เสียงเด็กทารกร้อง อุแว้ๆ ดังใกล้หูของผมทั้งที่อยู่ในความมืด พอลองสงบจิตใจและตั้งใจฟังดูให้ดี มันคือเสียงของผมเอง ส่วนความมืดที่ว่า อาจเป็นเพราะผมไม่ได้ลืมตาขึ้นมาก็ได้
ในสภาพร่างกายของเด็กทารก การลืมตาไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ผมเคยได้ยินมาว่าการปรับตาให้เขากับแสงสว่างภายในห้องเป็นเรื่องลำบากพอตัว
ช่วยไม่ได้ ผมคิดในใจ ก่อนจะลืมตาแล้วส่งเสียง อุแว้ ออกไปดังๆ
ในหัวของผมก้ำกึ่งระหว่างความพยายามในการพูดกับการส่งเสียงร้อง แต่ในเมื่อร่างกายในตอนนี้เป็นเด็กทารก ดังนั้นการส่งเสียงร้องน่าจะเหมาะสมกว่า แล้วค่อยไปแกล้งพูดได้ในอีกสักสองเดือนให้หลังก็แล้วกัน…
“คุณคะ ลูกลืมตาแล้ว!”
มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้าผม เธอเป็นคนหน้าตาดี ค่อนไปทางน่ารักมากกว่าคนสวยสง่า เส้นผมสีน้ำตาลปล่อยยาว แม้ตัวผมในชีวิตที่แล้วจะไม่ได้มีการดูแลตนเองมากนัก แต่พอมองเธอคนนี้ก็สามารถยืนยันได้ว่ามีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เสื้อผ้าที่ใส่ ผมเห็นแค่ส่วนบนแบบคร่าวๆ เป็นเสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีชมพู
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอกำลังมองผมอย่างเอ็นดู เธออุ้มผมขึ้นมาอย่างทะนุถนอม
ผมได้ยินเสียงคนจาม แต่ไม่ใช่เสียงของเธอที่กำลังอุ้มผมอยู่
หน้าหนาวเหรอ? คงเป็นเช่นนั้น ผมไม่คิดว่าจะมีใครใส่สเวตเตอร์ในหน้าร้อนหรอก แต่นั่นก็เป็นชุดความคิดจากโลกเดิมของผมอยู่ดี
ตึก ตัก ตึก ตัก
ผมได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา พยายามหันคอไปมองแต่ร่างกายเด็กแรกเกิดนี่ช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
“ที่รัก เกิดอะไรขึ้น!?”
เขาเรียกผู้หญิงที่อุ้มผมอยู่ว่าที่รัก ส่วนเธอก็เรียกผมว่าลูก ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดเรื่องความสัมพันธ์ให้มาก ทั้งสองคนคือพ่อและแม่ของผมในชีวิตใหม่นี้
“ดวงตาของเขา เหมือนเธอเลย”
เสียงผู้ชายบอกเช่นนั้น แปลว่าดวงตาของผมเป็นสีน้ำตาลสินะ
ทั้งสองคน ผลัดกันอุ้มผม ฝ่ายพ่อขอตัวออกไปก่อน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบ บางทีเขาอาจจะมีธุระอะไรบางอย่างก็เป็นได้
“ช่วงนี้พ่อเขางานยุ่ง วันนี้อยู่กับแม่กันสองคนนะ”
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ผมคิดว่าเธอเป็นแม่ที่ดีคนหนึ่ง
ผมส่งเสียงร้องเหมือนเด็กทารกได้ไม่นาน เธอก็เล่นกับผมด้วยการยื่นนิ้วมือมาให้ จากมุมมองของร่างในวัยนี้ นิ้วชี้ของเธอช่างยิ่งใหญ่
เวลาหิว ผมส่งเสียงร้อง คิดว่าเด็กทารกน่าจะทำแบบนี้กัน เธอเดินมาหาแล้วปลดกระดุมเสื้อของตนออกทีละเม็ดๆ เพื่อให้ผมดื่มนม ตอนชีวิตที่แล้ว ผมจำไม่ได้เลยว่าช่วงวัยทารกเป็นแบบไหน แน่นอนอยู่แล้ว การที่ทารกจะจำเรื่องราวตั้งแต่ตัวเองเป็นทารกได้มันแปลกสุดๆสำหรับผมเลย
เวลาในห้องผ่านไป ตัวผมไม่สามารถรับรู้วันเวลาได้แน่ชัด แต่ผมรู้สึกว่าแสงภายในห้องเริ่มจางลง เท่าที่สังเกตผ่านมุมมองของเด็กทารกเท่าที่เอื้ออำนวยมา ห้องนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าหลอดไฟ แต่กลับมีแสงส่องสว่างอยู่ นั่นหมายความว่าที่โลกนี้อาจมีวิธีอะไรสักอย่างที่ทำให้ห้องสว่างโดยไม่ใช้หลอดไฟก็ได้
ดวงตาของผมเริ่มเหนื่อยล้า มันกำลังจะปิดเต็มที
ก่อนจะหลับไป ผมอยากกล่าวทักทายผู้หญิงที่อุ้มผมอยู่สักหน่อย
สวัสดีคุณแม่ และฝากสวัสดีคุณพ่อด้วย ผมกล่าวเช่นนั้นในใจ แต่เสียงที่ออกไปมีเพียงคำว่า แอ้ เหมือนเด็กทารกร้องทักทาย
หลังจากส่งเสียงแล้วหาววอดใหญ่ ผมก็หลบลงไป
ในห้วงความฝันที่เด็กทารกผู้เกิดมาใหม่ ไม่มีความคิดใดๆไม่ควรมี ผมยังไม่รู้ชื่อของตัวเองในโลกนี้ แต่ผมมีความทรงจำของโลกที่แล้วอยู่จึงฝันถึง
ห้องเรียน… ห้องเรียนอนุบาล น่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ทุกคนดูตัวเล็กกันหมดเลย เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่อาจขยับไปเป็นคำว่าเพื่อนสนิทได้กำลังจับกลุ่มคุยกัน ผมนั่งอ่านหนังสือคนเดียวที่มุมห้องริมหน้าต่าง
ไม่มีใครหันมาสนใจผม และผมก็ไม่ได้หันมาสนใจใคร
เป็นช่วงเวลาที่ดี
‘ชิน!’
ได้ยินใครสักคนเรียก แล้วภาพความฝันก็จบลง ผมตื่นขึ้นมาในห้องมืดๆ
ไฟดับไปแล้วแห๊ะ ผมคิดในใจ แล้วส่งเสียงร้อง แอ้ๆ ออกมา
ขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกได้ว่าท่อนล่างมันเปียกๆ…
อ้อ ผมฉี่ออกมา
แย่แล้วสิ ในฐานะเด็กทารกมันคงเป็นความรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว แต่สำหรับผมมันคือความน่าอับอายชอบกล
…ถึงจะเป็นทารกและไม่มีอะไรให้น่าอายก็เถอะ
เวลาเช่นนี้ คนทั่วไป…หมายถึง เด็กทารกทั่วไปเขาจะทำกันยังไงนะ? ส่งเสียงร้องล่ะมั้ง ผมคิดเช่นนั้นจึงส่งเสียงดัง อุแว้ๆออกไป
ไม่ถึงห้านาทีในหน่วยวัดทางความคิดของผม ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ผมเริ่มจำได้แล้วว่าเป็นฝีเท้าของแม่ผม
“อ๊ะ แย่แล้วๆ”
น้ำเสียงของเธอดูร้อนรน คาดว่าเธอคงไม่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กมาก่อน
หลังจากเธอวิ่งไปหยิบผ้าอ้อมมาเปลี่ยนให้ผมแล้ว กลิ่นที่หมักหมมเป็นเวลาไม่นานก็แพร่กระจายไปในอากาศ ผมนิ่วหน้าให้กับกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น
“เด็กดี นอนหลับฝันดีนะ”
เธออุ้มผมที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าอ้อมมาหมดๆ ไกวไปมาในอ้อมแขนของเธอ
พอเห็นเธอยิ้มให้ และพอหลับตาลง ผมก็สามารถหลับลงได้อย่างน่าประหลาด
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้ยินเสียงไก่ขัน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในเตียงเด็กแรกเกิด รอบข้างล้อมไปด้วยไม้กันตก ของที่เห็นสิ่งแรกในสายตาคือโมบายรูปสัตว์ย่อส่วนสำหรับเด็กแรกเกิด เห็นไฟในห้องกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง บางทีคงมีระบบอะไรอยู่จริงๆ
แอ้ ผมส่งเสียงร้องออกไป พยายามพลิกตัวแต่กล้ามเนื้อของเด็กทารกไม่ได้เอื้ออำนวยขนาดนั้น
และดูเหมือนแม่คนใหม่จะอยู่ในห้องกับผมอยู่แล้ว พอเธอได้ยินเสียงผมตื่น เธอจึงชะโงกหน้าเข้ามามองในเปลแล้วยิ้มให้ผม
เธออุ้มผมขึ้นมา ให้ผมได้รับน้ำนมของคนเป็นแม่ เธอชมผมว่าเป็นเด็กน่ารัก ไม่ค่อยงอแง ก็แน่นอนสิ ข้างในผมมันไม่ใช่เด็กทารกสักหน่อย
“วันนี้พ่อก็ยังไม่ว่างเท่าไหร่ เล่นกับแม่ก่อนนะ”
น้ำเสียงเหมือนคนเหงา แต่เธอก็ยิ้มแย้มให้ผม จับมือเล็กๆของร่างเด็กทารกที่ผมอาศัยอยู่เบาๆ ขยับนิดหน่อยให้พอเข้าใจว่าผมสามารถขยับตัวได้และแข็งแรงดี
“เดี๋ยวแม่เล่านิทานให้ฟังนะ”
เธอบอกแล้ววางผมลงบนผ้าปูนอนบนเตียง หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วเริ่มอ่านให้ผมฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีดินแดนนามว่าเอเคลียร์ ที่แห่งนั้นกล่าวขานกันว่าประชาชนถูกปกครองด้วยพระราชาผู้โหดร้าย ความโหดร้ายนี้สืบทอดต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ประชาชนภายในเมืองไม่อาจใช้ชีวิตอย่างอื่นได้นอกเสียจากใช้ชีวิตไปวันๆ ในเอเคลียร์ ไม่มีทั้งเสียงดนตรี ไม่มีงานศิลปะ ไม่มีแม้แต่ภาพวาดหรือหนังสือนิทานสำหรับเด็ก…”
โลกที่โหดร้ายชะมัด แม่ในโลกใหม่ของผมก็เห็นด้วยเป็นแน่ ผมได้ยินเธอหยุดอ่านและพึมพำว่า โหดร้ายจริงๆ เหมือนกับผมเลย
“วันแล้ววันเล่าผ่านไป นับหลายร้อยปี จู่ๆมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวังในยุคที่ประชาชนเริ่มพบเจอปัญหาด้านอาหาร เขาอ้างว่าตัวเองเป็นคนจากดินแดนอันห่างไกล ไกลมากๆ เขาเรียกดินแดนที่จนมากว่า เอิร์ธ และเขายินดีที่จะช่วยเหลือประชาชนเพื่อปลดปล่อยพวกเขาออกจากการปกครองอันโหดร้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังหรือความเป็นอยู่ก็ตาม…”
ถึงจุดนี้ผมเริ่มขมวดคิ้วซะแล้ว นี่มันนิทานเด็กจริงๆเหรอ? แม่คนนี้สงสัยบ้างหรือเปล่านะ บางทีก็อาจจะ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังคงเล่าต่อไป
“หลังเขาปรากฏตัวไม่นานนัก ด้วยความสามารถอันสุดยอดของเขา ปัญหาในดินแดนก็เริ่มหายไปทีละอย่าง จนเหลืออย่างสุดท้ายคือ ตัวผู้ปกครองอาณาจักรคนปัจจุบัน เพราะเขาเป็นคนมีชื่อเสียง ทหารเฝ้ายามรู้จักกันดี ขุนนางหลายคนก็ชื่นชอบเขา ดังนั้นเขาจึงได้รับการสนับสนุนเพื่อเข้าไปพบกับพระราชา เขากล่าวกับพระราชาว่า ถึงเวลาที่คุณต้องออกจากบัลลังก์ แล้ว พระราชาผู้โหดร้ายได้ยินก็โกรธมาก ชักดาบออกหมายจะฟันผู้มาเยือน ทว่าด้วยความสามารถอันเลิศล้ำ ผู้มาเยือนได้ปัดป้องความประสงค์ร้ายนั้นออกไปและใช้ดาบขจัดความ โหดร้ายของพระราชา ด้วยความซาบซึ้งในความสามารถของอีกฝ่าย จึงยอมมอบตำแหน่งผู้ปกครองคนต่อไปให้แก่ผู้มาเยือนจากแดนไกล ส่วนพระราชายินดีรับโทษ…”
เนื้อเรื่องมั่วซั่วชะมัด แต่ผู้มาเยือนจากแดนไกล… คนต่างโลกแบบผมหรือเปล่านะ?
“สุดท้าย พระราชาคนใหม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เกิดเป็นราชวงวอิงกริดขึ้นมา และพระราชาผู้อยู่ในธรรมจึงได้ยกโทษให้แก่อดีตราชาผู้โหดร้าย ทั้งสองเป็นเพื่อนกันนับแต่นั้นสืบมา…”
มีแต่ศัพท์ที่เด็กทารกไม่น่าเข้าใจเต็มไปหมดไม่พอ เนื้อเรื่องยังแปลกพิลึกอีก… แต่เอาเถอะ คงไม่มีเด็กทารกที่ไหนมานั่งตีความนิทานหรอก
หลังจากนั้นเธอก็เล่านิทานให้ผมฟังอีกหลายเรื่อง หลังจากเรื่องแรกที่เธอเล่า เรื่องที่เหลือก็เป็นนิทานที่ผมรู้จักดี ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายกับเต่า ราชสีห์กับหนู สโนวไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด
จุดที่น่าแปลกใจคือ เรื่องราวพวกนี้คือเรื่องราวในโลกของผม การที่มันมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ด้วย อาจแปลว่าเคยมีคนจากโลกเดียวกันกับผมเดินทางมาแล้ว และใช้นิทานพวกนี้เล่าให้ลูกของเขาฟัง
เวลาผ่านไปจนแสงเริ่มหายจากห้องอีกครั้ง แม่ในโลกนี้อาจจะเหนื่อยล้าจนผล็อยหลับไปบนเก้าอี้
ผมหลับตาตามประสาเด็กทารกอีกครั้ง
หนึ่งชั่วโมง? สองชั่วโมง? ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว แต่ผมลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังกุบกับ กุบกับจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงตะโกนบอกให้ หยุด ดังๆหนึ่งครั้ง
ผมหิวแล้ว แต่ผมทนเอาไว้เพราะตอนนี้เหมือนจะได้ยินเสียงแม่คุยกับผู้มาเยือนกลางดึก
“ที่รัก เป็นยังไงบ้าง”
เจ้าของเสียงนั้น ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของสามีของแม่ของผม หรือก็คือของพ่อของผมในโลกใบใหม่นั่นเอง
เขากำลังคุยกับแม่ เสียงของเขาค่อนข้างดัง ผมจึงได้ยิน แต่เสียงของแม่ค่อนข้างเบา นอกจากเสียงตักเตือนให้พ่อลดเสียงลงเพราะลูกหลับอยู่แล้ว ผมก็จับใจความบทสนทนาของทั้งคู่ไม่ได้อีก
เช้าวันต่อมา กิจวัตรประจำวันที่คล้ายๆเดิมกลับมาเริ่มต้นใหม่
แม่ของผมสรรหาเรื่องมากมายมาเล่าได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่นั่นนับว่าเป็นเรื่องบันเทิงสำหรับผมที่เป็นแค่เด็กทารกและทำอะไรไม่ได้มากนัก
กิจวัตรวนเป็นเช่นนี้ถึงสามเดือน…
“แม่…”
ผมลองส่งเสียงเบาๆดูเพื่อไม่ให้แม่ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องได้ยิน จากความรู้ในโลกเดิมของผม กว่าเด็กทารกจะพูดต้องอาศัยเวลานานกว่านี้สักหน่อย แต่ตัวตนของผมกำลังจะเข้าใกล้เด็กทารกไปเรื่อยๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจรอได้อีก
เสียงที่ออกจากปากผม ฟังยังไงก็เสียงเด็ก ก็ไม่แปลกเพราะผมยังเด็กอยู่
ตอนที่แม่เข้ามาอีกครั้ง ผมเซอร์ไพรส์เธอดีมั้ยนะ? ตอนที่คิดแบบนั้นเธอก็เปิดประตูเข้ามาพอดี
ผมส่งเสียง แอ้ ทักทาย เธอหันมายิ้มให้ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมก็ยังต้องกินนมเหมือนเคย
“แม่”
เสียงแหลมเล็กแต่น่ารักหลุดออกจากปากผม เธอหันมามอง เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เธอรีบวางหนังสือที่หอบมาด้วยไว้บนโซฟาที่มักนั่งอ่านนิทานให้ผมฟังประจำ
อย่างน้อยก็เซอร์ไพรส์ได้สำเร็จ ขึ้นอยู่กับหลังจากนี้…
“ลูก ลูกพูดได้แล้ว?”
เธอเอามือแตะหน้าตัวเองเหมือนคนทดสอบว่ากำลังฝันไปหรือไม่ ถ้าเป็นในโลกเดิมผม เธอคงหยิกแก้มตัวเองไปแล้ว
ไม่ทันขาดคำ เธอก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
“แม่”
ผมรอส่งเสียงอีกที ในฐานะเด็กทารก หากพูดคำอื่นมากกว่านี้ มันคงผิดปกติน่าดู ผมจึงเลือกที่จะพูดแค่นี้ก่อนแล้วกัน
ผลตอบรับที่ได้ เกินความคาดหวังไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นกว่าเก่า
เธอจับผมอุ้มขึ้นมาแล้วยิ้มกว้างแสดงถึงความดีใจของเธออกมา
เย็นวันนั้น พ่อในโลกใหม่ของผมกลับมาเร็วกว่าทุกวัน แม่อวดกับเขาว่าลูกพูดคำว่า ‘แม่’ ได้แล้ว
เขาเบิกตากว้างอย่างดีใจเหมือนกับแม่ไม่มีผิด เขาบอกให้ผมลองเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ บ้าง ซึ่งผมก็ทำได้ไม่มีจุดติดขัดอะไร
“สุดยอด…”
พ่อเองก็ดูภูมิใจกับผม สีหน้าของเขาเหมือนอยากเข้ามากอด แต่ผมร่างบอบบางเกินไปจะทำเช่นนั้น
“พวกเราก็หลงคิดว่าลูกเรามีปัญหาอะไรซะอีก”
“ฉันบอกแล้วว่าลูกของเราเป็นอัจฉริยะ เขาแค่ต้องการเวลานิดหน่อยเท่านั้นเอง”
แม่พูดเข้าข้างผม ส่วนพ่อแสดงท่าทางโล่งใจออกมา
แต่ในใจผมกลับร้อง ห๊ะ? ออกมา
หรือว่า…
“ก็ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าผมพูดได้ตั้งแต่เดือนแรกแล้วนี่หน่า”
พ่อกอดอกแล้วพูดแบบนั้น
ผมจึงได้แต่ร้อง ห๊ะ? ในใจ
“ลูกเป็นเด็กดีจะตาย เขาแค่อาจจะมีพัฒนาการด้านอื่นก่อนการพูดก็ได้นี่คะ”
ดูเหมือนว่า เด็กทารกในโลกนี้จะเรียนรู้วิธีการออกเสียงได้เร็วกว่าโลกของผมสินะ…
MANGA DISCUSSION