สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือแสงสว่าง… แสงสว่างที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นท่ามกลางความมืดที่รายล้อม แม้จะยังไม่ได้ลืมตาก็สามารถสัมผัสได้ มันเป็นแสงสว่างที่ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนดวงอาทิตย์ที่แยงตาและพยายามบีบบังคับให้ตื่นนอน แต่เป็นแสงที่ชวนให้ลืมตาขึ้นมาเพื่อสัมผัสเสียมากกว่า
ตึก ตึก…
เหมือนผมได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ผมพยายามลืมตาขึ้นมาเพื่อมองดูว่าเจ้าของเสียงเดินที่เข้ามาใกล้เป็นใครกัน ทว่าผมกลับไปไม่สามารถทำได้ตามต้องการ
“ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทางเราได้ทำการอัญเชิญท่านมาเพียงแก่นวิญญาณ ทำให้ท่านในตอนนี้ไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสทางสายตาเพื่อรับรู้ตัวตนของพวกเราได้ค่ะ”
เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของผู้หญิง เป็นเสียงที่จะกล่าวว่าเย็นชาก็ใช่ แต่กลับแฝงความอบอุ่นบางอย่างเอาไว้
ที่สำคัญกว่านั้น คำว่าแก่นวิญญาณ คืออะไรกันนะ?
“หากใช้คำนิยามตามความเข้าใจจากโลกเดิมของท่าน แก่นวิญญาณคือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทุกประเภทมี แต่มนุษย์โลกนั้นมีแนวโน้มว่าจะพบแก่นวิญญาณอันล้ำค่าได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงมักอัญเชิญมนุษย์ที่หมดอายุขัยโดยมิได้เกิดจากการเสียชีวิตตามวัยชรามายังสถานที่แห่งนี้”
แปลว่า ตัวผมคนนี้ ได้ดับสิ้นไปแล้วจากโลกที่ผมเคยอาศัยอยู่นั่นเอง’
จะว่าไป ผมตายด้วยสาเหตุอะไรกัน ความทรงจำล่าสุด เหมือนผมกำลังข้ามถนน…
อ้อ ใช่ รถชนตอนกำลังก้าวออกไปตรงถนน แถวๆทางม้าลาย ทั้งที่โดนก้อนเหล็กติดล้อซัดเข้าอย่างจังขนาดนั้นควรรู้สึกเจ็บ แต่ดันจำความรู้สึกนั้นไม่ได้เสียแล้ว
“ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงถูกรับเลือกให้อัญเชิญมายังสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากเหตุอันทำให้ท่านถึงคราวดับสูญคือเหตุอันสุดวิสัยของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกันกับท่านที่ขับเคลื่อนยานพาหนะด้วยความประมาท”
โดยรวมแล้ว ไม่ค่อยต่างจากพล็อตต่างโลกทั่วไป และคิดว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนในปีหนึ่งน่าจะมีเยอะพอสมควรด้วย แล้วทำไมต้องเป็นผมกันนะ?
“ในหนึ่งปี… ดิฉันหมายถึง นับเวลาหนึ่งปีในนิยามของการนับเวลาในโลกของท่าน มีการสูญเสียชีวิตจากทางปัญหาการจราจรมากกว่า 1 ล้านชีวิต ยังไม่นับการสูญเสียที่เกิดจากความตั้งใจของตนเองหรือถูกประสงค์ร้ายด้วยมนุษย์ด้วยกัน เป็นอันแน่นอนว่าพวกเรามิอาจอัญเชิญแก่นวิญญาณของพวกท่านทั้งหมดได้ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องพึ่งพาเกณฑ์ในการคัดเลือกพวกท่านทั้งหลายขึ้นมายังที่แห่งนี้”
ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงขึ้นมาได้ และไม่แน่ใจด้วยว่ามาทำไม… อยากทราบเหตุผลจังแห๊ะ
“เหตุผลที่พวกเราอัญเชิญท่านมายังสถานที่แห่งนี้ เพราะทางเรามีประสงค์ที่จะมอบโอกาสใหม่ให้แก่ท่าน”
การไปต่างโลก แทบจะแน่นอนอยู่แล้วหรือเปล่านะ
“ดิฉันขอรับประกันว่าการส่งท่านไปยังอีกโลกหนึ่งนั้นจะขึ้นอยู่ตามความยินยอมของท่านเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากขอให้ท่านไว้วางใจ เพียงท่านตอบตกลง สิ่งแรกที่ดิฉันจะมอบให้แก่ท่านคือประสาทสัมผัสในระดับที่ใกล้เคียงเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่”
แล้วรายละเอียดอื่นๆล่ะ? ไปต่างโลกแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา โลกที่ไม่มีทั้งอินเทอร์เน็ต ไม่มีระบบความอำนวยความสะดวกแบบนั้นน่ะเหรอที่จะให้มนุษย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เดินทางไป?
“ไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับความคิดเห็นดังกล่าว เพียงแต่ดิฉันมีความประสงค์จะสอบถามท่านผู้ถูกเลือกสักเล็กน้อย”
ตกลงอ่านใจกันได้จริงๆสินะ…
ผมคิดเช่นนั้น แล้วปล่อยความคิดให้ว่างเปล่าไป
ไม่รู้ว่าบุคคลตรงหน้าของผมคิดเห็นเช่นไร ผมไม่มีดวงตาที่จะมองเห็นใคร ดังนั้นจึงไม่อาจมองสีหน้าได้
หรือต่อให้มีดวงตา ก็ใช่ว่าผมจะกล้ามองหน้าใครตรงๆ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอครั้งแรกแล้ว ยิ่งทำได้ยาก
“คำถามของดิฉันมีเพียงหนึ่งเดียว…”
ดูเหมือนว่าการปล่อยให้ความคิดว่างเปล่า ทางนั้นจะตีความหมายว่าเป็นการยินยอมให้ถามได้
“ท่านพึงพอใจชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองแล้วหรือไม่?”
หากมีปาก ผมคงอ้าปากค้าง มันเป็นคำถามที่แทบไม่ต้องตอบสำหรับคนที่โดนรถชนตายอย่างตัวผม
แน่นอนว่า ไม่สักนิด
ทันทีที่คิดแบบนั้น ประสาทสัมผัสหลายอย่างที่หายไปก็เริ่มหวนคืนกลับมา
สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเย็น สิ่งแรกที่เห็นคือรองเท้าผ้าใบสีขาวดำที่คุ้นเคย ในหัวเกิดความคิดที่ว่าลองปรับทัศนวิสัยตรงหน้าให้คุ้นเคยด้วยการพิจารณาทีละนิดดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมองเลยจุดหมายที่เลยจากปลายรองเท้าของผมออกไป และจึงได้เห็น
ห่างไม่ไกลนัก ผมเห็นช่วงเท้าเปลือยเปล่า ผิวของเจ้าของเท้าเป็นสีขาวชมพู พอขยับจุดหมายปลายทางของสายตาขึ้นไปก็เห็นท่อนขาเรียวกระชับที่บางส่วนถูกปกปิดด้วยผ้าสีขาว เอวคอดที่เห็นเข็มขัดหัวสีทองใหญ่เท่ากำปั้นเด็กชายวัยกำลังเติบโต ขยับสายตาเลยช่วงท้องขึ้นไปเป็นช่วงหน้าอกที่ปกปิดมิดชิดด้วยผ้าสีขาวเช่นเดียวกับช่วงขา แต่หน้าอกที่เด่นชัดกลับดันเนื้อผ้าทำให้เห็นเป็นรูปทรงที่ชัดเจน
ผมเงยหน้ามองเลยช่วงอกไป เห็นลำคอระหง เห็นเส้นผมสีทองยาว มองดีๆแล้วเหมือนมันจะทอดยาวไปจนเกือบถึงช่วงข้อพับขา
หลังจากปรับความคุ้นชินกับประสาทสัมผัสด้านดวงตาจนพอเหมาะ ผมก็ยกหัวขึ้นเต็มกำลัง
และแล้วผมก็ได้พบกับหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่ง เธองดงามราวกับเทพธิดาที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้… ไม่สิ อาจจะยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องมองผมด้วยท่าทีที่เหนือกว่า ริมฝีปากสีชมพูอ่อนไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ และตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เหมือนบัลลังค์ของราชินี แสงสว่างที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นมันแผ่ออกมาจากตัวเธอนี่เอง
ในความคิดเห็นของผม มันเหมาะกับเธอไม่น้อยเลย…
“ท่านผู้ถูกเลือก ประสาทสัมผัสที่มีทั้งหมดในตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
เธอเอ่ยถามราวกับเป็นห่วง แต่มีบางอย่างบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“ดี ดีไม่น้อยเลย ไม่ค่อยรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปเลย…”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ดิฉันขอเข้าสู่บทสนทนาอีกครั้ง”
เธอกล่าว ขณะเดียวกันริมฝีปากของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ท่านผู้ถูกเลือกคงเข้าใจสถานการณ์ดีอยู่แล้ว กรณีที่เราอัญเชิญท่านมาย่อมหมายความว่าเรามีปัญหาที่มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะแก้ไขได้”
“เป็นปัญหาอะไรเหรอครับ”
“ตัวตนนั้น หากเรียกให้ใกล้เคียงกับความเข้าใจของท่านก็คือ จอมมาร”
“ภารกิจปราบจอมมารเหรอครับ?”
เป็นคำที่คาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว แต่พอได้ยินกับหูของตัวเองก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหมือนโดนคนหลอกขายประกันภัยเงื่อนไขดีแต่กลับแฝงความเสี่ยงสูงเอาไว้
เทพธิดาเบื้องหน้าผมยิ้ม เธอคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าพูดเช่นนี้จะจับความสนใจของผมได้
“ท่านผู้ถูกเลือก ตอนนี้ท่านมีสองทางเลือก”
เธอว่าพร้อมยกมือขึ้นมาแล้วชูสองนิ้ว และเก็บนิ้วลงไปตามจำนวนทางเลือกที่เธอกล่าว
“ทางที่หนึ่ง หากท่านผู้ถูกเลือกไม่ยินยอม ทางดิฉันยินดีที่จะส่งท่านผู้ถูกเลือกไปยังกระบวนการตามหลักการของผู้วายชนม์ทั่วไป”
ผมนิ่งเงียบ รอฟังอีกทางเลือกหนึ่ง
“ทางที่สอง หากท่านยินยอม ดิฉันจะขอสนทนากับท่านอีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะส่งท่านไปยังโลกอันเป็นเป้าหมาย”
พอพูดจบ เทพธิดาก็ลดมือลง สีหน้าที่ยังยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนไม่ได้ช่วยให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มิหนำซ้ำยังก่อให้เกิดความรู้สึกกดดันเพิ่มมากขึ้นอีกต่างหาก
แต่ไม่ว่ายังไง…
ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่ดวงวิญญาณที่ไม่มีอะไรติดค้าง แม้ไม่แน่ใจนักว่าตนจะจำความได้ทั้งหมด แต่หากถามตัวเองในตอนนี้ ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาในใจ
เวลาไม่อาจย้อนกลับได้ ผมเองก็แก้ไขเรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่ได้ ต่างโลกเองก็คงไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกที่ตกค้างนี้ได้
ดังนั้นหากผมเลือกไปเกิดใหม่ มันจึงไม่ใช่การจัดการความรู้สึกที่มีนี้ให้สิ้นซาก แต่เป็นการไถ่บาปสำหรับตัวผมเอง…
และที่สำคัญที่สุด ไอ้คำว่ากระบวนการตามหลักการของผู้วายชนม์ทั่วไปอะไรนั่นมันก็ดูไม่เข้าท่าด้วย ผมไม่คิดว่าหัวใจตัวเองจะเบากว่าขนนกได้ และก็ไม่คิดเช่นกันว่าตัวเองจะผ่านการลงทัณฑ์ของนรก
สุดท้ายคงไม่พ้นโดนทรมาน
ด้วยนิสัยของผม ผมไม่มีทางที่จะเลือกเงื่อนไขแรกเลย และคิดว่าคงไม่มีมนุษย์คนไหนยินดีจะลงสถานที่ที่ถูกนิยามว่าคือ ‘นรก’ ไม่ว่าจะในความเชื่อไหนก็ตาม
ในเมื่อตกลงกับตัวเองได้แล้วว่าจะเลือกทางไหน จึงไม่ลังเลอีก
“ขอเลือกทางที่สองก็แล้วกันครับ”
เทพธิดาตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า บางทีนี่อาจจะเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดของเธอตั้งแต่เรานั่งคุยกันมาแล้วก็ได้
“ยินดีที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ และในฐานะที่ท่านตอบรับความต้องการของพวกเรา จึงอยากขอเสนอตัวช่วยในการดำเนินชีวิตในโลกที่จะส่งไปค่ะ”
ตัวช่วย? ถ้าเป็นพวกดาบพิเศษที่ฟันจอมมารทีเดียวตายคงง่ายพิลึก แต่ไม่ได้ปฏิเสธหรอกนะว่าไม่อยากได้ แบบนั้นการทำให้โลกสงบจากจอมมารก็ง่ายขึ้นด้วย
ดูเหมือนทางเทพธิดาจะมองความในใจของผมออก แต่การที่เธอส่ายหน้าก็แปลว่าไม่มีตัวช่วยสุดพิเศษจำพวกอาวุธระดับตำนานที่สยบจอมมารได้ง่ายๆสินะ
“ดิฉันอยากประทานพรให้คุณ พรแห่งภาษาค่ะ”
เธอยิ้ม และผมเองก็ยิ้ม ด้วยเหตุผลเดียวคือ
การที่เราฟังออก อ่านคล่อง พูดได้ เขียนเป็น ในทุกภาษาบนโลกนั้น การเดินทางหรือการสื่อสารก็จะง่ายขึ้นเป็นกองเลย
และอันที่จริง มันก็เป็นความสามารถที่ผมอยากได้มากที่สุดตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
เป็นอีกครั้งที่เทพธิดาตนนี้อ่านความคิดของผมออกสินะ
“ขอบคุณอย่างยิ่ง”
“หามิได้ แต่ดิฉันขอกล่าวอะไรแก่ท่านสักนิด ในฐานะที่ท่านกำลังจะเดินทางไปในอีกไม่ช้า เป็นเรื่องราวสังเขปของโลกที่ท่านกำลังจะเดินทางไป”
รู้เขารู้เรา ในการรู้เรื่องราวพื้นฐานเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
เทพธิดายังคงรอยยิ้มเอาไว้แล้วเริ่มอธิบายเรื่องราว ‘โดย’ สังเขปออกมา
“ยูเชีย คือชื่อของอาณาจักรที่คุณจะไปเกิดใหม่ในฐานะเด็กทารกคนหนึ่งที่มีความสามารถระลึกชาติได้และสามารถเข้าใจได้ ทุกภาษา บนโลกใบนั้น ทวีปบนโลกใบนั้นประกอบด้วย 6 ทวีป หากนับรวมดินแดนของจอมมารเข้าไปแล้วจะเป็น 7 ทวีป เป้าหมายของท่านคือการปราบจอมมารและปลดปล่อยดินแดนต่างๆภายใต้การปกครองของจอมมารให้เป็นอิสระ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ทางเรายินดีจะมอบความปรารถนาให้ท่านได้หนึ่งสิ่ง”
เธอเว้นช่วงพูดเอาไว้ เหมือนต้องการทดสอบว่าความคิดของผมยังตามคำพูดของเธอทันหรือเปล่า แน่นอนว่าเข้าใจดีทุกประการ
และความปรารถนาที่ว่า ผมก็อยากจะถามให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้เลยว่ามีอะไรบ้างที่เป็นไปไม่ได้
แต่ไม่ทันได้ถาม เทพธิดาก็ขัดขึ้นมา
“เพียงแต่ ทางเราไม่สามารถทำความปรารถนาประเภทย้อนเวลาในโลกเดิมของท่านให้กลับไปเพื่อแก้ไขอดีตได้ รวมถึงคืนชีพท่านขึ้นมา แม้ทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เนื่องจากคนรอบตัวท่านได้ตระหนักถึงการสูญเสียสภาพการมีชีวิตอยู่ของท่านไปแล้ว หากท่านฟื้นขึ้นมาหลังผ่านไปหลายปี ทางเราเกรงว่าตัวตนที่คืนชีพขึ้นมาจะตกเป็นเป้าจะหลากหลายองค์กรที่ประสงค์ที่จะแสวงหาผลประโยชน์”
เรื่องนั้นผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลย ถึงไม่ได้จะไขว่คว้าหาอิสระมากนัก แต่จะให้ไปเป็นหนูทดลองหรือตัวแทนของความศรัทธาของพวกลัทธิประหลาด ผมก็คงไม่ยินดีนัก
แต่มันก็ยังเหลืออีกคำถามที่ค้างคาใจอยู่ดี
“เมื่อกี้บอกว่า ผมจะไปเกิดใหม่สินะ”
นั่นคือเรื่องที่ผมต้องไปเกิดใหม่ ไม่ใช่เริ่มต้นในช่วงวัยเท่ากับก่อนเสียชีวิต
“ค่ะ ท่านไม่ได้ฟังผิดไป”
“เริ่มต้นจากศูนย์เลยเหรอ?”
“หากแก้ไขให้ถูก คือ ท่านเริ่มต้นใหม่ในฐานะตัวตนของบุคคลคนใหม่ที่มีความทรงจำเดิมเหลืออยู่ ความสามารถด้านกายภาพต่างๆจึงกลับไปเริ่มต้นใหม่ค่ะ”
นั่นหมายความว่าตัวตนของผมที่เสียชีวิตไปในโลกเก่าจะไม่กลับมาอีกครั้ง
เป็นตัวตนใหม่อย่างสมบูรณ์
ชื่อเก่าของผม สกุลเก่าของผม จะเริ่มละทิ้งไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
การศึกษา ทรัพย์สินเงินทอง ตอนตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้อย่างที่เขาชอบพูดกันจริงๆด้วยแฮะ
“ผมหมดคำถามแล้วครับ”
ได้ยินเช่นนั้น เธอก็ผุดยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้น
แปะๆ เสียงเธอปรบมือสองที
แก้วไวน์ทรงสูงสองแก้วปรากฏออกมา มันลอยตั้งตรงกลางความว่างเปล่าราวกับมีโต๊ะที่มองไม่เห็นมารองรับ ภายในแก้วมีของเหลวสีแดงข้นอยู่อย่างสงบนิ่งไม่ไหวติง
“ดื่มให้กับชีวิตใหม่ของท่านผู้ถูกเลือก”
ถึงแม้ว่าชีวิตก่อนผมจะไม่ได้ไปสังสรรค์กับงานเลี้ยงที่ไหนบ่อยนัก แต่ผมก็พอรู้ว่าคำพูดแบบนั้นเป็นการบอกให้ผมดื่มไวน์ตรงหน้าซะ
ผมยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ของเหลวสีแดงข้นเข้ามาในร่างกาย
น่าแปลกที่มันไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีแม้แต่สัมผัสใดๆ เป็นเครื่องดื่มที่แปลกประหลาดถึงเพียงนั้น
ทันใดแสงสว่างสีทองอร่ามปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้า ผมหันไปมองเทพธิดา ใบหน้าที่แสดงออกไปคงเต็มไปด้วยคำถาม แต่คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงการยิ้มของเธอที่มอบให้เท่านั้น
ไม่กี่วินาทีต่อมา ภาพทั้งหมดที่ผมเห็นดับลงไป เหลือเพียงแต่ความมืดที่ปิดบังทัศนวิสัยการมองเห็นอีกครั้ง
อ่า ชีวิตใหม่…
หวังว่าชีวิตครั้งนี้จะดีกว่าครั้งที่แล้วนะ
MANGA DISCUSSION