God of illusions - ตอนที่ 43 เจ้าเรียกใครว่าหมา?
God of illusions ตอนที่ 43 เจ้าเรียกใครว่าหมา?
หลังจากพวกป่ายเสี่ยวเฟยส่งเล่ยซานกลับไปบนใบหน้า ของพวกเขาพลันปรากฏความปิติยินดีกันถ้วนหน้า จากผลลัพธ์แล้วการดึงเจ้าสถาบันเข้ามาเกี่ยวในครานี้เป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดนัก
“อย่าดีใจเร็วเกินไป ท่านเจ้าสถาบันเอ่ยไว้ว่าอย่างเร็วที่ สุดก็ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น คืนนี้เจ้าคิดจะทําเช่นไร? ไม่กลับไปหอพัก? พนันได้เลยว่ามีฝูงคนรอคอยเจ้าอยู่ที่นั่น” เสวี่ยอิ่งราดน้ําเย็นเยียบใส่ปายเสี่ยวเฟย แต่เขาราวกับไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด
“มีอันใดให้กลัว? ข้ามีท่าน!” ป่ายเสี่ยวเฟยหัวเราะในลําคอ เผยให้เห็นสีหน้าน่ารังเกียจ
“เจ้าวางแผนอะไร!?” เสวี่ยอิ่งถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ ร่องรอยตื่นตระหนกมีให้เห็นบนใบหน้า ไม่นานนัก นางก็กลับคืนสู่ปกติ “ข้าจะกลัวป่ายเสี่ยวเฟยไปทําไม?”
“ข้าจะจ้างท่านในฐานะผู้คุ้มกัน หากท่านไม่มา ทั้งข้าและพวกโม่ข่าเละเป็นจักแน่นอน ถึงแม้ท่านจะทนเห็นข้าถูกอัดได้ แต่ท่านคงไม่อยากให้คนอื่นดูถูกเหยียดหยามห้องคนเถื่อน” เมื่อตอนที่ป่ายเสี่ยวเฟยค้นพบจุดอ่อนของเสวี่ยอิ่ง เขาไม่มีความคิดที่จะปล่อยมือไปแม้แต่น้อย
“เจ้าหมายความว่าเจ้าอยากให้ข้าไปที่หอพักชาย!?” น้ําเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อราวกับได้ยินเรื่องตลกขบขันที่สุด
“ใช่ ท่านอยากให้พวกเรานอนข้างถนนหรือ? อีกอย่างการที่อาจารย์ประจําห้องจะมาตรวจตราดูแลความเป็นอยู่ของลูกศิษย์ ไม่มีอะไรน่าแปลกสักนิด อย่าบอกนะว่าท่านกังวลข้อครหาว่าท่านกับลูกศิษย์มีความสัมพันธ์เกินเลย?”
สือเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก แต่นางมิอาจหาข้อบกพร่องของคําพูดนั้นได้เลย
“นี่ก็ดึกแล้ว พวกเราจะไปได้หรือยัง?” ปายเสี่ยวเฟยหาวออกมา ประหนึ่งว่าเสวี่ยอิ่งได้ตอบตกลงเป็นที่เรียบร้อย
“ป่ายเสี่ยวเฟย เจ้าจําไว้ให้ดี เจ้าจะต้องรับกรรมที่เจ้าก่อไม่ช้าก็เร็ว!” เสวี่ยอิ่งกําหมัดแน่นถถึงทิ้งจ้องปายเสี่ยวเฟย นางหายใจระรัวด้วยโทสะ ริมฝีปากเผยอขึ้นของนางมีเสน่ห์ไม่น้อยในสายตาป่ายเสี่ยวเฟย
“ข้ามีกรรมอยู่เยอะพอแล้ว ท่านควรจะต่อแถวรอ”
“หลินหลีอยากไปด้วย..” หลินหลียืนอยู่ข้างหลังปายเสียวเฟย นางดึงชายเสื้อของเขาเล็กน้อย นัยน์ตาโตกลมส่องประกายคาดหวัง
“ไม่ได้ หอพักชายไม่ใช่สถานที่ที่หญิงสาวที่ดีควรจะไป ไว้ข้าจะเป็นเพื่อนเล่นเจ้าพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นเชื่อฟังข้าแล้วกลับไปพร้อมสือเฉินเถิด” ป้ายเสี่ยวเฟยลูบหัวหลินหลี เขาได้เข้าใจสภาวะจิตใจของหลินหลีเป็นที่เรียบร้อย และมันคือสภาวะจิตใจของเด็กเล็ก
เด็กเล็กที่เชื่อฟังเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้น เสวี่ยอิ่งเดินไปทางหอพักชายอย่างช่วยไม่ได้ โทสะบนใบหน้าไม่ลดน้อยลงแม้แต่น้อยเพราะประโยค “หอพักชายไม่ใช่สถานที่ที่หญิงสาวที่ดีควรจะไป” นางได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง
“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้ารังแกเสียวหลีหลีเพียงเพราะนางไร้เดียงสา ข้าจะตอนเจ้าน้องชายเจ้าทิ้ง!” เสวี่ยอิ่งอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลแทนเมื่อนางนึกถึงนิสัยเชื่อฟังของหลินหลี
“หม? อาจารย์ของสถาบันชิงหลัวต้องใส่ใจเรื่องความรักของศิษย์ด้วย? หรือมันเป็นงานอดิเรกของท่าน พี่หญิงเสวี่ย?” ปายเสี่ยวเฟยยิ้มกริ่มเผยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ
“หรือจะเป็นเพราะพี่หญิงเสวียไร้คนรู้ใจเป็นเวลานานจนอกเห็นคนอื่นมีสายสัมพันธ์ไม่ได้? ไม่ต้องเป็นห่วง อย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งหรือสองคนบ้าพอที่จะไล่ตามเกี่ยวพาราสีท่าน มันเป็นเรื่องของเวลา…”
ป่ายเสี่ยวเฟยไม่ทันกล่าวจบฉากตรงหน้าก็พลันกลับตาลปัตรพสุธาอยู่บนฟ้าอยู่ล่าง เขาถาโถมเข้าหาอ้อมกอดของพระแม่ธรณีพร้อมเสียงดังโครม
“ข้าจะตอนเจ้าจริงๆ หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก!” เสวี่ยอิ่งปัดฝุ่นที่มืออย่างพึงพอใจ นางรู้สึกราวกับว่าโทสะเกลียดชังที่ได้สั่งสมมาทั้งคืนถูกปลดปล่อยออกไปพร้อมลูกเตะต่ํานี้
เมื่อจัดการกับคนน่ารังเกียจ จักต้องใช้วิธีที่รุนแรงยิ่งกว่ามาสยบ เป็นวินาทีนี้เองที่ชีวิตอันน่าขมขื่นของป่ายเสี่ยวเฟยได้เริ่มต้นขึ้น
ปายเสี่ยวเฟยรู้สึกราวกับยุคสมัยได้ผ่านพ้นเมื่อเขามาถึงหน้าประตูหอพักเพราะวันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
“ป่ายเสี่ยวเฟยกลับมาแล้ว!!” ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวขาเข้าไป เสียงตะโกนดังลั่นมาจากข้างใน ป่ายเสี่ยวเฟย ได้กลายเป็น “คนดัง” ในหอพักนี้โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะ “เป็นที่ต้อนรับ” ดีนะ” เสวี่ยอิ่งยิ้มเริ่มหันหลังกลับมามองปายเสี่ยวเฟยที่ใบหน้าบวมเปงไปทั่วใบหน้าของนางปรากฏความภาคภูมิ
ประหนึ่งกําลังบอกเขาว่า “เจ้าตายแน่หากไม่มีข้า!”
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะเป็นที่ต้อนรับกว่านี้อีกในอนาคต” ปายเสี่ยวเฟยหัวเราะเจ้าเล่ห์ สันดานของเขาทํางานขึ้นมาอีกครา ไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนเพียงเพราะถูกอัด แต่การยั่วยุเสวี่ยอิ่งคือสิ่งต้องห้ามสําหรับเขาไปแล้ว
“ไป ให้ข้าดูว่ามีตัวอันใดบ้าง อย่างน้อยขอให้ข้าได้ขยับกล้ามเนื้อบ้างเถิด” เสวี่ยอิ่งกําหมัดแน่น ใบหน้าปรากฎความมุ่งหวัง
ตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้นที่แปด แววตามากมายนับไม่ถ้วนห ยุดอยู่ที่ปายเสี่ยวเฟย มีหลายคนที่สนอกสนใจในการแสดงเดินตามหลังเขามาติดๆ ราวกับหวาดกลัวว่าจะพลาดชมสิ่งดีๆ
ในไม่ช้าปายเสี่ยวเฟยและเสวี่ยอิ่งเดินขึ้นมาถึงชั้นแปด ห้องพัก 807 อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ แต่ชั้นที่แปดแตกต่างจากชั้นแรกตรงที่ว่ามันสงบเงียบอย่างผิดปกติ
“ดูเหมือนว่าผู้มาเยือนจะไม่ใช่พวกไร้ชื่อ” ปายเสี่ยวเฟยถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ก่อนจะขยับมือไปเปิดประตูช้าๆ
ในวินาทีที่ประตูเปิดออก ชายหนุ่มผมยาวใบหน้ามืดทะมึนนั่งอยู่บนเก้าอี้พลันปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ซ้ายขวามีลูกน้องสี่คนยืนนิ่งเงียบใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง สายตาเย็นชาจ้องมองมายังปายเสี่ยวเฟย
ดูจากชุด คนทั้งห้าเป็นศิษย์ปีสาม!
นอกจากพวกมัน ยังมีโม่ข่าและพวกที่ถูกอัดจนเละนอนกองอยู่บนพื้น
“เจ้าคือปายเสี่ยวเฟย?” ชายหนุ่มสีหน้ามืดทะมั่นยืนขึ้น รังสีน่าหวาดหวั่นกดทับลงบนตัวปายเสี่ยวเฟย ระดับชํานาญและปรมาจารย์ห่างเพียงหนึ่งระดับเท่านั้น แต่ช่องว่างระหว่างทั้งสองช่างห่างไกลเหลือคณา!
“ก่อนจะถามนามผู้อื่นให้เอ่ยนามของตนก่อน แม่เจ้าไม่ได้สอนเจ้าเรื่องนี้หรือ?” นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ํา ปายเสี่ยวเฟยกล่าวพลางกัดฟัดกรอด เขาปรารถนาเพียงพุ่งกระโจน เข้าไปอัดคนพวกนี้ น่าเสียดายก็แต่เขาไม่มีปัญญาพอ…
“รนหาที่ตาย!” ก่อนที่ชายหนุ่มมืดทะมันจะทันได้เปิดปาก ลูกสมุนของเขาพุ่งเข้ามาข้างหน้า เป็นช่วงเวลานี้เองที่เสวี่ยอิ่งปรากฏตัวขึ้น ผ้าคลุมอาจารย์ของนางสะดุดตาอย่างมาก
เมื่อยามที่นางเห็นพวกโม่ข่านอนหมอบอยู่กับพื้น สีหน้านางมีดหมองลงทันที
“ไอ้หนู เจ้าจะใช้แผนเดิมอีกกี่ครั้ง? เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นมือใหม่ที่เจ้าจะใช้หมามาหลอกได้ง่ายๆหรือ?” ศิษย์พี่ที่พี่งตัวเข้ามาหาป้ายเสี่ยวเฟยเอ่ยพร้อมเสียงเหยียดหยัน
แต่ระยะห่างเพียงสองก้าวนี้กลับไกลกว่าที่เขาคิดเพราะมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
เสวี่ยอิ่งก้าวขามายืนบังหน้าปายเสี่ยวเฟย มือเรียวงาม ดุจหยกจับกุมข้อมืออย่างแม่นยําก่อนจะยกเขาขึ้นช้าๆ
“เจ้าเรียกใครว่าหมา!?”