หลังจากผมและอาร์เจนตากลับมาจากการเดินเที่ยวในเมือง วิเวียนที่รออยู่แล้วที่โถงต้อนรับก็เข้ามาทักทาย
เธอให้อาร์เจนตาเอาของไปเก็บ แล้วมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนรู้อะไรบางอย่างมา
“เนื้อหอมจังเลยเนอะ คนเรา”
แค่คำแค่นี้ ผมก็มั่นใจแล้วว่าเธอมีส่วนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ แค่ไม่รู้ว่ามากน้อยเพียงไหน
“แล้วมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?”
คนอย่างเธอคงไม่ลงทุนลงมาดักรอพวกเราตั้งแต่ทางเข้าเช่นนี้ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญที่จะคุยด้วย
แต่ครั้งนี้ผมอาจเดาผิด เพราะเธอส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ล่ะ ไม่มีอะไร แค่กลัวเธอจะทำร้ายจิตใจเพื่อนของฉันเลยมารอปลอบเฉยๆ”
“ขอโทษนะครับ ที่ผมเองก็ไม่กล้าพอ”
“ฉันก็กลัวว่าเธอจะกล้าพูดเกินไปอยู่เหมือนกันนะ ผลลัพธ์ถือว่าออกมาดีเกินคาดล่ะนะ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าผลลัพธ์ที่เธอคาดการณ์เอาไว้เป็นแบบไหน แต่ในเมื่อไม่ได้ออกมาแย่ก็เป็นอันว่าโล่งใจไปได้เยอะ
“แล้วก็นะ ชิน”
“อะไรเหรอครับ”
“เรากำลังจะไปพบกับคนที่มีอำนาจมากที่สุดของเมืองนี้แล้ว สำรวมกิริยาหน่อยนะ”
“เห็นผมเป็นคนยังไงกันแน่ครับเนี่ย”
เธอไม่ตอบ แต่หัวเราะ หึหึ ออกมา ซึ่งผมไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก
พวกเรารอสมาชิกมารวมตัวกันให้ครบประมาณสิบนาทีในความคิดของผม อาร์เจนก็เป็นคนแรกที่เดินลงมา ชุดที่เธอสวมเปลี่ยนกลับเป็นชุดเมดตัวเก่ง แต่เธอยังคงปล่อยผมยาวสยายลงมา ส่วนไลล่ากลับไปสวมชุดพ่อบ้านดูทะมัดทะแมงอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวสิครับ”
ยังขาดไปหนึ่งคน ลูน่ายังไม่ลงมาจากข้างบน แต่วิเวียนเอ่ยปากห้ามไม่ให้ผมขึ้นไปตามและบอกว่าตอนนี้เธอป่วยและอยากอยู่คนเดียวไปสักพัก
ฟังอย่างไรก็มีแต่มุมน่าสงสัย ต้องมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่แน่ ผมไม่อาจบอกความรู้สึกให้เชื่อในข้ออ้างนั่นได้เลยสักนิด
แต่หากวิเวียนเป็นคนพูดออกมาเอง คงมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง จึงไม่จำเป็นต้องเซ้าซี้หาคำตอบไปมากกว่านี้
พวกเราสี่คนออกเดินทางจากโรงแรม มุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดเลี้ยง
ทีแรกผมจินตนาการในหัวว่าบ้านของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร คิดอยู่ตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงที่หมาย สุดท้ายผมจึงได้รู้ว่าคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะที่แห่งนี้ ในแง่ความยิ่งใหญ่อาจเทียบเท่ากับบ้านเอเวอร์ไลท์ แต่ในด้านการตกแต่งสามารถเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พื้นที่ด้านหน้าเป็นสวนสีเขียว พืชพรรณสีเขียวถูกตัดแต่งเป็นรูปทรงต่าง ๆ เส้นทางสำหรับเดินเข้าไปในคฤหาสน์ไม่สามารถทำได้หากเดินเข้าไปตรงๆ เพราะต้องติดเขาวงกตที่รายล้อมด้วยไม้พุ่มเขียวขจีตลอดเส้นทางเลี้ยวลดที่ยึดพื้นที่เกือบทั้งหมดของสวนหน้าบ้าน
เจ้าของบ้านต้องเป็นคนมีรสนิยมแปลกระดับหนึ่งถึงตั้งของแบบนี้ไว้ภายใจคฤหาสน์แถมยังเป็นพื้นที่ที่ควรเปิดต้อนรับแขกอีกต่างหาก
ที่หน้าประตูรั้ว ผมเห็นชายชราในชุดพ่อบ้านคนหนึ่งยืนต้อนรับ ด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด จะว่าเป็นมิตรก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นศัตรูก็ไม่เชิง
“ยินดีต้อนรับ คณะเดินทางของนักบุญทั้งหลายครับ”
ผมคงไม่ได้รู้สึกไปเองว่าเหมือนกำลังโดนถ้อยคำประชดประชันใส่ทันทีที่เท้าแตะพื้นอีกครั้ง เหตุที่วิเวียนเตือนให้ผมระวังตัวไว้ก่อนหน้าคงหมายถึงเรื่องนี้ด้วย
แต่ทางวิเวียนก็ไม่ลดละ เธอปรายตามองชายชราผู้มายืนต้อนรับด้วยสายตาที่ ไม่เป็นมิตร และกล่าวตอบกลับด้วยท่าทีประชดประชันไม่แพ้กัน
“ไม่ใช่คณะเดินทางนักบุญหรอกค่ะ พวกเราเองก็เป็นแค่ปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหน”
การโต้ตอบของทั้งสองคนจบลงแต่เพียงเท่านี้ ชั่วขณะหนึ่งพ่อบ้านชราชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจนัก แต่ไม่ถึงวินาทีต่อมา เขาก็กลับส่งรอยยิ้มประหลาดอีกครั้ง และยังคงยอมนำทางพวกเราเข้าไปด้านในของคฤหาสน์
เส้นทางวงกตสีเขียวที่อัดแน่นชวนลายตา ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากกันส่งเสียงดังแซกซาก เสมือนมีพลังลึกลับบางอย่างทำให้พวกมันเปิดออก มองอีกมุมหนึ่งก็เหมือนพวกมันกำลังทำความเคารพแก่ผู้นำทางชราคนนี้เช่นกัน
ผมหันไปถามอาร์เจนตาที่ยืนใกล้สุด อยากให้เธอช่วยอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าตรงนี้ให้ฟัง เธอก้มลงมากระซิบผมว่า คงเป็นเวทมนตร์ลวงตาอะไรสักอย่าง บางทีสวนวงกตอาจไม่มีจริง หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเวทมนตร์ประเภทควบคุมพื้นที่ที่ควบคุมสวนวงกตแห่งนี้เอาไว้
หากเวทมนตร์ประเภทนั้นมีจริงก็สามารถทำสวนสวยได้ง่ายๆเหรอ ผมลองถามเธอกลับไป แต่เธอก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและตอบว่า
“ใช่ค่ะ แต่คนส่วนใหญ่จะใช้ในการปกป้องดินแดนมากกว่า อย่างเช่น กรณีนี้อาจสร้างพื้นที่เขาวงกตขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้บุกรุกก็ได้ค่ะ”
“ถ้าเป็นกรณีนั้น เราจะฝ่าไปได้ยังไงครับ”
“ภาพลวงตาทำอะไรท่านวิเวียนไม่ได้ค่ะ”
คำพูดทิ้งท้ายของอาร์เจนตา สร้างภาพวิเวียนตอนทำลายเขาวงกตนี้ในหัวของผม
หากเป็นวิเวียน บางทีเธอคงใช้ไฟเผาต้นไม้จนราบหรือไม่ก็ใช้พละกำลังทุบพื้น ทำลายตั้งแต่รากฐานของสวนวงกตนี้ได้จริงๆอย่างที่อาร์เจนตาว่า
เราสองคนคุยกันได้ไม่นาน การนำทางของชายชราก็สิ้นสุดลงเมื่อปลายทางตรงหน้ามีประตูบานใหญ่ตั้งอยู่
มันทำจากไม้ แม้ผมไม่มีความรู้มากนักก็ยังสัมผัสได้ว่าทำจากไม้เนื้อดี ลวดลายบนบานประตูสลักเป็นลายคล้ายคลื่นน้ำคดเคี้ยวสีทอง บางทีอาจจะสะท้อนถึงรสนิยมบางอย่างของผู้ทำมันขึ้นมาหรือเจ้าของบ้านหลังนี้
ประตูบานใหญ่ถูกดันเปิดอ้าออก เผยให้เห็นภายในที่ตกแต่งด้วยข้าวของหรูหราในระดับที่ผมไม่สามารถจินตนาการถึงราคาได้ หากเทียบกับบ้านเอเวอร์ไลท์ บ้านหลังนี้คงเน้นของประดับที่บ่งบอกถึงฐานะการเงินและฐานทางสังคม พอรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันก็เหมือนจะมีแสงสีทองแผ่พุ่งกระเจิดเจิดจ้าแสดงถึงการตกแต่งที่เน้นไปที่ความมั่งคั่งของเจ้าของเป็นอย่างมาก
พวกเราถูกนำทางเข้าไปยังห้องกว้าง ที่ตรงกลางห้องมีโต๊ะตัวยาวตั้งอยู่ บนโต๊ะปูด้วยผ้าเนื้อขาวสะอาด บนโต๊ะมีจานวางไว้แปดใบ พร้อมช้อนส้อมและมีดอีกแปดชุด และแก้วใสทรงสูงแปดแก้ว แสดงว่ามื้อนี้คงมีจำนวนคนร่วมโต๊ะแปดคน
ผมมองไปรอบห้อง ก็เห็นพื้นที่ที่มีการตกแต่งโดยเน้นความหรูหราของเจ้าของบ้านไม่แพ้บริเวณทางเข้าต้อนรับ ด้วยราคาของแต่ละอย่างที่ดูสูงลิบเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกกดดันไม่น้อยที่ต้องมารับประทานมื้อเย็นท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้
“นายท่านเฮนริค ประสบปัญหาเล็กน้อย ขอเวลาให้กับท่านเสียหน่อย อีกไม่นานท่านก็จะมาต้อนรับคณะเดินทางของนักบุญทุกท่าน”
หากไม่ใช่ความรู้สึกที่ชี้นำไปเอง ผมคิดว่าท้ายประโยคของเขาดูประชดประชัน ก่อนที่จะหายตัวไปจากห้องรับประทานอาหาร
พวกเรายืนรอกันไม่ทันรู้สึกเมื่อยหรือเบื่อกับการรอคอย ผมก็ได้ยินเสียงคนเดินมาจากทางด้านหลัง
ทั้งกลุ่มหันไปมอง แล้วก็ต้องพบกับชายเส้นผมสีฟ้า สวมเสื้อกั๊กสีขาวขุ่น กลัดกระดุมเม็ดโตสีทองที่มีสัญลักษณ์คล้ายสมอเรือสลักเอาไว้ นอกจากนี้ยังสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มทับอีกชั้น ท่อนล่างเป็นกางเกงขายาว รองเท้าที่ใส่เป็นหนังสีน้ำตาลเข้ม แถมยังสวมถุงมือสีขาวและถือไม้เท้าหัวเงินมาอีกต่างหาก
แม้ผมจะไม่มีความรู้เรื่องผ้ามากมายนัก แต่แค่การมองเพียงเท่านี้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงคุณภาพของเนื้อผ้าที่แตกต่างกับชุดที่ผมใส่มาลิบลับ หากเทียบแล้วผมคงเหมือนชาวบ้านที่พอมีเงิน ส่วนเขาคือพ่อค้าผู้ร่ำรวยของแท้
ข้างกายเขามีหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่ง ชุดที่เธอสวมใส่เป็นชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มดูเป็นประกาย กับส้นสูงสีเงินแวววาว ช่วงอกแม้จะปิดมิดชิดแต่หน้าอกที่อวบอัดของเธอดันเนื้อผานูนขึ้นมาจนเห็นเด่นชัด ช่วงขาแหวกขึ้นมาเผยให้เห็นท่อนขาสีขาวนวลบ่งบอกถึงการดูแลรักษาสุขภาพผิวพรรณที่ทำอย่างตั้งใจ เป็นการจับคู่ของท่องบนและล่างที่เมื่อคนที่มีเส้นผมสีดำอย่างเธอสวมใส่แล้วชวนให้นึกถึงความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างบอกไม่ถูก
“กระผม เฮนริค ลูเมนฮอฟ ขอเป็นตัวแทนของชาวเมืองอควาเดีย ในการกล่าวต้อนรับคณะนักเดินทางของสตรีศักดิ์สิทธิ์วิเวียนทุกท่าน…”
ครั้งนี้ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ เขาหันมามองผม ตอนที่เราสบตากัน ดวงตาของเขาบ่งบอกว่าดูแปลกใจมากกว่าตกใจแต่อาจเพราะเป็นพ่อค้าที่มากความสามารถจึงกลบเกลื่อนสีหน้านั้นได้อย่างคล่องแคล่วก่อนจะผายมือ แนะนำตัวหญิงสาวที่อยู่ข้างเขา
“ทางนี้คือไอลิน ลูเมนฮอฟ ภรรยาของกระผมครับ”
พอตัวเองถูกกล่าวถึง เธอก็จีบกระโปรงออกไปทั้งซ้ายขวาและย่อตัวลง
“สวัสดีค่ะ ดิฉันไอลิน ลูเมนฮอฟ ยินดีที่ได้พบปะกับคณะนักเดินทางของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน”
ในฐานะผู้มาเกิดใหม่ยังโลกใบนี้ ประสบการณ์ต่อโลกใบนี้ของผมยังไม่มากหรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือ ผมเป็นคนอ่อนต่อโลก แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นกิริยามารยาทที่เป็นเหมือนสัญญาณว่าตัวเองกำลังเข้าสู่สังคมชนชั้นสูงอย่างแท้จริง
ร่างกายเริ่มรู้สึกเกร็งกว่าเก่า ในหัวเริ่มกังวลว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของผู้นำอย่างวิเวียนด่างพร้อยลงหรือไม่ แต่ก็มีมือข้างหนึ่งดันหลังผมเบาๆ
มือข้างนั้นเหมือนอยากบอกผมว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกังวล พอหันไปมองก็เห็นว่าเจ้าของมือนั้นคือวิเวียน ที่ตอนนี้กำลังยิ้มและเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน ลูเมนฮอฟ
“และกระผมก็ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก…”
ดูท่าการแนะนำตัวสมาชิกบนโต๊ะอาหารในฝั่งเขายังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ทว่า…
การมาถึงของสองคนหลังทำให้ผมเข้าใจในที่สุด
ว่าที่วิเวียนกล่าวกับผมให้สำรวมกิริยาครั้งแล้วครั้งเล่า เธอไม่ได้กลัวเรื่องมารยาทในการแสดงออกของผมบนโต๊ะอาหาร แต่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังผมได้เห็นลูกสาวของบ้านหลังนี้
เสียงของเฮนริคมาถึงหูผมแค่เพียงตอนที่เขากล่าว ‘ทั้งสองคนคือลูกสาวของผม’ จากนั้น สติของผมก็เหมือนถูกหยุดลงชั่วคราว
ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งเมื่อเขาแนะนำชื่อของทั้งสองคน
เด็กสาววัยโตกว่าผมในตอนนี้สักห้าปี เจ้าของเรือนผมสีฟ้ายาว ตัวสูงในเดรสสีขมพูฟูฟ่อง ใบหน้านั้นที่ดูน่ารักสมวัยนั้นกำลังยิ้มฝืนๆ ใบหน้าของเธอช่างเหมือนคนที่ผมรู้จักดี
ชื่อของเธอคือ ลูนาเรีย ลูเมนฮอฟ
และเด็กผู้หญิงอีกคน เธอมีเส้นผมเป็นสีดำ ปล่อยยาว หน้าตาของเธอคล้ายกับไอลิน หากบอกว่าเป็นแม่ลูกกันก็ไม่มีอะไรที่จะคัดค้านได้ ชุดที่เธอสวมเป็นชุดดีไซน์คล้ายกับลูนาเรียคือ เป็นเดรสฟูฟ่องแต่เป็นสีขาวและตัวเล็กกว่า ใบหน้าของเธอเหมือนดูกังวลหรือหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
ชื่อของเธอคือ เอริลิน ลูเมนฮอฟ
ลูน่า และ เอรี่ ทั้งสองคน ปรากฏตัวต่อหน้าพวกผมในฐานะลูกสาวของ เฮนริค ลูเมนฮอฟ
MANGA DISCUSSION