ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่นับจากผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่การตื่นนอนของผมในเช้าวันนี้ช่างแปลกประหลาด
ตรงปลายเท้าผม ตอนนี้มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเมด เส้นผมสีแดงตัดกับผิวคล้ำแดด อายุดูแก่กว่าผมไปสักสามถึงสี่ปี เหมือนเด็กวัยราวสิบขวบนิดๆ
ดวงตาของเธอตอนนี้ปิดสนิท หัวของเธอพิงเสาเตียง เหมือนผมได้ยินเสียงยามนอนของเธอ
ปลุกดีหรือเปล่านะ หรือปล่อยเธอนอนต่อดี
ในหัวปรากฏภาพตัวเลือกในกล่องสี่เหลี่ยม ทางเลือกมีปลุกเธอให้ตื่นหรือปล่อยเธอนอนหลับแบบนั้นต่อไปแล้วให้เธอตื่นขึ้นมาเอง
แต่ยังไม่ทันเลือกตัวเลือกข้อไหน เธอก็สัปหงก หัวกระแทกเสาเตียงส่งเสียงดัง โป๊ก ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญ
“จ เจ็บตัวแต่เช้าเลย”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“ม ไม่เป็นไรจ้า อ เออ! จริงสิ อรุณสวัสดิ์ค่ะ นายน้อย!”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองผม น้ำเสียงยามปกติคงเปี่ยมล้นด้วยความร่าเริงมากกว่านี้ถ้าหากว่าใต้ตาของเธอดูไม่คล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนเช่นนี้
จะว่าไป ท่าทางของเธอดูเจ็บน่าดู แม้ในตอนที่กล่าวอรุณสวัสดิ์ มือของเธอก็ยังกุมหัวตรงที่กระแทกไว้
ถ้าผมใช้เวทย์ [ฮีล] ได้ก็คงช่วยเธอได้บรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้บ้าง แต่ผมทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ จึงทำได้แต่ขยับจากหมอนแล้วไปยืนข้างๆเธอเท่านั้น
“น นายน้อย ฉันไม่ใช่เด็กนะ!”
เธอบ่นออกมาตอนที่ผมลูบหลังเธอ ทั้งที่พยายามปลอบแท้ๆ แต่เธอกลับหันมาโวยวายซะงั้น
โลกก่อน ผมไม่ค่อยถูกกับเด็กเท่าไหร่ แต่จริงๆความเห็นนั้นก็อาจเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ที่ผมคิดว่าตนเองไม่ถนัดรับมือกับเด็กอาจเป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นเพราะไม่เคยเจอเด็กมากกว่า
ตอนนี้ ผมควรขอโทษดีหรือเปล่านะ?
แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย คงไม่ต้อง… หรือเปล่านะ
ถึงกระนั้น ท่าทีของเธอก็ดูเป็นมิตรระดับหนึ่ง
“แล้ว… มีธุระอะไรเหรอครับ”
“อ๊ะ ท่าทางเหมือนพี่ชายของฉันเลย”
จากอายุข้างใน ผมคงเป็นพี่ชายที่อายุห่างจากเธอเกือบสิบปีได้จริงๆ
ผมไม่แย้งอะไร แล้วนั่งลงบนขอบเตียง ขณะเดียวกันเมดสาวผิวคล้ำผมแดงก็ยืนขึ้นแล้วโค้งตัวลงต่อหน้าผม
“ขออภัยที่แสดงภาพไม่ดีให้นายน้อยเห็นค่ะ! คือว่า อรุณสวัสดิ์ค่ะ! นายหญิงชวนออกกำลังกายยามเช้าข้างนอกด้วยกัน หากนายน้อยสนใจให้ไปเตรียมตัว…”
ดูเหมือนหน้าที่ของเธอจะเป็นการส่งข้อความ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้เธอผล็อยหลับไปก่อนที่จะได้ปลุกผมจนตื่น
ผมไม่รู้ว่าเวลาที่เธอใช้ในการงีบนั้นยาวนานแค่ไหน แต่บางทีถ้าไปตอนนี้คงทัน
เพราะผมยังไม่ได้ยินเสียงคนออกกำลังกายเลย
ผมลุกจากเตียง ให้เมดผมแดงออกจากห้องไปแล้วเริ่มเปลี่ยนเสื้อเพื่อไปพบกับวิเวียนในเช้าวันนี้
…
ที่ลานหน้าคฤหาสน์หลังโต วิเวียนยืนหันหลังให้ เธอคงรอผมอยู่
ณ ตอนนี้ ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดี มีเพียงแสงเรืองๆที่ลอดผ่านกลีบเมฆมา ผมมองการมาถึงของเช้าวันใหม่
ผมเห็นเธอสวมชุดเหมือนเมื่อวานตอนที่เราปะทะกัน เส้นผมสีทองถูกรวบเอาไว้เป็นทรงหางม้าเช่นเดียวกับเมื่อวาน ตอนนี้เธอยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าบ้าน
ผมในวัยเจ็ดขวบ มองแผ่นหลังของเธอแล้วรู้สึกว่าเธอช่างยิ่งใหญ่ เป็นเหมือนกำแพงที่ตั้งตระหง่าน แข็งแกร่งและงดงาม
ผมเดินเข้าไปหาเธอ ในหัวเกิดความคิดพิเรนทร์ว่าหากลองย่องไปเงียบๆ เธอจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ไม่ทันไร เธอก็หันมาแล้วยิ้มให้
“อรุณสวัสดิ์ เช้าวันนี้เอาเป็นวิ่งรอบบ้านสักสิบรอบ…”
ชั่วขณะหนึ่งเธอเหลือบตามามองผม
“ถ้าวิ่งไม่ไหว บอกฉันได้เสมอนะ ชิน”
“ผมจะพยายามให้ถึงที่สุดครับ”
ผมไม่คิดว่าระยะทางระดับวิ่งรอบคฤหาสน์หลังใหญ่สักสองถึงสามรอบ ไม่ใช่ระยะทางที่มากมายอะไร ทว่าความคิดเช่นนั้นของผมกลับผิดถนัด
จริงอยู่ที่สักรอบสองรอบ มันไม่ได้เหนื่อยมากมายนัก แต่นั้นเป็นเพียงการกะด้วยสายตา
เพราะในความเป็นจริง แค่ผ่านรอบแรก เข้าสู่รอบที่สอง เรี่ยวแรงที่ผมมั่นใจว่ามีเยอะก็เริ่มหมดไป
พอเข้าสู่รอบที่สาม ร่างกายของผมก็เหนื่อยล้าจนแทบรับไม่ไหว ผมพยายามหายใจเอาอากาศเข้าไปให้มากที่สุด กลายเป็นสภาพคนวิ่งไปหอบไปในแบบที่ไม่น่าดูนัก
“ชิน พักก่อนเถอะนะ”
วิเวียนวิ่งเข้ามาหาผมที่กำลังจะหมดแรง สีหน้าของเธอยังคงดูปกติดีเหมือนตอนเริ่ม ตรงกันข้ามกับผมที่ใครเห็นคงบอกว่าไม่ไหวแล้วกันทั้งนั้น
ผมไม่ได้อยากทำเท่เพื่อใคร ตอนนี้คงต้องนั่งพัก แต่ขาก็อ่อนล้าเหลือเกินจริงๆ
ไม่เคยคิดว่าขาหนักขนาดนี้มาก่อน ผมลากสังขารของเด็กวัยเจ็ดขวบ ไปนั่งบนพื้นที่หน้าบ้านให้ห่างจากเส้นทางการวิ่งของวิเวียน
ขณะที่นั่ง ผมได้ยินเสียงประตูด้านหลังเปิดออก พร้อมเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้จากด้านหลัง
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านชิน”
น้ำเสียงที่นิ่งสงบ ผมหันหลังกลับไปมองก็พบกับเมดร่างสูงกับเส้นผมสีเงินแซมดำและใบหน้าที่สงบนิ่งเหมือนผิวน้ำที่ไม่มีสิ่งใดตกลงไปกระทบ
อาร์เจนตายืนอยู่ตรงนั้น แม้จะคุยกับผมแต่กลับไมได้มองมาที่ผม แต่มองวิเวียนที่กำลังวิ่งต่อไป
“หากท่านประสงค์จะพักผ่อน ดิฉันยินดีต้อนรับท่านอย่างเต็มที่ แต่ไม่แนะนำให้ท่านไปอาบน้ำ เนื่องจากมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก”
“ไม่เป็นไรครับ ขอผมนั่งตรงนี้อีกสักพัก”
“ท่านช่างแปลกประหลาด…”
เหมือนผมเคยได้ยินเธอพูดประโยคเช่นนี้มาแล้วชอบกล แต่ช่างมันเถอะ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังขึ้นเพียงสองถึงสามก้าว ผมก็เห็นอาร์เจนตามายืนข้างๆผมแล้ว
“หากท่านไม่ว่าอะไร ดิฉันขอยืนดูท่านวิเวียนตรงนี้”
ไม่มีทางว่าอะไรอยู่แล้ว ผมพยักหน้าให้กับอาร์เจนตาแล้วหันไปมองวิเวียนวิ่งต่อไป
“คุณอาร์เจนตา ถ้าผมถามอะไรสักเรื่องจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า”
“หากเป็นคำถามที่ดิฉันตอบได้ ดิฉันจะตอบค่ะ”
ผมไม่รู้จะชวนเธอคุยเรื่องอะไรดี จึงโพล่งคำถามออกไปแบบนั้น ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเธอจะตอบกลับมาด้วยเสียงจริงจังขนาดนี้
แต่ในฐานะคนเริ่มต้นก่อน ขอสานต่อบทสนทนานี้ต่อจนจบ
“ในสายตาของคุณอาร์เจนตา วิเวียนเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
“ไม่ค่อยเข้าใจคำถามค่ะ ประสงค์ให้ดิฉันระบุนิสัยของท่านวิเวียนหรือกล่าวถึงลักษณะภายนอกคะ?”
เธอถามผมกลับด้วยเสียงที่แข็งทื่อ คล้ายเสียงของหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมให้เข้าใจภาษา แต่ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกใดๆ
ผมลังเลนิดหน่อยว่าจะถามเธอต่อดีหรือไม่ แต่ในเมื่อตั้งใจและได้โอกาสทั้งที ผมอยากรู้เรื่องราวของวิเวียนมากกว่านี้
“ผมหมายถึง อืม นั่นสินะ ทั้งสองอย่างเลย”
ชั่วขณะหนึ่ง ผมเห็นเธอลอบยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำถามของผม เมื่อวานผมไม่ได้ตาฝาดไปเองจริงๆ
“นิยามสั้น ๆของท่านวิเวียน คือท่านเป็นคนแข็งแกร่งค่ะ”
“แข็งแกร่งเหรอครับ?”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเริ่มเล่าต่อ
“หากให้เทียบ ทักษะวิชาดาบของดิฉันคงมากกว่าท่านวิเวียน แต่ท่านวิเวียนสามารถใช้พลังกายของตัวเองในการกลบความแตกต่างนั้นได้ค่ะ”
ฟังดูแล้วเป็นคนใช้กำลังในการแก้ปัญหาชอบกล แต่หากเป็นวิเวียน ก็พอนึกภาพออกได้ไม่ยาก
ภาพที่เธอฟันดาบแบบไม่สนสิ่งใด มีเป้าหมายแค่โจมตีศัตรูให้โดน และถึงแม้ศัตรูจะใช้งัดทักษะที่เชี่ยวชาญมามากแค่ไหน เธอก็จะบดขยี้ทิ้งไปทั้งๆแบบนั้น
ไม่ใช่ภาพที่เกินจินตนาการได้เลย…
แต่การที่เธอกล่าวว่าทักษะด้านดาบของตัวเองสูงกว่า แปลว่าคงมั่นใจในตัวเองพอสมควร
ไม่รู้ว่าภูมิหลังของเธอเป็นเช่นไร หากถามตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่อง ผมไม่คิดว่าเราสองคนสนิทกันขนาดนั้น
สักวันหนึ่ง หากผมยังอยู่บ้านหลังนี้ต่อและเธอยังคงไม่ไปไหน เราคงได้เปิดอกคุยกันจริงๆ
คิดเช่นนั้น แล้วก็เห็นวิเวียนหยุดวิ่งพอดี
เธอเดินเข้ามาหาพวกเรา เหงื่อท่วมร่างกายของเธอ โดยเฉพาะใบหน้าที่เห็นเด่นชัดที่สุด ผมแทบไม่ได้นับแล้วว่าเธอวิ่งวนรอบคฤหาสน์ไปกี่รอบตั้งแต่เกินสิบรอบขึ้นไป
“หายเหนื่อยบ้างหรือยัง ชิน?”
“เหนื่อยแค่นั้น พักแป๊บๆก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วครับ”
ผมไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เหนื่อยแค่นั้นพักสักนิดก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ดูเหมือนวิเวียนจะไม่คิดเช่นนั้นเท่าไหร่นักจึงหัวเราะในลำคอเบาๆแล้วยื่นมือออกมาสัมผัสศีรษะของผม
“ไม่ฝืนตัวเองก็ดีแล้ว”
“อย่าทำเหมือนผมเป็น…”
อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็ก ผมอยากพูดแบบนั้นออกไป แต่ไม่รู้ว่าอาร์เจนตารู้เรื่องของผมในฐานะผู้กลับชาติมาเกิดมากน้อยแค่ไหน คำพูดของผมจึงหยุดอยู่แค่นั้น
“อาร์เจนตา หลังทานมื้อเช้าด้วยกันเสร็จแล้ว ฝากเตรียมชุดให้ชินหน่อยนะ”
“รับทราบค่ะ ประสงค์จะให้ฉันทำความสะอาดร่างกายท่านชินด้วยหรือเปล่าคะ?”
ไม่ต้องเลย ผมอาบน้ำเองได้ อยากบอกแบบนั้นออกไป แต่พอเงยหน้าแล้วเห็นว่าวิเวียนกำลังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม จิตใจก็เริ่มหวั่นๆว่าเธอจะไม่ตอบในแบบที่ผมต้องการ
“เอายังไงดีน้า~”
เธอเอานิ้วแตะคาง เป็นท่าทางที่ทรงเสน่ห์หากว่าไม่อยู่ในสถานการณ์ขับขันเช่นนี้
และยิ่งเป็นสัญญาณเตือนอันตราย ในจุดนี้ผมคงต้องยืนยันความเห็นของตัวเองให้ชัดเจน
“ผมทำเองได้ ไม่เป็นไร”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทั้งสองคนเหมือนจะส่งเสียง หึ ออกมาพร้อมๆกัน
“งั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกันนะ อาร์เจนตา ฝากเรื่องชุดด้วย”
โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่แน่ใจนัก แต่อย่างน้อยผมก็จัดการปัญหาตรงหน้าได้แล้ว
หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จ อาร์เจนตาถือชุดที่วิเวียนสั่งให้เตรียมเอาไว้ให้มาหา มันเป็นชุดที่ผมไม่เคยใส่ น่าสงสัยเหมือนกันว่าทำไมวิเวียนถึงรู้ขนาดของร่างกายของผมได้แม่นยำขนาดนี้ เพราะเสื้อที่สวมมันค่อนข้างพอดีเป๊ะเลย
“ท่านวิเวียนรออยู่ที่ห้องรับรองแขกค่ะ”
“อ อ้าว”
พอเปลี่ยนชุดหลังอาบน้ำเสร็จ อาร์เจนตาที่ไม่รู้ว่ายืนรอมานานแค่ไหนก็เข้ามาทักหรือบางทีเธออาจจะเฝ้าแต่แรกแล้วก็ได้
ตอนที่สองขากำลังก้าวเดินโดยมีจุดหมายเป็นห้องที่วิเวียนรออยู่ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามหลังมา
คงเป็นอาร์เจนตานั่นแหละ
ไม่นานนัก เจ้าของเสียงฝีเท้าคู่นั้นก็มาเดินข้างผม
เงาสูงที่บดบังแสงอาทิตย์เป็นระยะๆ ผมคิดว่าตัวเองคิดไม่ผิด
พอเงยหน้ามองขึ้นไป ก็พบอาร์เจนตาเดินในจังหวะเดียวกันกับการก้าวเท้าเล็กๆของผม เหมือนเธอพยายามเดินโดยไม่เร่งฝีเท้ามากนัก คงเป็นการทำเพื่อไม่ให้แซงหน้าผมไปมากนัก
เมื่อถึงหน้าประตู เธอเป็นคนออกแรงผลักบานประตูให้เปิดกว้างออก
ชั่วขณะหนึ่ง ผมเห็นลูน่า เมดสาวผมฟ้าที่กำลังทำความสะอาดพื้นบ้านหันมามองตาขวางแล้วเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจแล้วเดินหนีไปทางอื่น
ดูยังไงก็ไม่น่าเข้ากันกับเธอได้ แต่เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ผมถอดใจง่ายๆ
ผมและอาร์เจนตาเดินมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองแขกซึ่งอยู่ชั้นหนึ่ง
คนที่รออยู่ในห้องคือวิเวียนที่เปลี่ยนไปสวมชุดเหมือนเจ้าหญิงที่ปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้าน พอเห็นผมเดินเข้ามา เธอก็ยิ้มให้
กำหนดการณ์หลังจากนี้ เป็นการพาผมไปเที่ยวชมรอบบริเวณที่อยู่อาศัย กล่าวคือไปสำรวจพื้นที่นอกจากบริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่
“ฉันรู้ว่าเธอชอบอยู่ในบ้านมากกว่า แต่อย่างน้อยก็อยากให้รู้จักพื้นที่รอบๆนี้นะ”
วิเวียนว่าไว้อย่างนั้นระหว่างที่เรากำลังจะเดินทางออกจากบ้าน
มือเธอจับมือผมเอาไว้ สัมผัสนุ่มๆของฝ่ามือหญิงสาวเบื้องหน้าส่งผ่านมาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
พอเราเข้าใกล้เขตชุมชนที่มีผู้คนเดินพลุ่กพล่าน มือที่กุมกันเอาไว้เหมือนจะแน่นขึ้นไปอีก
เธอหันมาบอกผมที่เดินตามหลังไม่กี่ก้าวว่า “อย่าปล่อยมือเชียวนะ” ไม่ก็ “ระวังหลง” เป็นระยะ
ยิ่งเราเดินกันไปข้างหน้ามากเท่าไหร่ ปริมาณผู้คนที่เดินสวนกันไปมายิ่งมากขึ้นตาม ผมรู้สึกได้ว่าเธอเดินช้าลง ทำให้ผมแทบจะเดินตามทัน
นอกจากนั้น ยังเริ่มได้ยินเสียงอันมีชีวิตชีวา เสียงที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการดำเนินชีวิตในประจำวัน
เสียงของคนขายอาหาร กลิ่นของเนื้อที่กำลังถูกย่าง
เสียงของคนขายอุปกรณ์และเครื่องประดับอะไรสักอย่างที่กำลังโอ้อวดสรรพคุณเพื่อเพิ่มยอดขายของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
และตัวผมที่โดนวิเวียนลากเข้าไปในร้านเสื้อผ้า พร้อมกับเสียงกระดิ่งร้านยามประตูถูกผลักเข้าไปดัง กริ๊ง
พนักงานร้านกล่าวคำ ยินดีต้อนรับครับ อย่างเป็นกันเอง ดูเขาจะสนิทกับวิเวียนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“ฉันมารับชุดสำหรับเด็กผู้ชายที่สั่งตัดไว้ค่ะ”
ไม่ได้มาซื้อชุด แต่มารับชุดงั้นเหรอ?
พนักงานค้อมคำนับหนึ่งที แล้วเดินหายไปหลังร้าน ผมเงยหน้ามองวิเวียนแล้วเกิดคำถามขึ้นมา
หากชุดที่เธอรับเป็นชุดของเด็กผู้ชาย แปลว่ามันเป็นชุดของเราเหรอ?
“ไม่ต้องใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆหรอกนะ ชิน”
ทั้งที่ผมยังไม่ได้ถามอะไร แต่เธอกลับหันมาตอบพร้อมยิ้มให้ราวกับอ่านใจของผมได้
พนักงานร้านหายตัวไปไม่นานนัก เขาก็เดินออกมาพร้อมถุงกระดาษสองใบ
ผมได้ลองชุดนับสิบในถุงพวกนั้น ทุกชุดผมสามารถใส่ได้หมด ไม่มีตัวไหนที่หลวมเกินไปหรือสวมใส่แล้วรู้สึกแน่นเกินไป ราวกับว่ามีคนวัดขนาดตัวแล้วไปตัดชุดให้
ในหัวเกิดคำถาม ทำไมวิเวียนถึงรู้ขนาดตัวของผมได้นะ?
“ขอบคุณมากค่ะ” วิเวียนว่าแล้ววางเหรียญทองหนึ่งเหรียญกับเหรียญเงินอีกสองเหรียญไว้บนโต๊ะ จากนั้นพวกเราก็เดินออกมาเผชิญกับกลุ่มก้อนของประชากรที่ยังคงดำเนินชีวิตกันตามปกติ
เธอจับมือของผมอีกครั้ง ร่างเล็กๆของผมถูกพาเดินไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนอีกครา
เราไม่เร่งรีบอะไร สองเท้าของผมและเธอก้าวไปในทิศทางเดียวกับฝูงชน มีบางครั้งที่สวนกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องปกติของพื้นที่ชุมชนแบบนี้
“ถ้าอยากแวะร้านไหนก็บอกได้นะ ชิน”
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหน้าผม ถึงไม่เห็นใบหน้าแต่ก็มั่นใจว่าเธอคงยิ้มอยู่แน่ๆ
พอนึกภาพที่เธอกำลังยิ้มอยู่ ใบหน้าของผมก็พลันพลอยยิ้มตาม
แต่สุดท้ายร้านเดียวที่เราแวะกันก็เป็นร้านขายเครื่องประดับ
ผมไม่ใช่คนมีเซนส์ในการเลือกของฝากมากนัก พวกอัญมณีและเครื่องประดับเองก็คิดว่าไม่มีเช่นกัน
ทว่า…
“ช่วยฉันเลือกหน่อยสิ ชิน”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ถนัดเรื่องเลือกของพวกนี้เท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณค่าทางจิตใจมันสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
ที่เธอพูดคงไม่ผิดนัก ตัวผมที่มีประสบการณ์โดยตรงกับวันเกิดที่ต้องอยู่กันไม่พร้อมหน้าบ่อยๆสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้
แต่เพราะแบบนั้น หากจะเลือกส่งๆหรือเลือกของที่ดูแพงที่สุดเอาไว้ก่อนย่อมไม่ใช่เรื่องดี
คนขายเครื่องประดับไม่มีทางรู้ว่าผมเป็นผู้กลับชาติมาเกิดจากโลกอื่น เธอมองผมด้วยความเอ็นดู แถมยังช่วยยื่นของบางชิ้นมาให้ดูอีกต่างหาก
ในสายตาของเธอ ผมคงเป็นเพียงเด็กที่พูดจาดูแก่กว่าปกติเท่านั้น
“เอาเป็นชิ้นนี้ละกันครับ”
ผมมองเพื่อเลือกเครื่องประดับที่วางขายอยู่สักพัก สุดท้ายแล้วผมก็เลือกชิ้นที่เป็นสร้อยคอที่ทำจากหินอัญมณีสีฟ้าสดใสล้อมกรอบด้วยสีทองที่คงไม่ได้ทำจากทองจริงๆ
คนขายบอกราคาว่าหนึ่งเหรียญเงิน ดูแล้วราคาถูกกว่าเสื้อผ้าที่เธอแวะไปรับกับผมเสียอีก
“เป็นไงบ้าง เหมาะหรือเปล่า?”
หลังจากเราเดินออกห่างจากร้านค้า วิเวียนก็ลองสวมมันด้วยตัวเอง
ผมไม่ใช่คนที่จะนึกถ้อยคำบรรยายใครสักคนได้ดีนัก
หากบอกว่างดงาม ผมคงเทียบกับนางฟ้า ไม่ก็ดาราในละคร
และสำหรับผู้หญิงตรงหน้าของผม สำหรับวิเวียนแล้วนั้น เธอก็เหมาะสมที่จะใช้คำว่างดงามเป็นคำชม แต่หากเอ่ยออกไป มันจะฟังดูธรรมดาเกินไป
พอคิดมากว่าจะใช้คำไหนให้เหมาะสม เธอก็กล่าวขึ้นมา
“ไม่ต้องคิดคำชมให้มากหรอก เวลาแบบนี้น่ะ…”
ผมจ้องมองรอยยิ้มของผู้หญิงตรงหน้า แสงแดดที่ส่องลงมาในจังหวะที่พอเหมาะทำให้เธอดูงดงามในความคิดของผม
หากให้เอ่ยโดยไม่คิดคำชมให้มากความ คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมนั้น…
“สวย สวยจริงๆครับ…”
คำแค่นี้คงไม่ทำให้เธอรู้สึกอะไรมากมาย แต่ก็เป็นคำที่ออกจากความรู้สึกของผม ณ ขณะนี้จริงๆ
“ขอบคุณนะ” เธอกล่าวและยิ้มให้
มือของเรากุมกันอีกครั้ง ไม่ใช่ความรู้สึกแบบคู่รัก แต่บางทีเธอคงมองผมเหมือนคนที่เกิดบ้านเดียวกัน เลยสนิทกันเป็นพิเศษเท่านั้น
เราสองคนเดินกลับบ้านด้วยกัน ท่ามกลางเสียงของฝูงชนที่แสนครึกครื้นยามเช้า และกลิ่นที่ผสมปนเปกันในอากาศ
พอถึงเขตของคฤหาสน์ ผมเห็นอาร์เจนตาออกมายืนรอรับตั้งแต่หน้าประตูรั้วและพอเธอสังเกตเห็นเราสองคน ก็โค้งทำความเคารพและเดินเข้ามารับของจากมือของผมและวิเวียนไป
“มีอีกหนึ่งเรื่องที่ฉันยังไม่ได้บอกเธอ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“อีกหนึ่งปี”
“หนึ่งปีเหรอครับ?”
จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมที่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาของบทสนทนาดีนักจึงได้แต่ยืนงงกับยิงคำถามด้วยความสงสัย
เธอหันมายิ้มอ่อนโยนและวางมือบนศีรษะของผมเบาๆ
“อีกราวๆหนึ่งปี ฉันจะออกเดินทางอีกครั้ง เธอจะมาด้วยกันหรือเปล่า?”
ออกเดินทางเหรอ…
เป็นคำถามที่ค่อนข้างกะทันหัน ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ในทันที
“ไม่ต้องรีบตอบก็ได้ เอาไว้เวลาใกล้ถึงฉันค่อยถามอีกครั้ง แต่ถ้าอยากออกเดินทางด้วยกัน มีเรื่องที่ต้องเตรียมใจอยู่”
เรื่องที่ต้องเตรียมใจคงเป็นพวกความอันตราย ความไม่สะดวกสบายและการเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจเกิดได้ทุกเมื่อ
ทว่า…
“ถ้าจะไปด้วยกัน ฉันกับอาร์เจนตาจะฝึกเธอให้เก่งขึ้นเอง”
จากรอยยิ้มบางๆของเธอเหมือนเป็นการบอกให้เตรียมใจเอาไว้ ผมมีลางสังหรณ์ว่าการเตรียมใจที่เธอว่า คงมาเร็วกว่าที่คิด
MANGA DISCUSSION