แผนการสืบสวนหาต้นสายปลายเหตุเพื่อช่วยไลล่าและแม่ของเอรี่ในวันนี้ เริ่มต้นที่การสอบถามผู้คนในเมืองที่เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
พวกเราทำงานคล้ายกับไลล่าก่อนหน้า เพียงแต่กำลังคนในครั้งนี้มีเยอะกว่ามาก และครั้งนี้ก็มีเฮนริคที่เคยเป็นเป้าหมายในการสืบหาต้นตอของเรามาเข้าร่วมด้วย
เช้าวันนี้ เฮนริคก็ยังคงดูอ่อนแรง แต่แววตาของเขาคล้ายกับลังเลในบางสิ่งบางอย่าง หลายครั้งเขากัดริมฝีปากตัวเองเหมือนการสะกดกลั้นเพื่อไม่ให้ตนเอ่ยปากบางอย่างออกมา
เมื่อวาน ผมสอบถามอาร์เจนตาถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เธอพบเจอตั้งแต่มา อควาเดีย แน่นอนว่าเธอยินดีที่จะเล่าเรื่องทั้งหมด แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อยก็ตาม นั่นทำให้ในตอนนี้พวกเรามีข้อมูลแทบทุกมุมของเมืองแห่งนี้แล้ว
เรื่องไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวของเช้าวันนี้คือ เอรี่มาหาเราพร้อมกับเฮนริคในเช้าวันนี้ และขอร้องให้เราช่วยเหลือแม่เธอด้วย
เรื่องนั้นถึงเธอไม่บอกพวกเราก็ตั้งใจจะทำ แต่ไม่คาดคิดว่าเอรี่จะมาหาด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ หลังจากพวกเราพาเอรี่ไปเยี่ยมแม่ของเธอและพวกเราเยี่ยมไลล่าเสร็จแล้ว จึงแบ่งเป็นสองกลุ่มโดยมีผมและคุณอาร์เจนตาในกลุ่มแรก และลูน่า เฮนริค เอรี่ในกลุ่มที่สอง
วิเวียนต้องกลับไปทำหน้าที่ที่โบสถ์จึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ ส่วนฝั่งองค์ราชินีมิร่าจำเป็นต้องเข้าร่วมการประชุมสำหรับผู้เสียจึงไม่สามารถมาเข้าร่วมได้ แต่เดิมทีผมก็ไม่คาดหวังให้เธอมาด้วยกันอยู่แล้ว จึงออกเดินทางไปยังสถานที่แห่งแรก
ด่านตรวจคนเข้าเมือง
หากจะมีตำแหน่งไหนสักตำแหน่งที่สามาถคัดกรองคนได้ คงไม่พ้นตรงนี้
นายทหารสองคน ท่าทางขี้เกียจยืนถือหอกพลางหาวในยามเช้า ขอบดวงตาของพวกเขาคล้ำดำเหมือนนอนไม่พอ
“สวัสดีครับ”
“ว่าไง เจ้าหนุ่ม หลงทางเหรอ”
เออ ลืมไปเลย ผมเป็นแค่เด็กนี่หน่า
เรื่องแบบนี้คงต้องให้คนโตกว่านี้คุยสินะ
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับพวกเขา แล้วใช้โอกาสนี้เปลี่ยนตัวกับอาร์เจนตาที่มาด้วยกัน
“ให้ดิฉันถามแค่เรื่องรายชื่อคนที่เข้าเมืองในช่วงนี้ก็พอเหรอคะ?”
“ครับ แต่คิดว่าเขาคงไม่ตอบหรอก ถ้าเขาปฏิเสธมาก็ลองลดระดับไปถามว่ามีคนแปลกๆเข้ามาหรือเปล่าก็พอครับ”
อาร์เจนตาพยักหน้าแล้วเดินไปหาทหารยามทั้งสอง พวกเขาดูดีใจเล็กน้อยที่มีสาวสวยมาหา แต่ก็เหมือนคนที่พยายามเก็บอาการเอาไว้ไม่ได้แสดงออกมา
อย่างไรก็ตาม เราไม่ใช่พนักงานสืบสวนสอบสวน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาร์เจนตาจะกลับมาพร้อมส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
“ขออภัยด้วยนะคะ ท่านชิน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราไปหาทางอื่นกันเถอะ”
ถึงจะรีบ แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเราก็ช่วยไม่ได้ ผมเลือกที่จะไปหาทางอื่นอย่างมีความหวัง
ระหว่างทางเราผ่านร้านค้ามากมาย เช้าวันนี้พวกเขาก็ยังคงเปิดทำการ บางทีเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนคงไม่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของพวกเขามากนัก
ได้ยินผู้ชายและผู้หญิงเอ่ยถ้อยคำพลอดรัก เพื่อนร่วมงานบางคนสนทนากันเรื่องข่าวสารในบ้านเมืองอย่างออกรส บางคนก็นั่งใช้เวลายามเช้าคนเดียวเงียบๆ
สถานที่ต่อไปที่ผมคาดว่าเราน่าจะได้ข้อมูลมาคือร้านอาหาร
กลิ่นหอมของขนมปังลอยโชยกระทบกับใบหน้า อาร์เจนตาจับแว่นนิดหน่อยแล้วมองไปทั่วร้าน
“คุณอาร์เจนตา หิวหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกค่ะ แต่คิดว่าหอมดีเหมือนกัน”
สำหรับผม กลิ่นหอมของขนมปังในโลกนี้ไม่แตกต่างจากโลกก่อนมากนัก กล่าวคือเป็นกลิ่นที่ชวนให้อยากอาหาร และพอจะสามารถแยกกลิ่นของความแตกต่างของขนมปังแต่ละชนิดได้
เช่น เนยสดที่ละลายเมื่อต้องความร้อน ซอสมะเขือเทศที่ถูกอุ่นจนส่งกลิ่นหอมหวาน ผลไม้ แยม และไส้ชนิดต่าง ๆ ที่พอผ่านการอบก็ส่งกลิ่นเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา ทำให้บางครั้งเราก็สามารถเดินไปยังชั้นขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จ เพื่อหยิบชิ้นต้องการได้ทันที
“ถ้าเราแยกกลิ่นคนในเมืองได้ก็คงดีนะครับ”
“ทำได้นะคะ”
เหมือนผมได้ยินบางอย่างที่แปลกประหลาด ผมหันไปมองอาร์เจนตาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่เป็นเพียงการหูแว่วหูฝาดไปเอง
“เมื่อกี้ พูดอะไรแปลกๆออกมาหรือเปล่าครับ”
“ถ้าเป็นกลิ่นของท่านวิเวียน ดิฉันพอจะแยกแยะได้ค่ะ”
เป็นคำพูดที่ถ้าหากวิเวียนพูดออกมาเอง ผมก็คงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอเป็นอาร์เจนตาพูดคำเหล่านั้นกลับมีน้ำหนักอย่างน่าประหลาด
เธอคงเห็นผมทำหน้าทำตางุนงงปนคาดหวัง
“แต่กลิ่นในเมืองนี้มากเกินไป ดิฉันไม่สามารถแยกแยะกลิ่นได้มากนัก ต้องขออภัยที่ทำประโยชน์ใดๆให้ท่านชินไม่ได้ด้วยค่ะ”
“เปล่าเลยครับ เราไปที่อื่นกันต่อเถอะ”
ถึงทีแรกผมจะแอบคาดหวังให้อาร์เจนตาช่วยดมกลิ่นเพื่อแยกแยะสิ่งแปลกปลอมอยู่ก็ตาม แต่วิธีนั้นคงไม่เข้าท่า
สาเหตุที่เธอแยะแยะกลิ่นวิเวียนได้คงเป็นเพราะอาศัยช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมานานจนจดจำกลิ่นได้ หากจะให้เธอไปช่วยแยกแยะกลิ่นคนอื่น คงเป็นเลือกลำบากและเสียเวลาเกินไป
ดังนั้น หลังจากที่เราสองคนเดินสอบถามตามร้านอาหารต่าง ๆครบแล้ว บุคคลแปลกประหลาดที่สุดที่เราได้ข้อมูลกลับเป็นพวกเราเอง
“ท่านชิน ถ้าเหนื่อย ดิฉันอุ้มท่านชินกลับไปที่พักได้ก่อนนะคะ”
“ผมยังพอไหวครับ”
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ยอมล้มเลิกความคิดง่ายๆ
ถึงแม้ตัวเองจะไม่ใช่ยอดนักสืบ แต่หลักการพื้นฐานอย่างทบทวนความคิดของตัวเองอีกครั้งก็แล่นเข้ามาในสมอง
“จริงสิ ผมมีเรื่องจะถามคุณอาร์เจนตาอยู่พอดีเลย
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เอาไว้ถึงสถานที่แล้วค่อยคุยกันดีกว่าครับ”
“คะ?” เสียงของเธอบอกว่าสับสน แต่ผมไม่ปล่อยให้เธองุนงงนานหรอก
ผมให้อาร์เจนตาเดินนำทางไปยังอาคารที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่าที่โลกนี้ – อย่างน้อยก็ในเมืองนี้ จะไม่มีเรื่องการกักบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นเขตหวงห้าม แถมพนักงานยังคงเข้ามาทำงานกันตามปกติ เรียกได้ว่าเป็นการเปิดทำการแม้เพิ่งผ่านเรื่องใหญ่มา
ผมและอาร์เจนตา เดินผ่านพวกเขา คงมีบางสายตาที่มองมาแล้วสงสัยกันอยู่บ้างว่าสองคนนี้มาทำอะไรกัน แต่พอเห็นตราของตระกูลเอเวอร์ไลท์ที่ปักไว้บนเสื้อ คนเหล่านั้นก็หันกลับไปทำงานของตนอย่างขยันขันแข็ง ราวกับไม่อยากให้แขกคนสำคัญของเมืองได้เห็นด้านบกพร่องของตน
ประตูสู่ระเบียงชั้นสามถูกเปิดออก สายลมเย็นๆพัดเข้าหน้า เส้นผมบนศีรษะไหวตามแรงลมที่ผ่านร่างกาย
ในคืนเกิดเหตุ ด้วยความมืดของสถานการณ์ทำให้ผมไม่เห็นพื้นที่ตามความเป็นจริงมากนัก ครั้งนี้พอมีโอกาสมองจึงได้ลองชะโงกหน้าออกไปดู พบว่ามันเป็นระดับความสูงที่ถ้าหากตกลงไปก็ไม่มีหวังว่าจะรอดได้
“ท่านชิน ระวังตกลงไปนะคะ”
เสียงของความเป็นห่วงดังตามหลังมา ผมถอยหลังกลับแล้วหันไปมองอาร์เจนตาที่ควรเดินตามมา แต่ตอนนี้กลับยืนห่างออกไป
“คุณอาร์เจนตา ถ้าหากทั้งคุณไอลินและไลล่าต่างถูกพลังบางอย่างชักใย ระยะห่างของผู้ใช้พลังกับผู้ถูกบังคับ ห่างกันได้มากขนาดไหนเหรอครับ”
“เท่าที่ดิฉันทราบ ห่างกันได้ไม่มากนักหรอกค่ะ อย่างมากก็เท่ากับระยะห่างระหว่างเราสองคนในตอนนี้ มีอะไรสงสัยเป็นพิเศษเหรอคะ?”
ไม่มีอะไรครับ ผมอยากบอกแบบนั้นอยู่หรอก แต่ตอนนี้ในหัวมันดันคิดถึงเรื่องบางอย่างแทน
ผมเงยหน้ามองเมดสาวผมสีเงินแซมดำ ที่ตอนนี้ยังคงเอียงคอมองผม สายตาที่มองมากำลังบอกว่าเป็นห่วงไม่ผิดแน่ ทว่าในดวงตาคู่นั้นยังมีอีกสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ไม่ผิดแน่
“คุณอาร์เจนตา ปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”
หากถามความมั่นใจ คำตอบคงเป็นสี่ในห้าที่จะมีโอกาสที่จะคาดเดาผิด แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งในห้าที่อาจแม่นยำจึงลองเสี่ยงถามออกไปดู
“ท่านชิน…คิดว่าดิฉันเป็นคนลงมือกระทำเหรอคะ”
แน่นอนว่าผมไม่มีทางคิดว่าอาร์เจนตาเป็นคนลงมือทำเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ผมก็คิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เธอจะไม่รู้เรื่องอื่น
ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ความบังเอิญตั้งแต่ลูน่าหาเธอเจอพอดิบพอดีกับตอนที่ไลล่าหายตัวจากห้องไป
หรือการที่เธอสามารถมาหยุดผมได้ทัน ผมเริ่มสงสัยว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ไม่เลยครับ แต่คุณอาร์เจนตากำลังปิดบังบางอย่างผมไว้ คืนวันนั้น คุณไปเจออะไรมาเหรอครับ”
ไม่ผิดแน่ อาร์เจนตาปิดบังบางอย่างเอาไว้แถมยังพยายามเบี่ยงประเด็นอีกต่างหาก
หากผมจี้ถามแบบนี้ บางทีเธออาจยอมพูด แต่ถ้าหากไม่ยอม บางทีอาจต้องเล่นวิธีที่สกปรกสักหน่อย
“ไม่ใช่เรื่องที่ท่านชิน ต้องเก็บไปใส่ใจ… อ๊ะ!”
ได้ยินเสียงเธอตกใจตามคาด ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะตอนนี้ผมก้าวถอยหลัง และปีนไปบนราวกันตกของระเบียง
แค่ทิ้งตัว ผมจะร่วงลงจากตรงนี้และโหม่งพื้น ถึงเวลานั้นผมคงได้ไปเกิดใหม่อีกรอบแน่
“ท่านชิน ตั้งใจจะทำอะไรกันคะ”
สีหน้าที่เกือบนิ่งเฉย เปลี่ยนมาเป็นตกใจ ระยะห่างของเราสองคนลดลงอย่างรวดเร็ว หากเป็นแบบนี้เธอคงคว้าตัวผมเอาไว้ได้
อาจจะบ้าบิ่นสักหน่อย แต่คงต้องลงมือให้เด็ดขาด
ผมทิ้งตัวลงจากราวจับที่ยืนอยู่ หูได้ยินเสียงอากาศพัดผ่านร่างเพี้ยงเสี้ยววิ ก่อนที่มือจะถูกคว้าเอาไว้โดยตัวอาร์เจนตา
“ทำ อะไร ของท่านชินกันคะ”
“ถ้าไม่บอกความจริงมา ผมจะปล่อยมือครับ”
และนี่คือวิธีสกปรกที่ว่า ผมค่อนข้างมั่นใจความรู้สึกที่อาร์เจนตามีให้ผม
เธอไม่ยอมปล่อยให้ผมตกลงไปตายแน่ๆ
และบางทีเธออาจจะลังเลว่าผมจะลงมือทำจริงๆหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อเป็นการเร่งให้เธอตัดสินใจ – ผมจึงทิ้งตัวลงไป
“ดิฉัน…”
และเพื่อเร่งรัดวงจรความคิดของเธอให้ไวยิ่งขึ้น ผมก็คล่อยๆคลายมือของเธอที่กุมเอาไว้ออก หากปล่อยแบบนี้ไปผมคงตกลงไปจริงๆ
“ดิฉัน ยอมแพ้แล้วค่ะ”
สิ้นสุดคำพูดนั้น มือของผมกับเธอกุมกันเอาไว้แน่นอีกครั้ง ร่างเล็กของผมถูกเธอดึงขึ้นไปอย่างง่ายดาย
เธอสวมกอดผมเอาไว้ กลิ่นหอมของเธอที่ถึงแม้จะเดินมากันทั้งวันก็ยังคงไม่เปลี่ยนพยายามสอดเข้ามาในประสาทกับรับรู้ผ่านจมูก
เธออ่อนโยนกว่าที่คิด ตัวนุ่มกว่าที่เห็น เหมือนผมไปแตะบางอย่างที่ไม่สมควรในตัวเธอ
ได้ยินเสียงเหมือนเธอสะอื้นครั้งสองครั้งก่อนเสียงจะหายไป และกลายเป็นแรงกอดที่รัดตัวผมค่อยๆเพิ่มขึ้นจนเริ่มขยับตัวไปไหนไม่ได้แทน
คงเป็นสิ่งที่ต้องชดใช้ แต่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ผมได้เห็นด้านนี้ของอาร์เจนตา
“ปล่อยผมก่อนเถอะครับ…”
หรือว่าผมจะลงมือหนักไปหรือเปล่านะ?
เกิดคำถามแบบนั้นในหัว แต่ผมเป็นพวกเข้าข้างตัวเองเก่งเลยสลัดมันหลุดออกไปได้ไม่ยาก
อาร์เจนตาค้างอยู่ในท่าแบบนั้น เวลาผ่านไปไม่กี่วินาทีแต่ในสมองกลับประมวลผลว่ามันผ่านไปนานนับชั่วโมงกว่าเธอจะปล่อยแล้วยืนตรงขึ้น
“ขออภัยค่ะ ดิฉัน…”
“ไม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
ผมพยายามหัวเราะแห้งๆเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ จากนั้นจึงชวนเธอกลับเข้าไปด้านใน
“ช่วยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ผมฟังได้หรือเปล่าครับ”
“ถ้าการตอบตกลงจะช่วยให้ท่านชินไม่คิดทำแบบนั้นอีก ดิฉันก็ยินดีค่ะ”
สุดท้ายแล้ว เราสองคนก็กลับเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่ห้องอาหารที่เวลานี้มีแค่คนสองคน ซึ่งก็คือผมและอาร์เจนตา
ก่อนเริ่มเล่า เธอดึงชุดเมดที่ตัวเองสวมไปมา ตัวผมมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างตอนนี้และก่อนหน้า แต่คนอื่นคงมองออก
เธอกระแอมไอครั้งสองครั้งเพื่อปรับอารมณ์บางอย่างที่ยังคุกรุ่น เสียงของเธอทำให้ผมเหยียดหลังตรงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“เมื่อคืน ดิฉันได้รับคำสั่งจากท่านวิเวียนให้ไปสืบต้นตอของความน่าสงสัยในทางเดินน้ำใต้ดินค่ะ”
นั่นคือคำเกริ่นของเธอ หลังจากนั้นเธอก็เล่าแผนที่และเส้นทางในเมืองที่ไปสำรวจมาคร่าวๆ
ผมยังไม่เคยเดินในเมืองนี้แบบลงรายละเอียดอย่างอาร์เจนตาจึงไม่สามารถคิดภาพตามได้ทั้งหมด แต่รายละเอียดที่ผมต้องการอย่างแท้จริงเริ่มต้นหลังจากนี้
“ทางเดินน้ำใต้ดินแยกเป็นสองฝั่ง ซ้ายและขวาค่ะ เมื่อคืนระหว่างที่ดิฉันสำรวจเส้นทางฝั่งซ้าย ก็ได้กลิ่นบางอย่างแปลกๆค่ะ”
เธอเล่าว่ากลิ่นบางอย่างที่รู้สึกได้ มันไม่ใช่กลิ่นของมนุษย์และไม่ใช่กลิ่นของเน่าเสีย
เธอบอกว่ามันคือกลิ่นที่เธอคุ้นเคย แต่กลับไม่เฉลยเรื่องราวต่อจากนั้น
พื้นที่ตรงกลางระหว่างผมและอาร์เจนตาปกคลุมด้วยความเงียบ ผมไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดไปได้ ส่วนหนึ่งเพราะลางสังหรณ์บอกว่า เรื่องนี้คือเรื่องส่วนตัวของเธอ
ดังนั้นผมจึงได้แต่นิ่งเงียบ และรออย่างคาดหวังเธอจะพูดออกมา
หลายวินาทีผ่านไป หลังอาร์เจนตาสลับมองหน้าผมกับผิวโต๊ะอยู่หลายครั้ง ริมฝีปากสีชมพูอ่อนก็เผยอออกและยอมเผยความลับที่ตนเก็บเอาไว้
“ดิฉัน ไม่ใช่มนุษย์ค่ะ”
“ครับ?”
ในความคิดของผม ที่แห่งนี้คือต่างโลกจึงมองว่าหากมีคนใกล้ตัวไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่อะไร สำหรับผมแล้วเผ่าพันธุ์อื่นก็เหมือนกับชาวต่างชาติที่สามารถอาศัยในต่างประเทศได้
“กลิ่นอายที่ดิฉันสัมผัสได้ในทางเดินน้ำใต้ดิน ไม่ได้มีแค่กลิ่นของมนุษย์ แต่เป็นกลิ่นที่คล้ายคลึงกับตัวดิฉันค่ะ”
“หมายความว่า…”
“ดิฉัน เป็นฮาล์ฟเอลฟ์ เป็นพวกเอรุ ค่ะ”
ไม่ใช่ชื่อกลุ่มหรือเผ่าพันธุ์ที่ผมเคยได้ยิน บางทีคงเป็นคำศัพท์คล้ายคำแสลงสำหรับพวกเอลฟ์
ในมุมมองของผม ถึงตัวตนที่แท้จริงของเมดสาวตรงหน้าจะน่าตกใจ แต่ในใจของผมกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นจนต้องโวยวายออกม
จะเอลฟ์หรือลูกครึ่งเอลฟ์ไม่ใช่ตัวตนที่แตกต่างกันมากนัก หากว่ากันตามตรงแล้วในโลกอนิเมะนั้นมีฮาล์ฟเอลฟ์มากมาย ถึงจะไม่ได้มีมากเท่ากับเอลฟ์เต็มตัวแต่หากนำคีย์เวิร์ดไปค้นหาในเสิร์ชเอนจิ้นก็ใช่ว่าจะพบเพียงชื่อสองชื่อ
ทว่า ผมลืมไปอย่างหนึ่ง…
“กรณีดิฉันถือว่าโชคดีที่เกิดจากพ่อที่เป็นมนุษย์กับแม่ที่เป็นดาร์กเอลฟ์ แต่ผู้ชายคนนั้นเกิดจากแม่ที่เป็นเอลฟ์กับก็อบลินค่ะ…”
ที่เสียงของเธอดูหดหู่ลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมเพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่แห่งนี้ถึงจะเหมือนโลกในเกมหรือนิยายแค่ไหน มันก็ยังเป็นโลกจริงๆ
ก็อบลิน ชื่อของมอนส์เตอร์ที่ทำให้ผมได้เจอกับวิเวียน ทำให้ผมต้องย้ายมาใช้นามสกุลเอเวอร์ไลท์
ผมเข้าใจดีว่าก็อบลิน เป็นชื่อของมอนส์เตอร์ที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ว่านั่นคือมุมมองอันห่างเหินจากความเป็นจริงของโลกใบนี้
แม้ผมไม่อาจใช้คำว่าครอบครัวสำหรับโทริสและอลิเซียหรือแม้แต่วิเวียนได้อย่างเต็มที่ เพราะในความทรงจำก็ยังคงสลักภาพจางๆของพ่อและแม่จากโลกก่อนเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นผมก็เข้าใจความสูญเสียดี
“ผู้ชายคนนั้น เป็นคนรู้จักของคุณอาร์เจนตาเหรอครับ”
“ค่ะ เอลฟ์มักมองว่าตัวเองเป็นเผ่าที่มีสายเลือดอันทรงเกียรติ ถึงแม้จะเปิดรับเผ่าอื่น แต่ก็ไม่ได้มองว่าพวกเขาทัดเทียมกับตน ฮาล์ฟเอลฟ์จึงมักถูกมองว่าเป็นส่วนเกินของสังคมและพยายามที่จะกำจัดทิ้ง ดิฉันกับผู้ชายคนนั้นจึงได้มาพบเจอกันที่บ้านเด็กกำพร้า เราเคยเติบโตมาด้วยกันค่ะ”
เป็นประวัติที่ผมคาดไม่ถึง พอเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงไม่อยากบอกเรื่องนี้
“คุณอาร์เจนตาอยากจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเองเหรอครับ”
“ค่ะ คงเป็นเพราะสายเลือดเอลฟ์ในตัวดิฉัน จึงไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวปัญหาของพวกเราค่ะ”
เธอยกมือทาบอก ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนภูมิใจที่เป็นเช่นนั้น
ตอนนี้จึงเหลือข้อสงสัยสุดท้าย
“แปลว่าชายคนนั้นอยู่เบื้องหลังเหรอครับ”
ทว่าครั้งนี้เธอกลับส่ายหน้าไวๆ เส้นผมสีเงินไหวไปมาเล็กน้อย ความหมายคือการปฏิเสธอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดิฉันคิดว่าไม่ใช่ค่ะ เขาไม่ใช่คนที่จะคิดถึงผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์อะไร เขาเป็นทหารรับจ้างค่ะ”
หรือก็คือ มีคนอยู่เบื้องหลังอีกอย่าง และ
ก็ไม่แน่ว่า เป้าหมายที่แท้จริงจะเป็นเรื่องการสำรวจโลก
บางทีผู้บงการอาจจะมีมุมมองต่อสถานการณ์ที่ต่างจากพวกเรา
การพูดคุยกับอาร์เจนตาจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้ ต่อไปต้องไปรวมตัวกับพวกเฮนริคเพื่อปรึกษากันว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรกันต่อไป
ผมกับอาร์เจนตาลุกขึ้นยืนพร้อมกันเหมือนนัดกันไว้ เดินทางออกจากอาคารที่เกิดเหตุ มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบของพวกเรา
และอาจจะเหตุการณ์เมื่อหลายนาทีก่อน ตอนนี้มือของอาร์เจนตาจึงกุมมือของผมเอาไว้แน่น ราวกับแม่ที่กลัวลูกชายหนีหายไปในฝูงชน
อีกแป๊บๆ ก็จะจบตอน 45 ก็เป็นอันจบบท 2 จริงๆแล้ว
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับบบ
MANGA DISCUSSION