“เถ้าแก่หยวน ผมมาอีกแล้ว” หลิวจางทักทายหยวนโจวทันทีที่นั่งลง
“คุณมาแล้วนี่เอง วันนี้อยากทานอะไรดีครับ?” หยวนโจวถามขึ้น
“วันนี้ผมพาคนมาด้วยน่ะครับ พวกเราว่าจะมาทานหมั่นโถวไหมพันเส้นกันครับ” หลิวจางชี้ไปทางจี้อี้ที่กำลังนั่งเงียบอยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับ” หยวนโจวทักทายอย่างสุภาพ
“อืม” จี้อี้พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรมาก
“เขาไม่ค่อยช่างพูดสักเท่าไหร่น่ะครับ งั้นเราขอหมั่นโถวไหมพันเส้นสองที่ ข้าวผัดไข่สองที่ กุ้งหางหงส์แล้วก็เต้าหู้น้ำมันขาวก็แล้วกัน” หลิวจางอธิบายก่อนสั่ง
“ได้ครับ โปรดรอสักครู่นะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเดินเข้าครัวไป
“โอเค ผมกำลังหิวเชียวล่ะ” หลิวจางกล่าวอย่างมีความหวัง
หยวนโจวไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเริ่มจดจ่ออยู่กับการทำอาหารขณะที่จี้อี้จ่ายค่าอาหาร ถึงอย่างไรอาหารมื้อนี้ก็ใช่ว่าจะถูกเสียเมื่อไหร่กัน
“นายกำลังหลอกเล่นกันอยู่ใช่ไหม? ถึงได้พาฉันมาของแพงเสียขนาดนี้” จี้อี้มองหลิวจางด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นายจะเข้าใจเองหลังจากได้ลองลิ้มรสอาหารนั่นแหละ แล้วอย่าคิดมาฉกชิงหมั่นโถวไหมพันเส้นของฉันเอาทีหลังเชียวล่ะ” หลิวจางเตือนล่วงหน้า
“นายคิดว่าฉันจะขี้ขโมยเหมือนนายหรือไง?” จี้อี้กล่าวอย่างดูหมิ่น
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ” หลิวจางตอบโดยไม่โกรธสักนิด
ทั้งสองคนเถียงกันไปเถียงกันมาเพื่อยับยั้งมิให้จี้อี้ศึกษาวิธีการทำอาหารของหยวนโจวอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่เขาก็ยังสามารถเหลือบมองวิธีการทำอาหารของหยวนโจวได้พอประมาณอยู่ดีนั่นแหละ
“ไม่เลวเลยนี่ เขานวดแป้งด้วยมือจริงๆ” จี้อี้พยักหน้าเห็นด้วยพลางมองไปยังหมั่นโถวที่ถูกนึ่งเอาไว้
ขนมจะถูกเสิร์ฟหลังจากเสิร์ฟอาหารจานอื่นๆไปแล้ว หลิวจางที่อยู่ข้างจี้อี้สวาปามอาหารราวกับสุกรก็ไม่ปาน ส่วนจี้อี้กลับรอให้อาหารจานหลักมาเสิร์ฟ
แน่นอนว่าหลิวจางย่อมถามเขาอยู่แล้วล่ะว่าอยากให้เขาช่วยจัดการอาหารจานอื่นไหม แล้วก็แน่นอนว่าจี้อี้ย่อมไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาอย่างแน่นอน
“หมั่นโถวไหมพันเส้นสองที่ค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” โจวเจียกล่าวพลางเสิร์ฟซาลาเปาไผ่อีกสองที่พร้อมหมั่นโถวให้พวกเขา
“ขอบคุณครับ” หลิวจางพยักหน้าแล้วหยิบหมั่นโถวไหมพันเส้นก่อนที่จะตักอาหารของตัวเองต่อไป
ในที่สุดจี้อี้ก็เริ่มกินเช่นเดียวกัน
ทันทีที่เปลือกซาลาเปาไผ่สีเขียวเข้มเลื่อนขึ้น กลิ่นหอมของข้าวสาลีก็จู่โจมเข้าใส่โพรงจมูกของเขาพร้อมไอควันที่ลอยวนขึ้นสู่อากาศ
“หอมดีจัง” จี้อี้พยักหน้าแล้วเริ่มศึกษาหมั่นโถว
หมั่นโถวมีขนาดเล็กจ้อยและดูเหมือนว่ากัดแค่สองคำก็คงจะหมดแล้ว แถมไม่ได้เป็นสีขาวราวหิมะเหมือนหมั่นโถวทั่วๆไปอีกด้วย แต่กลับเป็นสีออกเหลือง
“ดูน่ากินเหมือนกันนะนี่” จี้อี้ยอมรับรูปลักษณ์ของหมั่นโถว
ถึงแม้ว่าหมั่นโถวจะมีชื่อว่า “ไหมพันเส้น” ทว่ากลับไม่สามารถมองเห็นเส้นไหมสักเส้นจากมันได้เลย สิ่งนี้ดูทีแล้วน่าจะเป็นลักษณะของอาหารจานนี้เสียมากกว่า
จี้อี้ใช้ตะเกียบคีบหมั่นโถวขึ้นมา จากความรู้สึก เขาสามารถรู้สึกได้ว่าหมั่นโถวทั้งนุ่มและเด้งได้ หลังจากศึกษาดูอีกนิด เขาก็ส่งมันเข้าปาก
ลักษณะอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของอาหารจานนี้ก็คือ “ไหมพันเส้น” และผลข้างเคียงของการแบ่งแป้งออกเป็นไหมพันเส้นก็คือการลดความยืดหยุ่นด้วยการเพิ่มความรู้สึกเป็นอิสระลงไป แต่สิ่งนี้หาใช่ในกรณีของหมั่นโถวที่หยวนโจวทำ มันยังนุ่มและเด้งมากอยู่เลย
งั่ม งั่ม จี้อี้เริ่มกินแล้ว
“น่าแปลก” จี้อี้ไม่ใช้ตะเกียบอีกต่อไป เขาฉีกหมั่นโถวส่วนที่เหลือออกแล้วมองดูเส้นไหมเรียวบางนับไม่ถ้วนที่ถักทอเข้าเข้าด้วยกันอยู่ข้างใน หลังจากที่ฉีกหมั่นโถวออกมาแล้ว กลิ่นของข้าวสาลียิ่งมาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
จี้อี้ดึงเส้นไหมเส้นหนึ่งออกมา ในแวบแรก เส้นไหมมีสีออกเหลือง แต่ตอนที่เขากำลังศึกษารายละเอียดอยู่นั้นกลับปรากฏความมันวาว เป็นสีขาวสะอาดและสวยงามราวกับเกล็ดหิมะทั้งยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
จี้อี้ยัดหมั่นโถวเข้าปาก ตามหลักแล้วยิ่งเส้นไหมเส้นนี้เรียวบางมากเท่าไหร่ก็น่าจะไร้รสชาติมากขึ้นเท่านั้น แต่ทว่ากลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เส้นไหมไม่ได้ละลายทันทีเมื่อเข้าสู่ปากเนื่องจากถูกชั้นของน้ำมันหมูห่อหุ้มเอาไว้ แต่กลิ่นหอมของน้ำมันหมูกลับเริ่มกระจายไปทั่วปากก่อนที่รสชาติอันนุ่มละมุนของข้าวสาลีจะเริ่มปรากฏออกมา
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงช่วงวัยเด็กของตัวเอง เมื่อตอนนั้นเขาไม่ได้กินเนื้อมากสักเท่าไหร่นักและในที่สุดเมื่อเขามีโอกาสได้กินข้าวผสมน้ำมันหมูถ้วยหนึ่ง กลิ่นหอมฟุ้งของน้ำมันหมูกระจายไปทั่วปากของเขา นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงที่เขารู้สึกในตอนนี้นั่นเอง
“วู ตอนที่เคี้ยวไปครั้งนึงรสหวานกับรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำมันหมูก็ติดไปด้วย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะนะก็กลับไม่ได้กลิ่นหืนของเนื้อสัตว์เลย แต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มละมุน อร่อย อร่อยจริงๆ”
“นี่คือขนมที่ดีเยี่ยมจริงๆ” จี้อี้รู้สึกพึงพอใจมาก
จี้อี้แสดงความชื่นชมอาหารจานนั้นระหว่างที่กินไปมากมาย รสชาติยอดเยี่ยมและในที่สุดก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหลิวจางไม่ได้หลอกให้เขามาที่นี่จริงๆ
เป็นเรื่องที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงเลยว่าหยวนโจวผู้สร้างชื่อจากข้าวหน้าปลาหางไก่ญี่ปุ่นสามารถเตรียมปลาแบบนี้ขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน
ความเข้าใจทั้งในเรื่องความหนาแน่นที่เกิดขึ้นระหว่างการนวดและช่วงเวลาในการหมักไม่มีข้อผิดพลาดเลยสักนิดเดียว
“นอกจากฉันแล้วจะมีใครสามารถทำหมั่นโถวไหมพันเส้นแบบนี้ได้อีกเล่า” จี้อี้จ้องมองคนหนุ่มอย่างหยวนโจวด้วยความรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะถูกคนหนุ่มเข้ามาแทนที่เสียแล้ว จี้อี้ชักจะเริ่มคันไม้คันมือด้วยความท้าทายขึ้นมาแล้ว
ทว่า…
เขาวางตะเกียบลงแล้วชะงักไปเพียงครู่
“หมั่นโถวไหมพันเส้นจานนี้ยังไม่เหนือไปกว่าของฉันหรอกนะ ฉันสามารถตัดสินได้เลยว่าแค่เสมอกันเท่านั้นแหละ” จี้อี้ยังคงมั่นใจในหมั่นโถวของตัวเอง เขาจึงประเมินให้เสมอกัน
หมั่นโถวทั้งสองเสมอกัน
หลิวจางหาใช่คนที่พูดอะไรโดยไม่มีเหตุผล ในเมื่อเขาบอกว่าหมั่นโถวของที่นี่เหนือล้ำกว่าหมั่นโถวของเขาก็ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่
“ยังมีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อยนะ ลองกินดูอีกทีสิ” หลิวจางกล่าว
“โอ้?”
มีรสชาติอะไรที่เขาพลาดไปงั้นหรือ? จี้อี้ไม่เถียงแล้วเริ่มกินอีกที คราวนี้เขาค่อยๆเคี้ยวและลิ้มรสชาติของหมั่นโถวให้ละเอียดถี่ถ้วนราวกับว่าเขากำลังจะเปิดเผยทุกรสชาติที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น
ถึงแม้ว่าจี้อี้จะแก่แล้ว ทว่าต่อมรับรสของเขายังคงอยู่ในสภาพเดิม เขาสามารถรับรู้รสชาติบางอย่างได้เพียงกัดแค่ไม่กี่คำเท่านั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเขากินหมั่นโถวจนเกลี้ยงแล้ว ก็สามารถมองเห็นเส้นประสาทบนใบหน้าของเขาได้เลย
“เถ้าแก่หยวน ขอรบกวนเวลาสักหน่อยสิ” จู่ๆจี้อี้ก็เงยหน้าแล้วบอกหยวนโจว
“อืม?” หยวนโจวเพียงแค่เหลือบมองแทนที่จะเดินเข้ามาหา ถึงอย่างไรก็ยังมีลูกค้าคนอื่นๆที่กำลังรออาหารอยู่
“ไม่มีน้ำตาลนี้ คุณไม่ได้เติมน้ำตาลลงในหมั่นโถวไหมพันเส้นงั้นเหรอ?” จี้อี้ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า จริงๆแล้วไม่ว่าใครก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเติมน้ำตาลอะไรลงไปก็ยังได้รสหวานอยู่ดี สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว รสหวานก็เป็นแค่รสหวานนั่นแหละ แต่รสชาติของหมั่นโถวไหมพันเส้นจานนี้กลับเป็นความหวานที่ต่างไปจากความหวานจากน้ำตาล แต่กลับเป็นความหวานตามธรรมชาติต่างหากเล่า
ถึงแม้ว่าจี้อี้จะรู้อยู่แล้ว แต่เมื่อที่สุดแล้วหยวนโจวยอมรับออกมา เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
“เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“น้ำผึ้งงั้นรึ? หรือว่ามีอย่างอื่น?”
“ไม่ครับ ไม่มีอะไรที่สามารถให้ความหวานตามธรรมชาติแบบนั้นได้หรอกครับ”
“สิ่งนี้ให้ความรู้สึกราวกับความหวานตามธรรมชาติของตัวแป้งเองเลย”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี นี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”
จี้อี้ดูเหมือนจะคลั่งไปแล้วพลางเริ่มพูดกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาก็ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับหมั่นโถวไหมพันเส้นมานานแล้ว เขาไม่สามารถค้นพบวิธีการทำให้ดีขึ้นได้เลย วัตถุดิบนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหัวของเขา ทว่าเขาก็ไม่สามารถระบุวัตถุดิบที่ให้ความหวานตามธรรมชาติอย่างที่เขาชิมจากหมั่นโถวได้เลย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
MANGA DISCUSSION