา
“หลังจากนี้ เรามีลูกเพิ่มกันอีกสักสองคนดีมั้ย”
“แบบนั้น เอรี่ก็จะไม่เหงาสินะคะ”
ในหัวของฉันพลันนึกภาพที่มีเด็กเล็กวิ่งเต็มบ้านโดยมีเอรี่ยืนมองในฐานะลูกคนโต ในวันนั้นเธอคงปวดหัวที่ไม่สามารถรับมือกับเหล่าเด็กแสนซนได้
เพียงแค่จินตนาการก็มีความสุขเอ่อล้นขึ้นมา
ริมฝีปากของเราสัมผัสกันโดยที่ฉันไม่ตั้งตัว ตอนที่ผละออกจากกัน ฉันตีแผ่นอกของเขาเบาๆ
“ไปรอที่ห้องทานอาหาร เดี๋ยวนี้เลย”
“คุณรู้มั้ย เวลาคุณหันหลังแบบนี้ เมืองนี้ที่ว่าสวยงาม ก็ยังสู้คุณไม่ได้เลยนะ”
ใจหนึ่งบอกให้ฉันปฏิเสธเขาไป แต่อ้อมกอดประกอบกับคำหวานของเขากลับเป็นสิ่งที่ฉันโหยหา ริมฝีปากของเขาเป็นสิ่งที่ฉันปรารถนา การมีเขามองข้างหลังโดยที่รู้ตัวอยู่แบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกดีอีกแบบเช่นกัน
ในตอนที่เราจูบกันอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไป ดวงตาของฉันและเขาจ้องมองกันอยู่ครู่ใหญ่ ราวกับโลกทั้งใบนี้มีเพียงเราสองคน ราวกับกาลเวลาทั้งหลายได้หยุดเดินเพื่อพวกเราสองคน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มื้อเช้าของบ้านลูเมนฮอฟอาจจะเสร็จตอนเที่ยงก็ได้
ก่อนที่เสียงเดือดดังปุดๆ ของน้ำที่ต้มเอาไว้จะดังขึ้นและพาพวกเรากลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน
เขาผละออกไปนั่งลงที่โต๊ะที่ฉันหยิบวัตถุดิบมากองกันเอาไว้
มื้อเช้าวันนี้เสร็จช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ยังทันเวลาที่เฮนริคจะไปทำงาน
อาหารประเภทน้ำหม้อใหญ่ที่ใส่ของหลายๆอย่างลงไป ผสมกับการปรุงรสนิดหน่อยส่งกลิ่นหอม วางบนโต๊ะคู่กับข้าวสีขาวที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก
แม้เฮนริคจะดูเป็นคนที่แต่งตัวดูดี แต่เขากลับกินอาหารง่ายเกินคาด โดยเฉพาะมื้อเช้าก่อนไปทำงาน
หากเป็นยามปกติ คงเป็นฉันที่เป็นผู้ปลุกเอรี่ให้ตื่น แต่พักหลัง เขาเห็นแก่ฉันที่เริ่มเดินเหินลำบาก จึงเป็นคนขึ้นไปปลุกลูกสาวเพื่อลงมารับประทานมื้อเช้ากันพร้อมหน้าในฐานะครอบครัว
หลังจากมื้อเช้าสิ้นสุด เขาแยกย้ายไปทำงาน ก่อนออกจากบ้านเราจูบกันอีกครั้งเป็นกิจวัตรที่เขาทำทุกวันตั้งแต่ฉันตั้งครรภ์ แต่วันนี้มีสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา
“เย็นนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์จะมาทานมื้อค่ำกับพวกเรา”
“ที่บ้านของเราเหรอคะ หรือว่า…”
เฮนริคมีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งคือบ้านหลังที่พวกเราอยู่กันเป็นประจำ จะว่าเป็นบ้านที่ใหญ่ก็คงใช่ แต่ก็ยังเล็กและดูเรียบง่ายหากเทียบกับบ้านอีกหลัง
บ้านอีกหลังคือคฤหาสน์หลังโต ที่ไว้รับรองแขกและแบ่งสันปันส่วนพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นโกดังสำหรับเก็บสินค้ารวมถึงขนสินค้าเข้าออก พื้นที่ด้านหน้าเป็นเขาวงกตสีเขียว เป็นด้านที่แสดงความเป็นเด็กซุกซนของเขาออกมาตรงกันข้ามกับสีหน้าเข้มๆเวลาที่เขาทำงานในฐานะพ่อค้า
หากเป็นการรับรองแขก คงไม่ใช่บ้านหลังนี้ แต่เป็นบ้านอีกหลัง
“ที่คฤหาสน์ คืนนี้ผมคงได้เห็นคุณแต่งตัวสวยๆอีกแล้ว”
“แหม แล้วทุกวันฉันไม่สวยเหรอคะ”
ฉันกล่าวเชิงหยอกล้อ ทั้งที่ใจจริงก็รู้ว่าความงดงามในตัวฉันมันเริ่มบั่นทอนลงไปแล้ว
มนุษย์ที่อายุใกล้สามสิบอย่างฉัน แถมตอนนี้ก็เป็นท้องที่สองแล้วด้วย คงไม่มีหลงเหลือความงดงามจากจุดสูงสุดมากนัก
“สวยสิ ผมหมายถึง ไม่ได้เห็นคุณใส่ชุดออกงานด้วยกันกับผมมาหลายวันแล้วเฉยๆ”
เขาเป็นพ่อค้าใหญ่ จึงต้องไปตามงานต่าง ๆบ่อยครั้ง ตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์ ฉันก็ยังพอเดินทางไปกับเขาในรอบๆเมืองอควาเดียหรือเมืองข้างเคียงได้อยู่ แต่พอฉันต้องแบกลูกอีกคนที่กำลังจะถือกำเนิด ก็กลายเป็นว่าเขาเดินทางคนเดียวอีกครั้ง
“งั้น ฉันจะเตรียมชุดสวยๆไปด้วยนะคะ”
“อืม แล้วเจอกันนะ ที่รัก”
ริมฝีปากของเขาสัมผัสที่แก้มของฉัน ก่อนจะหันหลังจากไปทำงาน เป็นเหมือนภาพความทรงจำที่ฉายซ้ำในทุกเช้าของทุกวัน
…
หลังแยกกับภรรยาที่หน้าประตูบ้าน กลิ่นหอมอันเป็นกลิ่นกลายของภรรยาของเขายังคงติดตัวพอๆกับน้ำหอมที่ตัวเขาฉีดเพื่อเพิ่มเสน่ห์ของตัวเองในทุกเช้า
แสงแดดของเมืองอควาเดียในวันนี้ก็ยังสดใส แต่สำหรับเขาสิ่งที่สดใสที่สุดในสายตาของเขาคือ รอยยิ้มของหญิงสาวผู้เป็นภรรยา
รถม้าที่ไม่โดดเด่น กลมกลืนกับนักเดินทางทั่วไป ในที่สุดก็แยกเส้นทางออกมาจากบุคคลทั่วไปโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว และปลายทางของการโดยสารก็คือคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ช่วงลมหายใจก็ถึง
ที่หน้าบ้านมีพ่อบ้านสูงอายุคนหนึ่งยืนต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มแสนกล
พอลงจากรถม้า พ่อบ้านวัยชราก็กล่าวทักทาย
“ขอต้อนรับ นายท่านแห่งเราเฮนริค ลูเมนฮอฟ”
เป็นน้ำเสียงประชดประชันเสียจนอยากเบือนหน้าหนี ท่าทีที่โค้งค้อมลงไม่ได้มีความรู้สึกเชิงเคารพแม้แต่เศษเสี้ยว กลับกันยังแสดงถึงการเยาะเย้ยถากถางโดยไม่ผ่านคำพูด ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยรู้จักดี บัดนี้กลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่สิงสู่ในร่าง ไม่ก็จำแลงกายให้เหมือนเสมอกัน แม้จะรู้ความจริงว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่พ่อบ้านผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้ที่ตนเองรู้จัก แต่ในฐานะผู้นำของตระกูล เฮนริคย่อมเลือกเผชิญหน้าตรงๆ
“มีอะไรมารายงานหรือ ปกติพวกนอกรีตอย่างแกน่าจะเลี่ยงการพบปะผู้คนนี่?”
อย่างไม่เกรงกลัว ต่อสิ่งจอมปลอมเบื้องหน้า
“มีแขกมารอ ข้าบอกให้มันไปรอในคฤหาสน์แล้ว”
“ใครกัน แขกในเวลานี้”
“คนที่แกก็รู้จักดี”
คำว่า แขก ทำให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย หากเป็นยามปกติก็คงเป็นลูกค้าที่อยู่ทั้งในเมืองแห่งนี้และต่างแดน แต่วันนี้เขาได้บอกกำหนดการเอาไว้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะมาเยือน ตัวเขาที่ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้ปกครองของเมือง แต่ในฐานะผู้มีชื่อเสียงจึงต้องเป็นผู้ต้อนรับ อีกทั้งเขาไม่เคยมีแขกมาเยือนในยามเช้าเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
ดังนั้นจึงแปลกใจว่าแขกปริศนาผู้นั้นเป็นใครกันแน่
ยิ่งเสริมคำว่าคนที่แกก็รู้จักดี ยิ่งทำให้เขาสงสัย
เขาพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่คิ้วที่ขมวดเขาหากันบ่งบอกว่าตนเองกำลังหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ความรู้สึกไม่ดีและขุ่นมัวยังคงอยู่ติดตัวของเขาไปจนกระทั่งเปิดประตูออก
แขกที่ยืนรออยู่ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ สาเหตุที่เขาทิ้งบ้านหลังนี้ไปและไปใช้ชีวิตในบ้านหลังที่เล็กกว่าตัวคนเดียวมานาน
สาเหตุนั้น เด็กสาวคนนั้น ในตอนนี้สวมชุดวันพีซสีขาว สวมหมวกฟางสีน้ำตาลที่ผูกริบบี้สีฟ้าอ่อนเอาไว้ ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ต่อหน้าและจ้องมองพ่อค้าผู้มั่งคั่งราวกับพินิจพิจารณาไปถึงตัวตนที่แท้จริง
เป็นภาพที่ชวนให้คิดว่าฝันไป คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นก่อนหน้านี้คลายออกจากกันกลายเป็นแววตาของผู้ที่กำลังตกอยู่ในหัวของความสับสนระคนประหลาดใจ
“ลูน่า…”
“สวัสดีค่ะ พ่อ”
เบื้องหน้าของเขาคือ เด็กสาวผู้เป็นลูกสาวคนแรกของเขา เธอผู้เกิดกับภรรยาเก่าที่เสียชีวิตไปเพราะการงานของเขาเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
เธอคือเด็กสาวที่รับรู้การกระทำของเขายิ่งกว่าไอลีนผู้เป็นภรรยาคนปัจจุบัน รู้เรื่องราวของเขามากกว่าเอรี่ ผู้เป็นลูกสาวในตอนนี้ และเพราะรู้มากเกินไป เธอจึงตัดสินใจที่จะหนีออกจากบ้านไป หายไปหลายปีและไม่กลับมาอีก
ตัวเขาที่เที่ยวออกตามหาจนกิจการแทบจะล่มสลาย ครั้งหนึ่งเคยตัดใจกับการหายตัวไปอย่างไร้วี่แววของเธอ จนคิดว่าบางทีคงเสียชีวิตไปแล้ว สุดท้ายจึงกลับมาตั้งใจฟื้นฟู
ทว่าเธอกลับมาปรากฏตัวตรงหน้าราวกับปาฏิหาริย์ ในวัยที่เขาไม่เคยคาดการณ์ถึง
หากตรงหน้า ไม่ได้มีปีศาจตนใดจำแลงกายมาหลอกลวง เธอก็ช่างเหมือนลูกสาวของเขาจริงๆ
“ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย…”
ต่อให้ก่อนหน้าจะแสดงความเข้มแข็งออกมา แต่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ทำให้กำแพงที่ตั้งเอาไว้ในใจถูกทำลายตั้งแต่รากฐาน
“ลูน่า… ตัวจริงใช่มั้ย”
“ค่ะ ลูนาเรีย ลูเมนฮอฟ ลูกสาวของลิชา ลูเมนฮอฟค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริงของเธอหรือชื่อจริงของภรรยาเก่าของเขา เธอก็สามารถจดจำได้ดี
หายไปไหนมา เขาอยากถามเช่นนั้นกับเธอ แต่ก่อนหน้านั้น
เขาพุ่งไปหาเด็กสาวที่เติบโตขึ้นจากความทรงจำ เรือนร่างและหน้าตาที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้เขาหลงลืมเธอ
เขาสวมกอดเด็กสาวผู้เป็นลูกคนโตเอาไว้แน่น ราวกับจะกลบถมรูโหว่ที่เกิดขึ้นในใจที่เคยคิดว่ากลบมันจนมิดไปแล้ว
น้ำสีใสไหลรินออกจากดวงตาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุด วันนี้ครอบครัวก็พร้อมหน้า
“พ่อมีอะไรจะคุยกับลูกเยอะเลย”
“เช่นกันค่ะ พ่อ”
ลูน่าสวมกอดร่างของชายหนุ่มตรงหน้า บุคคลซึ่งเคยเป็นครอบครัวเดียวกันกับเธอ
แม้จะมีเรื่องราวให้พูดคุยกันอีกมากมาย แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
เรื่องราวต่อจากนี้คือไม่กี่ชั่วโมงถัดมา หลังพ่อลูกได้พบหน้ากันอีกครั้งในรอบหลายปี
MANGA DISCUSSION