ชั้นสาม นอกจากจะเป็นชั้นที่ผมกับวิเวียนแต่งตัวแล้ว ยังมีห้องใหญ่ที่อาจไม่สามารถเทียบความกว้างกับห้องจัดงานเลี้ยงที่ชั้นสองได้ แต่ก็กว้างพอจะบรรจุแขกทั้งหมดเข้าไปได้แล้วยังพอมีที่ว่างให้หายใจหายคอกันบ้าง
ผมเดินตามพื้นที่ว่างเพื่อคอยแอบสอดส่องดูอาการของแต่ละคน แม้จะมีเสียงบ่นเป็นระยะ แต่ไม่มีใครเป็นอะไร นับว่าเป็นเรื่องดี
“ช ชิน ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“อื้ม ถ้าร้อนก็บอกกันได้นะ เดี๋ยวฉันไปเปิดหน้าต่างให้”
เอรี่ในตอนนี้เปียกไปทั้งตัวเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เสื้อที่สวมแนบไปกับผิวหนังตามแขนและขา สาเหตุคงเป็นเพราะในสถานที่ที่ไม่กว้างมากนัก เคยได้ยินมาว่าถ้าคนเยอะๆมาอยู่รวมกัน จะเกิดการแย่งอากาศ และหากเป็นแบบนั้น อีกไม่นานคงได้มีคนเป็นลมสลบลงไป
ดังนั้นผมจึงเปิดหน้าต่างตรงระเบียงเพื่อให้อากาศจากภายนอกเข้ามาไหลเวียนภายในห้องบ้าง
หน้าต่างบานกว้างถูกเปิดอ้าออก สายลมเย็นๆของยามค่ำคืนเข้ามาภายในห้อง แม้เมืองอควาเดียจะไม่มีหน้าหนาว แต่สายลมประจำถิ่นในยามดึกเช่นนี้ก็ช่วยดับร้อนได้พอสมควร
แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ไม่ได้นำทางพวกเราให้เจอทางออก หากคำนึงถึงความปลอดภัยก็คงได้แต่ภาวนาให้วิเวียนกับเจอร์แมนทำสำเร็จ
ทว่า คำขอร้องเช่นนั้นของผมไม่ได้เป็นผล
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ผมรีบหันกลับไปมองก็พบว่าคนที่กรีดร้องคือลูกสาวขององค์ราชินี มิร่า กำลังร้องเพราะมีแมลงมาเกาะร่างกาย
“เอามันออกไป! เอามันออกไป!!”
เด็กสาวมือปัดป่ายไปมาในอากาศ เสียงร้องของเธอทำให้แขกเหรื่อที่ต่างรู้สึกไม่พอใจและกำลังหาที่ลงมองมาเป็นสายตาเดียว
เอาเถอะ ยังไงคนเราก็มีเรื่องที่กลัวกันสักอย่างสองอย่าง ในฐานะที่เธอเป็นเจ้าหญิงคนมองว่าแมลงมันสกปรก จะเกิดอาการรังเกียจก็ไม่แปลก หากจะต่อว่าเธอคงเป็นเรื่องไม่ดูสถานการณ์ แต่ในส่วนนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตั้งสติได้เหมือนกันหมด เมื่อความเครียดพุ่งสูงขึ้น เส้นสติก็เริ่มตึงพร้อมขาดผึงได้ทุกเมื่อ
ผมเดินเข้าไปหาองค์หญิง พยายามจะยื่นไปจับแมลงที่เกาะแขนของเธอ รู้สึกทึ่งในความยึดติดของเจ้าแมลงปีกแข็งตัวนี้เหมือนกัน ทั้งที่โดนองค์หญิงสะบัดจนตัวเองแทบจะล้มลงไปแล้ว แต่มันกลับหน้าด้านหน้าทน รับมือกับพละกำลังของเด็กที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นในอีกไม่กี่ปีได้อย่างสบายๆ
“องค์หญิง โปรดหยุดดิ้นสักครู่”
ผมพยายามบอกเธอ แต่เหมือนคำพูดจะไปไม่ถึงเลยสักนิด จนสุดท้ายคนที่เข้ามาหยุดเหตุการณ์ทั้งหมดก็คือแม่ ผู้เป็นองค์ราชินี
“เบลล์ อยู่นิ่งๆ นี่คือคำสั่ง”
“แต่ท่านแม่! แมลงเลยนะ!”
ไม่รู้ว่าเธอถูกเลี้ยงดูมายังไง ถึงพูดคำประหลาดๆออกมาแบบนั้นได้ สำหรับผม แมลงมันคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ไม่ได้มีอันตราย ต่อให้เป็นแมลงสาบ ผมก็ไม่ได้นึกกลัวมัน
ดังนั้นมุมมองของผมและเธอจึงไม่ตรงกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะมาถกกันตอนนี้
ในจังหวะที่เธอเถียงกับผู้เป็นแม่ ร่างกายที่ขยับไปมาของเธอก็เคลื่อนไหวน้อยลง ผมจึงยื่นมือไปจับเจ้าแมลงปีกแข็งตัวนั้นได้
“จับได้แล้ว”
เหมือนได้ยินเสียงใครสักคนถอนหายใจตามมา หันไปมองตามที่มาก็ไม่พบบุคคลคนนั้น แต่หาไปก็ไร้ประโยชน์ แม้แต่ตัวผมเองที่เป็นคนจับแมลงออกมายังอยากถอนหายใจ หลายคนในห้องนี้คงคิดคล้ายคลึงกัน
เจ้าแมลงปีกแข็งบินออกจากมือของผมไปสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ผมหันกลับมาก็พอกับเบลล์ที่ยืนกอดอกเชิดหน้าไม่มองแม้แต่หน้าผม ส่วนด้านหลังเป็นองค์ราชินีมิร่าที่กำลังตักเตือนลูกสาวเรื่องมารยาท
“เบลล์ ขอบคุณเขาซะ”
“พวกรากหญ้ามีหน้าที่สนับสนุนราชวงศ์อย่างเราอยู่แล้ว แค่การแตะต้องตัวหนูก็นับว่าเป็นคำขอบคุณที่เจ้าเด็กนี้ควรจดจำไปตลอดชีวิตแล้วด้วยซ้ำ”
แม้จะแสดงท่าทีหยิ่งยโสในตนเอง แต่เสียงที่เอ่ยแต่ละคำกลับเบาบางราวกับกลัวใครได้ยิน ตัวตนของเธอคงเป็นพวกที่ถึงจะรู้ว่าไม่ควรพูด แต่ก็ยังเลือกที่จะแสดงทัศนคติที่เป็นภัยต่อตัวเองหรือเปล่านะ
ที่มั่นใจได้อย่างหนึ่งคือ มุมมองแบบนั้นไม่ได้มาจากองค์ราชินีแต่อย่างใด
หากมันมาจากการเลี้ยงดูของเธอแล้วล่ะก็ เธอคงไม่มองหน้าลูกสาวด้วยสายตาผิดหวังเช่นนั้น
“เบลล์ ลูกไปเอาทัศนคติแย่ๆแบบนั้นมาจากไหน จากผู้กล้างี่เง่าของลูกเหรอ”
“อย่ามาว่าท่านยูโตะนะ!”
บางทีนั่นคงเป็นชื่อของผู้กล้า ผมยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์ขององค์หญิงกับผู้กล้าของเธอได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ องค์หญิงคนนี้หลงใหลในตัวผู้กล้าคนนั้นอยู่
“เอ่อ ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณผมก็ได้”
เพราะผมเองก็ทำไปด้วยความรู้สึกว่าต้องจัดการให้เรียบร้อยมากกว่าจะหวังดีต่อเธอเหมือนกัน ดังนั้นคำขอบคุณไม่จำเป็น
“งั้นเหรอ ถ้าเธอว่าแบบนั้น…”
องค์ราชินีมิร่าก้มหน้าถอนหายใจ อายุของเธอดูแก่ลงไปสักห้าปีในชั่วเสี้ยววิ ก่อนจะเงยหน้ากลับมายิ้มละมุน
“อยากสลับตัวผู้กล้ากับเธอจัง”
เสียงบ่นของราชินีผู้เป็นแม่ ไม่มีทางไม่เข้าหูลูกที่ยืนกอดอกเชิดหน้าแสดงท่าทีหยิ่งผยองอยู่ข้างๆ
เด็กสาวหันมามองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ดวงตาเบิกกว้าง ถ้อยคำที่ออกจากปากเต็มด้วยความไม่พอใจ
“ท่านแม่! อย่าเอาเด็กตัวกะเปี๊ยกมาเทียบกับท่านยูโตะนะ ต่อให้เป็นท่านแม่ หนูก็ไม่ยอมหรอก!”
ไม่เพียงแต่พูด แต่เด็กสาวหมุนตัวกลับหลังหันอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไปด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด ลงฝีเท้าเสียงดังตึงตังจากไป
หากพื้นที่นี่ไม่ได้แข็งแรงนัก มันคงพังลงไปแล้ว ได้ยินเสียงกระแทกเท้าดังต่อเนื่องแม้จะไม่เห็นตัวของเด็กสาวแล้วก็ตาม
องค์ราชินี มิร่าถอนหายใจแรงๆออกมาอีกครั้ง สายตาที่มองผมเหมือนอยากกล่าวขอโทษ แต่ผมชิงพูดว่า “ไม่เป็นไร” ขึ้นมาก่อน
“ตามองค์หญิงไปเถอะครับ”
“ต้องขออภัยแทนลูกสาวงี่เง่าด้วยนะคะ”
หากเทียบกับก่อนหน้า เธอก็ดูเป็นราชินีน้อยลง อาจเพราะด้วยใบหน้าคิ้วขมวดและเกร็งเช่นนั้นจึงทำให้เธอดูเหมือนเป็นแม่มากขึ้น
แม่เหรอ… นั่นสินะ ผมเองก็แค่เคยเห็นตามละครไม่ก็อานิเมะ ตัวผมเองจำตอนที่แม่โกรธครั้งสุดท้ายไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่แม่เลย พ่อตอนโกรธก็ไม่ค่อยแสดงออกมาด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นแม่บ้านก็พอจำได้อยู่
จากตอนนี้ นึกย้อนกลับไป ผมอาจเคยโกรธ โมโหท่านทั้งสองที่ไม่อยู่บ้านบ่อยๆ แต่บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องเศรษฐกิจในครอบครัวของเราสามคน ผมที่ทำงานหาเงินเองเท่าไหร่ก็ไม่อาจเทียบเท่าที่พวกเขาหาในหนึ่งเดือนได้แม้แต่หนึ่งในสิบ จึงไม่สามารถปริปากใดๆ
การกิน การเรียน การใช้ ผมใช้ชีวิตได้สบายเพราะเงินของทั้งสองคน
แต่ว่า…
ยังไงก็คิดถึงล่ะนะ
หากจะบอกว่าไม่คิดถึงทั้งสองคนเลยคงเป็นเรื่องโกหก ตอนนี้ทั้งสองคนจะรับรู้เรื่องของผมที่โดนรถชนตายไปแล้วหรือยังนะ
บางทีโลกฝั่งนั้นเวลาอาจผ่านไปแค่เสี้ยววินาที แต่ฝั่งนี้นานหลายปีก็ได้
โอกาสที่พวกเขาที่รับรู้ว่าผมได้ตายจากโลกไปแล้วใช่ว่าจะเป็นศูนย์ พวกเขาจะเสียใจหรือไม่ ถึงสงสัยก็คงหาคำตอบให้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ได้แต่บอกว่า คิดถึงจัง ต่ออาหารที่เคยทาน ต่อเกมที่เคยล็อคอินรายวัน และวิดีโอที่เหล่าคอนเทนต์ ครีเอเตอร์อัปโหลดลงกันแทบทุกวัน
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยให้ความรู้สึกที่ก่อตัวจางหายไปกับสายลมยามค่ำคืน
“ชิน เอเวอร์ไลท์ เธอเองก็ชอบดูดาวเหรอ”
จู่ๆก็มีคนเข้ามาทัก เขาคือเฮนริคและเขาก็เดินมายืนข้างผม แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยจุดสีขาวมากมายนับไม่ถ้วน
ไม่รู้ว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่าจักรวาลหรือไม่ ไม่รู้ว่าพื้นที่อันว่างเปล่าเหนือโลกจะเป็นเช่นไร ดังนั้นคงตอบไม่ได้ว่าจุดที่กำลังส่องแสงคือหมู่ดาวหรือเปล่า แต่ว่า
“ค่อนข้างชอบเลยล่ะครับ”
อย่างน้อยผมก็บอกแบบนั้นกับเขาได้
เพราะนี่คือภาพของท้องฟ้าในยามที่ไร้ซึ่งมลภาวะทางแสง ไม่มีตึก ไม่มีเครื่องบินใดๆมารบกวน
“ฉันไม่ได้ชอบ แต่ภรรยาของฉันชอบมันน่าดู”
“หมายถึงคุณแม่ของเอรี่เหรอครับ”
เขาส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะแหงนหน้าด้วยแววตาที่คะนึงหาอดีต
“แม่ของลูนาเรีย ภรรยาคนก่อนของฉัน”
จากสีหน้า หากผมถามเรื่องในอดีตคงเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นเงียบไว้ดีกว่า
ตึก ตึก…
เหมือนได้ยินเสียงใครเดินเข้ามาใกล้ ทั้งผมและเฮนริคต่างได้ยินเสียงนั้น
เรามองหน้ากันชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังกลับไปหาเจ้าของเสียงฝีเท้าที่ย่องเข้ามาจากทางด้านหลัง
“บิล?”
ตรงนั้นคือชายตัวใหญ่ ชุดโค้ทตัวยาวสีน้ำเงินเข้มที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวภายในกำลังปริเหมือนใกล้แตกออกทั้งช่วงแขนและพุง เส้นผมบนหัวบางจนเริ่มเห็นหนังหัว ใบหน้าที่มีหนวดประดับทำให้ดูเข้มและดุ มองไปที่หน้าอกเห็นเครื่องหมายบางอย่างเหมือนที่ติดบนอกของเฮนริค
เขาคนนี้คือคนของสมาคมการค้าอีกคน ไม่แปลกที่ผมไม่เคยเห็นหน้าและคงไม่แปลกที่เขาไม่เข้ามาทัก
“เฮนริค แกมันคนทรยศ”
“เป็นอะไรของนายกันแน่ บิล ฉันไปโกงเงินนายหรือไง”
แปลก
ผมได้กลิ่นแปลก ความรู้สึกทะแม่งๆจากชายคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าผมไม่ได้กลิ่นอะไรจากเขาเป็นพิเศษ
‘ระวัง’
ได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเตือน เหมือนคุ้นเคยกับเสียงนี้ชอบกล แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานึกถึงความหลัง
ผมตั้งท่าระวังตัว ในหัวคิดว่าหลังจากนี้สามารถเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ
ชายร่างใหญ่ชื่อบิล ไม่ตอบสนองและไม่ตอบคำถามของเฮนริค ปากของเขายังคงพึมพำแต่ “คนทรยศ” อยู่ซ้ำๆ
ผมอยากหันไปถามเฮนริคว่า หมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ร่างท้วมนั้นก็พุ่งเข้าใส่เสียก่อน
[เอิร์ธ แฮนด์] ผมเอ่ยถ้อยคำสั้น ๆออกมา มือจากดินสี่ข้างผุดขึ้นมาจากพื้น พยายามจับคว้าร่างนั้นเอาไว้ แต่กลับไม่ทันท่วงทีแถมยังโดนบางอย่าง ‘ตัดขาด’ อีกต่างหาก
ช่วยไม่ได้ ผมบอกกับตัวเองแล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้า นำตัวเองไปขวางระหว่างบิลและเฮนริค หากเขาจะเข้ามาทำร้ายเฮนริค อย่างน้อยก็น่าจะติดผมก่อน
[เอิร์ธ วอลล์] ผมสร้างกำแพงดินขึ้น ร่างท้วมพุ่งชนเข้าอย่างจัง และดูเหมือนจะพยายามชนต่อไปทั้งที่จะเดินอ้อมมาก็ได้ เท่านี้ก็สรุปได้แล้วว่า ร่างนี้ไร้สตินึกคิด
“คุณเฮนริค ถอยไปก่อนเถอะ”
“เด็กอย่างเธอ…”
เขาดูอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ส่ายหัวก่อนจะเปลี่ยนไปถามว่า “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
“ช่วยหาคนที่พอสู้ได้มาช่วยผมก็พอแล้วครับ”
เขาพยักหน้าให้ผมก่อนจะวิ่งจากไป ตรงระเบียงนี้จึงเหลือเพียงผมกับชายร่างท้วมเท่านั้น
ผมขยับตัวออกไปด้านข้าง เพิ่มระยะห่างระหว่างผมกับร่างท้วมและค่อยๆลดกกำแพงดินลงเพื่อไม่ให้เขาตกลงไปข้างล่างจากการพุ่งชนอย่างไร้สติเสียก่อน
เขาจดจ้องตัวผม ส่งเสียงร้องโฮกฮากเหมือนมีตัวใหญ่ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง
มือหนาเงื้อขึ้นคงหมายที่จะจับตัวผมให้ได้ ผมเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบ แล้วใช้ [เอิร์ธ วอลล์] คลุมที่ขา เป็นเกราะก่อนที่จะอัดเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายเต็มแรง
ร่างท้วมเซถอยหลัง ร้องครามในลำคอด้วยเสียงบ่งบอกอาการเจ็บปวด แถมตัวยังโค้งงอเหมือนกุ้ง ผมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ลงมืออัดเสยปลายคางอีกฝ่ายด้วยมือเปล่า
ทว่า…
“อู้ว…”
ร่างนั้นร้องในลำคอ แม้เลือดจะเต็มปาก ทั้งที่ผมคิดว่าใส่แรงไปเต็มที่แต่เหมือนจะยังน็อคอีกฝ่ายไม่ได้ง่ายๆ
เจ็บมือชะมัด รู้งี้ไม่น่ากลัวฝ่ายนั้นจะเจ็บหนักไปเลย
หากผมทำเหมือนที่ทำกับช่วงขา ก็ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เพียงหมดสติลงไป แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่พอตัวเองรู้สึกเจ็บ ผมก็เริ่มรักตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมอยู่ในจุดได้เปรียบ หากหาทางทำให้อีกฝ่ายหมดสติหรือหยุดการเคลื่อนไหวได้ การต่อสู้นี้ก็จะจบลงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ทว่า ในตอนที่ในหัวกำลังร่างแผน ตัวแปรอื่นก็ปรากฏตัว
ร่างสองร่างร่วงลงมาจากหลังคา ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ยืนตรงได้อย่างไม่ต้องกังวลความเสียหายจากแรงที่พื้นกระทำต่อเท้าและขาของตน
ทั้งสอง เป็นร่างสวมฮู้ดซอมซ่อ คนหนึ่งตัวสูงกว่าผมไปมาก ขณะที่อีกคนตัวสูงกว่าผมก็จริง แต่เหมือนเป็นเด็กที่อายุมากกว่าผมเท่านั้น
ทั้งสองเป็นผู้หญิง สาเหตุที่ระบุเช่นนั้นได้ เพราะทรวดทรงภายใต้ฮู้ดนั้นค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะคนที่ตัวสูงกว่าที่เห็นช่วงอกและช่วงเอวชัดเจน ส่วนอีกคน แม้จะไม่ได้ชัดเจนนักแต่รูปร่างแบบนั้น ไม่ว่ามองยังไงก็เป็นผู้หญิงแน่
ชายร่างท้วมคงมองว่าทั้งสองเป็นพรรคพวกที่มาช่วยยามขับขัน จึงถอยหลังหนี แล้วค่อยๆหายไป
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไปสิ!”
ผมพยายามยื่นมือออกไปข้างหน้า แต่กลับต้องชักมือหนีเมื่อโดนมีดฟันกวาดใส่ ดูท่าผมจะไปไหนต่อไม่ได้หากไม่โค่นพวกเธอทั้งสองคนลงเสียก่อน
ช่วยไม่ได้ ทางออกที่สันติ ผมเองก็อยากได้อยู่ แต่ในเมื่อไม่มีก็ต้องเลือกทางที่มีไปก่อน
ผมเตรียมร่ายเวทมนตร์ในหัว สิ่งแรกที่คิดว่าจะไล่คนได้ดีที่สุด หนีไม่พ้น
“[ไฟร์บอล]!”
สิ้นสุดคำกล่าวถ้อยคำแห่งมนตรา ลูกไฟก็พุ่งออกจากมือของผมและโจมตีใส่อีกฝ่าย ทว่า
“[วอเทอร์ บอล]!”
กลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับลูกไฟของผมที่ถูกดับอย่างง่ายดาย เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
“[พิชิตเมฆา]!”
เสียงคมดาบตัดบางสิ่งบางอย่างดัง ฉับ เบาๆ พร้อมกับที่ศัตรูทั้งสองล้มลงไปเหมือนหุ่นเชิดที่ไร้สาย พร้อมกับ เธอ ผู้หยุดการโจมตีของผมได้อย่างง่ายดาย – อาร์เจนตานั่นเอง
“ท่านชิน ไม่เป็นไรนะคะ!”
อาร์เจนตาวิ่งเข้ามาสวมกอดผม มือคลำไปตามจุดต่าง ๆของร่างกาย พอเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนก็ถอนหายใจออกมา
“เอ่อ…”
“ขออภัยค่ะ แต่ฉันยอมให้ท่านชินทำร้ายสองคนนั้นไม่ได้ค่ะ”
อยากถามว่าทำไม แต่คำตอบที่ได้รับในอีกไม่กี่วินาทีถัดมาทำให้ผมตกใจ
เมื่ออาร์เจนตาเดินไปเปิดฮู้ดของทั้งสองคนออก ก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
คนหนึ่งเป็นเด็กสาวผมทอง ดวงตาสีม่วง ผู้หายตัวไปและพวกเราเพิ่งตามหาเธอเจอเมื่อวันก่อน ไลล่า เอเวอร์ไลท์
ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่ผมรู้จักตั้งแต่หมู่บ้านก่อน แม่ของเอรี่ ไอลิน ลูเมนฮอฟนั่นเอง…
ความสงสัยกระจ่างไปหนึ่งอย่าง แต่ความสับสนที่แล่นเข้ามาหลังจากนั้นนับไม่ถ้วนจนคิ้วขมวด
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?
MANGA DISCUSSION