ในกลางดึกคืนหนึ่ง ณ หมู่บ้านชนบท สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ไม่มีจุดเด่นอะไรนอกจากเป็นหมู่บ้านที่สงบ มีเพียงมอนส์เตอร์บุกเข้าไปจู่โจมเป็นบางครั้ง
ค่ำคืนนี้ มันควรเป็นค่ำคืนที่ไม่แตกต่างกัน
มันควรเป็นคืนที่ฟ้ากระจ่าง ไม่มีเมฆ ดวงจันทร์ส่องแสงสีนวลเป็นเพื่อนแก่ผู้คนที่นอนไม่หลับในยามนี้
ทว่า ในบ้านหลังหนึ่ง สองสามีภรรยายังไม่สามารถหลับลงได้
“คิดถึงชินเหมือนกันนะคะ…”
“ไม่ต้องเป็นห่วงชินหรอก คุณหมอวิเวียนเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์เลยนะ”
“นั่นสินะคะ ชินเองก็เป็นผู้กล้าด้วยนี่หน่า”
ไม่ใช่คำเปรียบเปรยว่าลูกชายของตนที่ไปกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับพวกตนนั้น เป็นเหมือนผู้มอบความกล้าให้แก่ครอบครัว
แต่เป็นความหมายโดยตรงของ ผู้กล้าของโลกนี้
“คุณรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ฝ่ายสามีเอ่ยถาม ขณะนั่งขัดดาบที่วางบนตักด้วยแขนข้างเดียวของตน
“น่าจะหลังจากเหตุการณ์ก็อบลินในครั้งนั้น ท่าทีของลูกดูจริงจังขึ้นมา ฉันไม่คิดว่าเด็กเล็กจะแสดงความจริงจังแบบนั้นออกมาได้ค่ะ”
“อืม ผมแพ้สินะรอบนี้”
“ชนะคุณที่เป็นหัวหน้าคนมามากมายได้ นับว่าเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
ฝ่ายภรรยาพูดจาหยอกล้อและย่อขาลงเล็กน้อยเหมือนการแสดงความเคารพต่อบุคคลที่กำลังคุยด้วย
ณ เวลานี้ ปกติพวกเขาจะเข้านอนแล้ว สาเหตุที่ยังตื่นอยู่ ไม่ใช่ว่าพวกเขานอนไม่หลับ
แต่เป็นเพราะ…
“คืนนี้แล้วสินะคะ”
“อลิเซีย ผมไม่อยากให้คุณอยู่กับผมจนสุดทางเลย”
“อยากให้ฉันหนีไปคนเดียวเหรอคะ? ฉันทำไม่ได้-”
ผลั่ก!
“ขอโทษนะ อลิเซีย แต่คืนนี้มีคุณรอดสักคนก็ยังดี”
“ดีแล้วเหรอครับ หัวหน้าโทริส?”
ในมุมหนึ่งของความมืดมิด ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
เขาเป็นชายไว้ผมยาว หากนับจากครั้งแรกที่เจอกัน สำหรับโทริสแล้ว ภาพลักษณ์เช่นนี้ช่างแปลกตาเหลือเกิน
“ฉันไม่อนุญาตให้ตั้งคำถามนะ เฟลิซ”
“กลับมาเป็นหัวหน้าแบบเมื่อก่อนแล้วเหรอครับ”
“เออ คืนเดียวก็ยังดี”
“แต่ผมว่า ผมพอจะพาหนีไปได้หมดนะครับ”
“ฉันเลือกแล้วน่า หยุดพูดแล้วรีบออกเดินทางซะ ไป๊”
โทริสไล่เสียงดัง ชายชื่อเฟลิซยกแขนขึ้นมาป้องกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงจะโดนไล่เช่นนั้น เขาก็ไม่สามารถไปไหนได้
“หัวหน้าโทริส ผมอยากช่วยทั้งคู่จริงๆนะ ไม่ได้จริงๆเหรอ”
“ไม่ได้ ข้อหนึ่งฉันเป็นตัวถ่วงในการเดินทางของแกมากแน่ๆ ม้าที่แกเอามาแบกคนได้สักกี่คนกันเชียว? ข้อที่สอง ถึงแกจะบอกให้ฉันกลับไปรวบรวมกำลังมาก็ตาม แต่สถานการณ์เมืองหลวงตอนนี้เป็นแบบไหน แกก็รู้ ฉันไม่ได้ดูถูกว่าฝีมือระดับแกจะสู้ใครไม่ได้ แต่จำนวนคนที่ฉันหามาได้ด้วยศรัทธาทั้งที่ฉันมีและแกมี ต่อให้นับรวมคนในหมู่บ้านที่รู้สึกสำนึกบุญคุณไปแล้ว คงทัดทานไม่ได้นานอยู่ดี”
เพราะเขารู้ดีว่า คนที่ต้องการชีวิตของเขามีอำนาจมากแค่ไหน ต่อให้มีกองกำลังสักร้อยคน ก็คงได้กำจัดหมดในไม่กี่วัน หรือถ้าเพิ่มมาเป็นหลักพัน ทางนั้นคงทุ่มอำนาจการเงินมาจัดการอยู่ดี
“และข้อที่สามนะ เฟลิซ เป้าหมายของพวกมันคือฉัน ถ้าฉันยังไม่ตาย การไล่ล่าก็คงไม่จบลงแค่วันนี้”
สีหน้าของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชายังคงลังเล เขากรอกตาไปมาซ้ายขวา โทริสรู้ดีว่านั่นคือท่าทางของเขาตอนกำลังหาข้ออ้าง
“ไปได้แล้ว เฟลิซ”
“…รับทราบครับ หัวหน้าโทริส”
เมื่อเวลาไม่มีเหลือพอที่เขาจะคิดคำโต้แย้ง สิ่งสุดท้ายที่ทำได้เหลือเพียงเชื่อฟังคำสั่งอดีตผู้บังคับบัญชาของตน
เฟลิซแบกอลิเซียในสภาพหมดสติขึ้นหลัง แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็สามารถไปต่อได้
ท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน แม้มีแสงจันทร์ส่องทาง แต่ไม่ว่ายังไง การเดินทางคนเดียว ไร้คนคุยก็ชวนอ้างว้าง และนำมาซึ่งความหวาดกลัว
เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม นกกลางคืนที่ไม่เคยเห็นตัวส่งเสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยิน
แต่ถึงแม้จะหวาดกลัว แต่เฟลิซก็ผูกอลิเซียผู้ไร้สติไว้กับอานม้าไว้อย่างดี ป้องกันไม่ให้เธอตก
หากเธอตื่นขึ้นมา ค่อยใช้เวทย์สายฟื้นฟูเพื่อรักษาเธอก็ได้ เรื่องแค่นั้น อลิเซียผู้ใจดีคงไม่ว่า
แต่การทิ้งสามีของเธอแล้วพาเธอหนีมาเช่นนี้ นั่นต่างหากที่เฟลิซกังวล
เขาลูบคอม้าสีน้ำตาลตัวโปรด เพื่อปลอมประโลมผู้ช่วยเพียงหนึ่งเดียวของเขาในยามนี้
มันหายใจรดลำตัวเขา ขาหน้าขยับขึ้นลงสองสามที เพราะรู้จักกันมานาน ถึงจะพูดภาษาเดียวกันไม่ได้ แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันบอกว่า ไม่เป็นไร
“ไปกันเถอะ”
ไม่ใช่คำพูดที่เขากล่าวกับมา เสียงแผ่วเบาเช่นนั้น เขาเอ่ยกับตัวเอง ตั้งใจเตือนตนเองไม่ให้หวาดกลัวต่อสิ่งเร้าในยามค่ำคืน
เสียงฝีเท้าม้าดัง กุบกับ เริ่มออกวิ่ง
แมลงตอนกลางคืนยังคงใช้ชีวิตของมันต่อไป เสียงมอนส์เตอร์หากินกลางคืนออกล่าเหยื่อ
เสียงซวบซาบดังตามทางที่เขาและม้าวิ่งผ่าน เสียงนกกลางคืนชวนน่ากังวลว่ามันจะมาทำร้ายดังตลอดทาง
แม้ในคืนเช่นนี้ คืนแห่งการทำลายล้างที่เฟลิซจะจดจำเอาไว้ เหล่าสิ่งมีชีวิตก็ยังคงดำเนินชีวิตต่อไป
หลายชีวิตมีชะตาต้องจบลงในค่ำคืนนี้ ด้วยกองกำลังที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ต้องออกห่างจากหมู่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด
นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
…
ฉันเห็นแสงไฟจากคบเพลิง
พวกมันเข้าใกล้มาขึ้นเรื่อย ๆ
หากเป็นในวันเวลาที่ฉันยังเดินเหินได้คล่อง คงลุกขึ้นสู้แม้จะมั่นใจว่าจะไม่ชนะ
ตอนนี้ที่เหลือตกค้างภายในร่างพิการนี้มีเพียงความคิดที่ว่า อย่างไรก็ไม่ชนะ
แต่ถึงกระนั้น…
“อลิเซีย”
ฉันเอ่ยชื่อภรรยาสุดที่รักของฉัน หนึ่งในบุคคลที่ฉันให้ความสำคัญที่สุดในตอนนี้
หญิงสาวผู้ไม่สนยศถาบรรดาศักดิ์ของฉัน หญิงสาวผู้ทำให้ฉันหลงไปห้วงแห่งความรัก พัดพาโชคชะตามาจนถึงวันนี้
ไม่เคยคิดที่จะโทษเธอว่าทำให้ฉันมีสภาพเช่นนี้ และตอนนี้ ขอให้เธอปลอดภัยก็พอแล้ว
เสียงคนกรีดร้องนับไม่ถ้วน
ขอโทษนะ ที่ทำให้เดือดร้อนไปด้วย
อยากไปขอโทษ แต่ทำไม่ได้
เสียงคนตะโกนสุดเสียง ราวกับฟ้าถล่ม ดินทลาย ชีวิตของพวกเขาถูกปลิดลงในไม่กี่วินาที
ฉันได้ยินเสียงคนตะโกนออกคำสั่ง
อ่า เป็นเสียงที่คุ้นเคย
เสียงของบุคคลในครอบครัวของตนเอง ครอบครัวที่ห่างหายกันไปนานแสนนาน…
“ชิน…”
ลูกชายของฉันกับอลิเซีย ไม่ใช่มนุษย์ปกติ เขาคือคนจากต่างโลก เป็นคนประเภทเดียวกับผู้กล้าในตำนาน และหลายคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้กลับชาติมาเกิดในยุคปัจจุบัน
แม้จะไม่เห็นตัว แต่การทำตัวเกินอายุของลูกชายคนนี้ มองยังไงก็ไม่ใช่เด็กปกติทั่วไป
ไฟไหม้! ใครบางคนในหมู่บ้านตะโกน เสียงกรีดร้องดังทั่วทุกหนแห่ง
หมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงแห่งความเจ็บปวด เสียงแห่งการทำลายล้าง เสียงแห่งการเข่นฆ่าและล่าสังหาร
ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีไม่ถึงหลักร้อย แต่ด้วยจำนวนเพียงเท่านั้นก็สามารถทำลายหมู่บ้านที่ไม่ได้เตรียมการตั้งรับได้สบายๆ
เสียงประตูบ้านถูกเปิดออกอย่างรุนแรง ผู้บุกรุกวิ่งเข้าออกทีละห้อง
ได้ยินเสียงไฟเผาผลาญห้องที่ไกลที่สุด เสียงปะทุที่มีที่มาจากเปลวเพลิงกลืนกินเนื้อไม้ที่เป็นของประดับในห้องอย่างชั้นวาง หรือไฟที่ลุกลามเนื้อผ้าของม่านที่ติดไว้เพื่อความสวยงามดังขึ้นพอๆกับเสียงเอะอะของพวกเขา
ฉันกุมอาวุธในมือ ดาบโลหะธรรมดาๆที่ทอประกายแวววา
นาทีสุดท้ายของชีวิต สุดท้ายฉันก็ยังจับดาบ
ฝีเท้าใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะเร่งรีบอะไร
บางทีอาจจะเพราะผู้บุกรุกรู้แล้วว่า บุคคลที่เขาตามหาอยู่ที่นี่
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว
ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ สติของฉันถูกบังคับให้จับจ้องตัวตนของผู้มาเยือน จากเงาที่เห็นเป็นร่างใหญ่ๆ กลายเป็นเงาขนาดใกล้เคียงคนที่เข้าใกล้ฉันเข้ามาเรื่อย ๆ
จนในที่สุด…
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พี่โทริส”
อ่า หน้าตาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก น้ำเสียงของเขา ฉันยังจำได้ดี
น้องชายของฉัน แรนดัล ที่เอวเหน็บดาบไว้ในปลอกกับเข็มขัดหนังมอนส์เตอร์สีแดงราคาแพง
เป็นแรนดัลงั้นเหรอ…
“สภาพดูไม่ได้เลยนะ พี่ชาย”
ใบหน้าที่ฉันเคยคิดว่าน่าเอ็นดูบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม ดวงตามีประกายโทสะทำให้ขุ่นมัว ไม่มีความหมายที่จะสื่อสารกันไปมากกว่านี้
“อ่า แรนดัล ทำไมถึงเป็นแกกันนะ”
แค่แสร้งยิ้มยังทำไม่ได้ ช่างเป็นความรู้สึกก่อนตายที่ชวนให้ลำบากเสียจริง
“ทำไม ทำไมน่ะเหรอ? ช่างกล้าถามจริงๆเลยนะ”
น้องชายของฉันหัวเราะ เสียงคลุ้มคลั่งของเขาเรียกเหล่าผู้ติดตามให้มารวมตัวกัน
จากในห้องที่มีเพียงเราสองคน กลายเป็นคนนับสิบยืนประจัญหน้ากับคนพิการเพียงคนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ทำไม ทำไมคนโง่ๆอย่างมึงถึงถูกเลือกวะ ทำไมไม่ใช่คนอื่น”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้แกต้องลำบากรับภาระของฉันแทน ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นจริงๆ”
“มันสายไปแล้วเว้ย พี่ชาย… ถ้าแกหายๆไปได้ บางทีพวกฉันคงไม่โดนเปรียบเทียบ”
ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ในชีวิตของคนเราเผชิญการถูกเปรียบเทียบนับครั้งไม่ถ้วน ไม่กับคนที่ดีกว่าก็ด้อยกว่า ดังนั้นหากฉันตายไป ณ ตรงนี้ ความกดดันที่แรนดัลเผชิญย่อมไม่ได้หายไปไหน
เพียงแต่ ถ้าเป็นการขจัดความขุ่นข้องใจเพียงชั่วคราวให้น้องชายคนนี้ บางทีฉันอาจจะพอช่วยเหลือเขาได้
“เข้ามาสิ แรนดัล”
ฉันกำดาบแน่นด้วยมือข้างเดียวที่เหลือ แรนดัลอ่านท่าทีของฉัน ย่อมเข้าใจว่าหมายถึงอะไร
เขาชักดาบออกมา แสงสีเงินที่สะท้อนเข้าตาทำให้รู้ว่าโลหะที่ใช้ทำดาบมีคุณภาพสูงกว่าดาบของฉันมากแค่ไหน
หากปะทะกันตรงๆ ไม่เกินสามที ดาบของฉันคงแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่เพราะแบบนั้นแหละ
ฉันยิ้มออกมา
แรนดัลตะโกนแหกปาก ‘ยิ้มอะไรของแกวะ เสียสติไปแล้วหรือไง’ แล้วพุ่งเข้ามาฟันดาบใส่
ฉันใช้ดาบป้องกันเอาไว้ได้ แต่ก็ได้ยินเสียงแตกร้าวของตัวดาบ
พวกผู้ติดตามที่เห็นแรนดัลบุกเข้ามาก่อน เริ่มเคลื่อนไหว กลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาล้อมรอบฉันเป็นวงกลม บางทีคงต้องการปิดทางหนี
แรนดัลตะโกนบอกไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ก่อนจะบุกเข้ามาอีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่ยกดาบขึ้นมาป้องกันได้ แต่รอยร้าวเริ่มปรากฏ
คงทนได้แค่อีกครั้งเดียว ยังไม่ทันที่จะนึกในใจเสร็จสิ้นดี การโจมตีของแรนดัลครั้งที่สามก็บุกเข้ามา
ฉันยิ้มออกมา ยกดาบรับการโจมตีครั้งที่สาม
เสียงโลหะแตกกระจาย เศษชิ้นส่วนที่เคยประกอบรวมกันเป็นดาบของฉันร่วงหล่นลงพื้นชนิดนับจำนวนชิ้นไม่ได้
แรนดัลยืนหอบ การโจมตีเมื่อครู่คงใส่เรี่ยวแรงและอารมณ์มากเกินไป
ใบหน้าที่บิดเบี้ยว แสดงออกถึงความพึงพอใจในบางอย่าง แต่พอเห็นฉันยังยิ้มได้ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ แล้วพุ่งเข้ามา
‘ลาก่อนนะ อลิเซีย ชิน’
และแล้ว คมดาบสีเงินก็ส่องประกาย เป็นภาพสุดท้ายที่ฉันได้เห็น
…
เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนหอบกลางห้องในบ้านที่กำลังลุกไหม้
รอบตัวเขามีลูกน้องมากมาย แต่สิ่งที่สติของเขาจับจ้องเอาไว้มากที่สุดคือร่างไร้วิญญาณตรงหน้า
จัดการได้แล้ว ชนะมันได้แล้ว
เขาแสยะยิ้มออกมา เช็ดเลือดที่กระเด็นเปื้อนหน้าออกไป
ลูกน้องคนหนึ่งในชุดเกราะเบาเดินเข้ามาหาเขา รายงานสถานการณ์ว่าได้เวลาออกจากบ้านหลังนี้ก่อนที่มันจะถล่มลงมา
เขาเก็บดาบ หั่นไปสั่งลูกน้องให้จัดการเก็บหลักฐานว่าตนเป็นผู้ชนะ
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานอย่างแข็งขัน
สัดส่วนที่เคยถูกเป็นของมนุษย์ยังคงถูกทิ้งเอาไว้ แต่ส่วนหนึ่งที่ต้องนำกลับไปเป็นหลักฐานคือส่วนบนสุดของร่างกาย
ของเหลวสีแดงไหลเจ่อนอง อวัยวะบนสุดถูกตัดและห่อไว้ในผ้าเก่าๆ
หนึ่งกองกำลัง นายทหารราวสามสิบนาย
ในค่ำคืนนี้ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านที่พวกเขาไม่รู้จักชื่อ ไม่เคยคิดจะมาเยือน
หมู่บ้านที่เคยมีครอบครัวอาศัยอยู่หลายหลังคาเรือน กำลังจะถูกลบออกจากแผนที่ไป
และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ม่านของผู้กล้าคนสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
บทที่ 1 จบลงแล้วววว คิดเห็นยังไงก็คอมเม้นเอาไว้ได้นะครับบบ ตามอ่านทุกเม้นแน่นอนนน ╰(*°▽°*)╯
บท 2 เดี๋ยวมาลงตอนแรกวันพฤหัส
MANGA DISCUSSION