Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 149 คนทรยศ(5)
ผมเคยปักใจเชื่อข้อมูลที่ผมได้มาจากมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้
ตัวอย่างก็เช่นเรื่อง กองทัพจอมมารนั้นแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย อย่างฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขา เป็นข้อมูลที่ใหม่สำหรับผม
ถึงอย่างนั้นนี่ออกจะเป็นเรื่องใหม่ แต่ไม่ได้ขัดแย้งกับข้อมูลที่มาจากเกม
ข้อมูลที่ปรากฏใน <Dungeon Attack> ข้อมูลที่ผมได้มาจากที่นี่นั้น ไม่เคยขัดแย้งกันเลยสักครั้ง ต้องขอบคุณเรื่องนี้ด้วยทำให้ผมสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากกาฬโรคและยังสามารถฟาดใส่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธได้อย่างจัง
แต่ในกรณีของไพมอนมันกลับต่างออกไป
พอมาคิดๆดูมันก็แปลกนั่นแหละ ตัวเอกและไพมอนนั้นเจอกันครั้งแรกในเมืองมนุษย์
จอมมารลำดับ 9 ไปที่เมืองและก็เจอกันกับฮีโร่ที่นั่น ทั้งสองพบเจอกันด้วยความบังเอิญแล้วเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
นี่มันจะบังเอิญมากเกินไปไหม? แล้วนั่นใช่ความบังเอิญจริงหรือเปล่า……?
ผมไม่เคยตั้งคำถามเรื่องนี้เลย เพราะมันเป็นฉากเหตุการณ์ในเกม แต่ถึงอย่างนั้น ความบังเอิญนั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้
แต่นี่เป็นความจริง ความบังเอิญแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้จริงอย่างนั้นหรือ?
ทำไมผู้นำของฝ่ายภูเขาผู้เป็นจอมมารที่ทรงอิทธิพลอย่างมากกลับมายังเมืองมนุษย์ แล้วไหนยังเรื่องโอกาสที่เธอจะพบเจอฮีโร่อีกล่ะ?
ไพมอนวางแผนให้ได้พบกัน เธอตั้งใจเข้าหาฮีโร่ ……สมมุติฐานนี้ฟังดูมีเหตุมีผลขึ้นมาทันที
ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั่วตัวอีกครั้ง ผมนึกได้คร่าวๆถึงสิ่งที่ไพมอนพูดกับตัวเอกของเกม เธอกระซิบอ่อนหวานข้างหูฮีโร่
– ใช่แล้ว เลดี้ผู้นี้เป็นจอมมาร ข้าหลอกท่าน แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ? เลดี้ผู้นี้รักท่าน แม้ว่าพวกเราจะต่างเผ่า ต่างสถานะ และถึงแม้พวกเราจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรูกัน เลดี้ผู้นี้รักท่านสุดหัวจิตหัวใจ
เลดี้ผู้นี้รักท่านนับตั้งแต่ที่ได้สบตากับท่านและยังเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาก
– อ่า เอาจริงๆนะหากไม่ใช่เลดี้ผู้นี้ ท่านอาจจะตายไปแล้ว มนุษย์นั้นมีตาหามีแววไม่ ท่านเป็นฮีโร่ของพวกเขา บุคคลที่ช่วยเหลือทวีปนี้
ทำไมพวกเขาถึงพยายามที่จะฆ่าคนอย่างท่านด้วยนะ……?
มนุษย์พวกนั้นช่างโง่เขลาจนเกินเยียวยา ข้าเข้าใจแล้ว แต่อย่างน้อย พวกเราปีศาจก็ไม่ทรยศพวกเดียวกัน
ทั้งหมดนั้นเป็นการแสดงทั้งสิ้น
– มนุษย์นั้นสุดยอดมากๆ! ข้าได้ยินว่า มีประเทศสาธารณรัฐแห่งหนึ่งในมนุษย์โลก เขาบอกกันว่ามีทั้ง มนุษย์ เอลฟ์และคนแคระ อาศัยอยู่อย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการแบ่งแยกที่นั่น เท่าเทียมกันโดยไร้การแบ่งแยก…….
วันหนึ่ง วันนั้นจะมาถึงปีศาจและมนุษย์ด้วยเช่นกัน ข้าแน่ใจในเรื่องนั้น
– ในช่วงวาระสุดท้ายของเลดี้ผู้นี้……อย่างน้อยได้โปรดมอบจุมพิตให้แก่เลดี้ผู้นี้ได้หรือไม่?
สุดท้ายแล้วเธอก็เอาจูบแรกของตัวเอกไป ไม่ใช่หัวหน้าของผู้กล้าที่เป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิหรือเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นนักเวทย์ของเขา หากแต่เป็นศัตรูของฮีโร่อย่างจอมมารที่เอาจูบแรกไป
แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ไพมอนก็ยังร้องขอความรักจากศัตรูตัวฉกาจของเธอ สิ่งที่เธอได้รับในช่วงลมหายใจสุดท้ายคือ ริมฝีปากของฮีโร่ แต่ ณ เวลานั้น เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
การสารภาพรักของหนุ่มสาว,แก้มที่แดงก่ำ,จูบสุดท้าย ถ้อยคำนับร้อย ท่าทางการแสดงออกนับพัน
ซัคคิวบัสตนนั้นรู้สึกเหมือนอย่างที่เธอแสดงออกจริงๆอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นความลับไปตลอดกาล…….
“แต่ไม่ว่าจะคิดมุมไหน ผู้ปกครองของฮับบวร์กก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี
แม้ท่านจะนำยอดมนุษย์สุดแกร่งนั่นมาอยู่ฝ่ายเดียวกันหรือจะฆ่าเขาทิ้งเสีย ก็ยังไม่อาจกำจัดปัญหาจริงไปได้อยู่ดี ท่านก็ยังต้องทำให้ทั้งสองแตกแยกกันให้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง…….
ว่ากันตามตรงนะ เลดี้ผู้นี้มั่นใจในวิธีการทางการเมือง แต่ไม่ใช่แผนการ เลยค่อนข้างเป็นปัญหาพอตัว”
ไพมอนยังคงพูดถึงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างจริงจัง เธอคงไม่รู้ว่า ผมกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ผมหัวเราะขึ้นมา
“ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนเธอน่ะจะยังขาดไปพอเป็นเรื่องการวางแผน”
“……ท่านล้อข้าเล่นอยู่หรือยังไง? ทั้งที่ข้าตั้งใจคิดคำตอบให้แท้ๆ”
“เปล่าเลย ข้าจริงจัง”
ผมยักไหล่
“ท่านก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐขึ้นมาได้ นั่นก็น่าประทับใจแล้ว แต่ทำไมถึงทำมันขึ้นมาโดยไม่คิดอะไรล่ะ? ทั้งที่มีความขัดแย้งประเทศอยู่รอบข้างเต็มไปหมด
หากเป็นข้า ข้าจะทำให้ทั้งทวีปนั้นตกอยู่ในความอลหม่านก่อน
ตัวอย่างเช่น พยายามสร้างชาติขึ้นระหว่างที่กำลังก่อสงครามกับกองทัพพันธมิตร”
“ตะ-แต่”
ไพมอนขมวดคิ้ว
“หากข้าทำอย่างนั้น พวกเราก็จะตกเป็นเป้าของพันธมิตรฝ่ายมนุษย์”
“ท่านก็สามารถให้การสนับสนุนกองกำลังฝ่ายมนุษย์ได้นี่ เมืองอาร์มสเทลนั้นให้การสนับสนุนทางการเงินกับฝ่ายกองทัพ แถมท่านยังมีความสามารถในการควบคุมฝ่ายภูเขา
พูดอีกอย่างก็คือ ท่านน่ะ สามารถสร้างให้เกิดสงครามไปตลอดไม่สิ้นสุดก็ยังได้
ผลก็คือ พวกมนุษย์นั้นก็จะพยายามหาเงินกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
แล้วทีนี้ก็สามารถทำให้ อาร์มสเทลนั้นได้รับสิทธิ์หลายอย่างเพื่อชดเชยกับการที่ต้องส่งเสบียง”
“…….”
ใช่แล้วล่ะ มันควรจะเป็นไปได้ยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ หากไพมอนกับบาอัลร่วมมือกันจริงๆ
การปฏิวัติอย่างนั้นหรือ? ทำไมต้องไปทำอะไรที่มันลำบากยากเข็ญขนาดนั้นล่ะ? ในเมื่อมีอะไรที่ดีกว่านั้นในการหาผลประโยชน์จากสงคราม
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าอัศวินทั้งหลาย ที่แข็งแกร่งก็จริงแต่พวกเขาก็ต้องใช้เงินเป็นอย่างมาก หากเป็นข้า ข้าจะทำให้พวกอัศวินนั้นเป็นหนี้ข้าแล้วบีบบังคับให้ยอมรับคำขอของข้า
โอ้ ใช่แล้ว พอนึกอย่างนี้ ดูเหมือนท่านจะมีสายสัมพันธ์กับฝ่ายโบสถ์อยู่นี่ ท่านสามารถใช้งานพวกเขาได้!”
แหมที่รัก ดูเหมือนตอนนี้ผมกำลังสนุกสนานอยู่เลย สถานการณ์ไพมอนนั้นใกล้เคียงมากกับสถานการณ์ของผู้เล่นมากกว่า สถานการณ์ปัจจุบันของผม
ไม่เพียงแต่เธอจะมีอิทธิพลมากในโลกปีศาจหากแต่เธอยังมีอิทธิพลในโลกมนุษย์อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีเงินทุนมหาศาลและเครือข่ายที่ดuพอ ดังนั้นเธอจะมีชีวิตอยู่อย่างไรก็ได้มิใช่หรือไง?
“พวกโบสถ์นั้นอยู่ในจุดที่ต้องสนับสนุนสงครามที่รบกับกองทัพพันธมิตร แต่อย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงประสบปัญหาทางการเงิน ข้าเล็งไปที่ตรงนั้นแหละ ข้าจะทำให้โบสถ์ที่มีปัญหาด้วยใบไถ่บาป”
“ใบไถ่บาปอย่างนั้นหรือ……?”
“มันคือ ใบรับรองที่ประกาศว่า บาปของท่านนั้นได้รับการอภัยให้ หากท่านได้รับใบนี้ นั่นก็แสดงว่า ตัวท่านนั้นจงรักภักดีต่อพระเจ้ามากเพียงใด
การเข้าขวางกองทัพพันธมิตรนั้นเป็นความปรารถนาของพระเจ้า การเข้าร่วมกองทัพเพื่อสู้กับกองทัพจอมมารนั้นเป็นการรับใช้พระเจ้า ท่านสามารถที่จะคุยโม้โอ้อวดเรื่องนี้ได้”
ไพมอนเปิดปากพูด
“มันไม่มีทาง…ที่โบสถ์จะคดโกงกันได้ขนาดนั้น”
“มนุษย์น่ะยินยอมพร้อมใจที่จะคดโกงได้หากได้รับข้ออ้างและสิทธิที่เหมาะสม
นี่เป็นไปเพื่อมนุษยชาติและทวีปนะ ข้ามิได้ตั้งใจทำเพื่อเงิน
…….เอาล่ะ ดูแล้วไม่เหมือนการโกงกินสำหรับพวกเขาสักหน่อยจริงไหม? ท่านน่ะต้องทำให้มันดูดีแต่แรกแล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น ต่อจากนั้นชีวิตก็จะยุ่งมากขึ้นหน่อย ซึ่งมันก็จะง่ายต่อการทำเงินถ้าหากอ้างชื่อพระเจ้า”
“…….”
อำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริงในโลกใบนี้ ยิ่งศรัทธามากเท่าใดพลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ผู้คนทั้งหลายสามารถสัมผัสได้กับพลังของพระเจ้าได้
เพราะเหตุนั้นเองผู้คนจึงไม่สงสัยการมีอยู่ของพระเจ้า
นั่นคือเหตุว่าทำไมพระจึงมีอำนาจมากเหลือเกิน
แล้วยิ่งมีศรัทธาที่มากเข้าก็ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสาวกผู้เลื่อมใส
เพื่อปกป้องมนุษย์ชาติจากจอมมารที่ชั่วร้าย จะมีเหตุผลใดสูงส่งไปกว่านี้อีกเล่า?
พระนักบวชทั้งหลายจึงได้ระดมทุกจากชนชั้นสูงและสามัญชนได้อย่างไม่อั้น
แม้แต่พระพวกนั้นก็ยังค่อยๆตกลงสู่ความลุ่มหลงในเงินตรา…….
สงครามนั้นเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการทำธุรกิจ
“แต่ถึงแม้พวกเขาจะขายใบไถ่บาป แต่ก็ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย แล้วก็จะมาถึงทางตัน
ตอนนี้แหละที่ อาร์มสเทลจะเข้ามาเกี่ยวข้อง อาร์มสเทลนั้นจะกว้านซื้อใบไถ่บาปจำนวนมาก อาจเป็นเงินราวๆ 100,000 หรือ 1,000,000 โกลด์ ท่านก็ควรทุ่มซื้อลงไป
แล้วโบสถ์ก็จะสรรเสริญเป็นอย่างมากว่า อาร์มสเทลนั้นเป็นเมืองที่อุทิศตัวเองเพื่อมนุษยชาติ! แล้วท่านก็จะได้รับการสรรเสริญไปตลอด!”
ผมหัวเราะออกมาดังลั่น
อื้มมม ดูเหมือนอาการไบโพล่าร์ของผมจะกลับมาอีกแล้วสินะ ผมถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ผมเป็นแฟนของ <Dungeon Attack> เลยนะ
ในหมู่ผู้เล่นนับไม่ถ้วนนั้น มีเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องราวแบบนี้ ผมรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความปีติยินดี
สงครามเพื่อแยกตัวออกไป? การปฏิวัติ? มันจะเป็นอะไรกันแน่ล่ะ? สงครามเพื่อประกาศเอกราชอย่างนั้นหรือ?
“พอเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย แล้วทำไมยังต้องมาก่อสงครามปลดแอกเพื่อยอมรับชาติพันธุ์อื่นเป็นพลเมืองอีกล่ะ?
แทนที่จะไปทำอะไรแย่ๆอย่างนั้น ก็แค่บอกกับโบสถ์ว่า จะซื้อใบไถ่บาปจำนวนมากเป็นระลอกสอง
แล้วคราวนี้เผ่าพันธุ์อื่นในเมืองของพวกเราก็จะเต็มใจจ่ายเพื่อสิ่งนั้น”
“…….”
คุคุ ใช่แล้วล่ะ นั่นคือ ทั้งหมดที่เธอทำได้ เงินจะกลายเป็นเผด็จการทรราชหากสงครามยิ่งยืดยาวออกไป
คุณก็จะไปถึงจุดที่เผ่าพันธุ์อื่นสามารถซื้อสิทธิ์ได้ด้วยเงิน
คุณจะสามารถช่วยเหลือมนุษยชาติและรับใช้พระเจ้าได้ด้วยข้ออ้างสุดแสนจะสมบูรณ์แบบ อัศวินที่เป็นหนี้เป็นสินกับอาร์มสเทลและโบสถ์ก็เป็นที่รู้กันว่า เป็นผู้นำที่คอยควบคุมขวัญกำลังใจของคนทั้งทวีปก็จะแสดงความขอบคุณต่อเผ่าพันธุ์อื่นด้วย
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากหาข้ออ้างและใช้อำนาจอย่างเหมาะสม
“สุดท้ายแล้วท่านก็จะเริ่มเล่นเกมเจรจาต่อรองขณะที่สงครามใกล้จบ พวกผู้นำฝ่ายกองทัพมนุษย์จะเริ่มกลัวการที่สงครามต้องจบลง
วันที่พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนมันจะต้องมาถึง
ตอนนั้นเอง ท่านก็แค่กระซิบกับพวกเขาไปสิว่า ปล่อยให้บางเมืองเป็นอิสระสิแล้วพวกเราจะยกเลิกหนี้ให้ทันที”
อ่า นั่นแหละ อาร์มสเทลก็จะสามารถควบรวมชาติอื่นได้แล้ว อาจจะเป็นอะไรนะ จักรวรรดิแฟร้งเหรอ? ราชอาณาจักรทิวทัน?
ผมไม่แน่ใจหรอก แต่เชื่อว่า ต้องเป็นบางส่วนของชาติพวกนั้นนั่นแหละ
ที่สำคัญชาติพวกนั้นไม่อาจปฏิเสธเมื่อหน่วยรบของอัศวินและโบสถ์เรียกร้องให้อาร์มสเทลตั้งตนเป็นอิสระ
แถมคุณก็ยังสามารถแอบล็อบบี้กับพวกระดับสูงๆของชาติพวกนั้นได้ด้วย
……การทำแบบนี้จะช่วยรักษาหน้าของพวกเขาได้ด้วย
ด้วยการมอบใบไถ่บาปมา แล้วให้อาร์มสเทลซื้อไปเป็นราคาของการปลดปล่อยให้ประเทศเป็นเสรี?
สุดท้ายพวกนั้นมันก็แค่กระดาษ แต่สิ่งสำคัญคือการความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่างหาก
ชาติทั้งหลายเล่านั้นจะยอมยกดินแดนบางส่วนให้เพื่อมนุษยชาติและพระเจ้า สิ่งนี้จะช่วยรักษาเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเขาไว้ได้
เห็นไหมล่ะ? ทุกคนก็แฮปปี้ด้วยกันทั้งนั้น โบสถ์แฮปปี้ที่ได้เงินมากมาย
ชาติต่างๆและอัศวินก็ได้ระดมเงินสนับสนุน
และที่สำคัญที่สุด อาร์มสเทลนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกระดับสูงของทุกชาติ พวกเขาจะได้รับความสัมพันธ์ทางการทูตที่แข็งแกร่ง
เอาล่ะ มันอาจจะใช้เงินเยอะไปบ้างเพื่อให้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จ……แต่หากเทียบกับการรบนับสิบปีเพื่อสิ่งที่เรียกว่า อิสรภาพและเอกราชนั้น โดยอาจจะใช้เงินเท่าๆกันด้วยซ้ำแต่กลับมีประสิทธิภาพน้อยกว่า
พอทำสำเร็จสักครั้งหนึ่งก็จะง่ายขึ้นเหมือนกลิ้งหิมะลงเขา กองทัพพันธมิตรนั้นก็จะระดมกำลังกันอีกหลายต่อหลายครั้ง
ทีนี้คุณก็สามารถที่จะปลดปล่อยสักเมืองหรือสองเมืองด้วยข้ออ้างที่ว่า จะต้องระทมทุนเพื่อใช้ในสงคราม ไม่นานนักหรอก ก็จะได้มาครบทั้ง 13 เมือง
ประเทศสาธารณรัฐของไพมอนจะถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะสาธารณรัฐที่ดีงามสูงสุดที่สุดในโลก ผู้ปกป้องเหล่ามนุษยชาติและข้ารับใช้ผู้สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า―สาธารณรัฐอันยิ่งใหญ่บัตตาเวีย
ให้พวกมันสู้กันไป เพื่อความยิ่งใหญ่แห่งชาติบัตตาเวีย!
ซื้อทุกอย่างด้วยเงินกันเถอะ!
“ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้……ช่างเป็นแผนการที่สุดยอด ไม่สิ หาหยุดแค่ตรงนี้จะเป็นปัญหา ข้าจะโปรยหว่านเมล็ดแห่งความริษยาและไม่พอใจทั่วทั้งทวีป
ความอิจฉาของชนชั้นสูงและสามัญชนออกจะน่าประทับใจดี ไม่ใช่หรือไง?
พวกเราเหล่าผู้ซื้อใบไถ่บาปและทำการเสียสละเพื่อปกป้องมนุษยชาติ
แล้วอย่างนั้นทำไมบัตตาเวียจึงเป็นชาติเดียวที่ได้รับอิสรภาพ?
ทำไมจึงมีแต่ประชาชนพลเมืองชาวบัตตาเวียนเท่านั้นที่ได้รับความสุขภาพการเป็นอิสรชน?
……วิเศษ นี่มันมันช่างงดงามอย่างแท้จริง”
ความเป็นหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติก็จะแตกหักจากภายในทุกครั้งที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราบุกเข้ามา ผมแน่ใจอย่างนั้น
“ไม่มีอะไรดีไปกว่าการผสมผสานกันระหว่างความอิจฉาและริษยาตาร้อนที่ทำให้ประเทศสาธารณรัฐนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทีนี้ท่านก็สามารถเอาชนะประเทศพวกนั้นด้วยการทำให้พวกเขาเริ่มก่อปฏิวัติกันในชาติตัวเอง
ความโกลาหลจะพัดผ่านไปทั่วทั้งทวีป
พวกราชอาณาจักรของมนุษย์โลกก็ไม่มีที่จะมองข้ามการปฏิวัติพวกนั้นได้
…….ชนชั้นสูงก็จะเริ่มแยกฝั่ง ส่วนสามัญชนก็จะลุกฮือขึ้นมา
อ่า แม้ตอนนี้กองทัพพันธมิตรจะไม่สามารถโจมตีได้ แต่สุดท้ายท่านก็ได้เริ่มสร้างความขัดแย้งภายในแล้ว ด้วยการทำให้ศัตรูพวกนั้นจมดิ่งอยู่ในปัญหา
…….”
“ดันทาเลี่ยน”
มือคู่เย็นแตะแก้มผมเบาๆ
“หาาา?”
ผมกลับฟื้นคืนสติขึ้นมา ไพมอนจับแก้มผมด้วยมือของเธอ ตาของเราสบกัน ดวงตาของเธอมันแปลกๆ
“ท่านรู้ไหมว่า? สมัยที่บาร์บาทอสกับเลดี้ผู้นี้ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ท่านก็คงทราบดีว่า บาร์บาทอสนั้นเป็นเลสเบี้ยน เลดี้ผู้นี้ก็เหมือนกันกับเธอ พวกเราจึงมีความสุขกับกันและกันเป็นบางครั้ง”
ผมถึงกับตะลึง! บาร์บาทอสกับไพมอนนั้นเคยเป็นคู่รักกันในอดีต!
นี่มันทำเอาผมช็อคเกือบ 26 เท่า เมื่อเทียบกับตอนที่ผมรู้ว่า ไพมอนเป็นพวกนิยมสาธารณรัฐเสียอีก
“ยะ-อย่างนั้นเองรึ? จะให้ข้าพูดยังไงดีล่ะ? มันออกจะ อืม ออกจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก”
“ยิ่งกว่าคนรัก ยิ่งกว่าเพื่อน พวกเราตอบสนองกันและกัน เรามอบความปรารถนาผ่านการสัมผัสเนื้อหนัง ในช่วงเวลานั้น เราหยอกล้อกันหลายครั้ง
ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน จนแทบจะเป็นเรื่องตลกที่จะได้รู้ว่าพวกเรานั้นตกหลุมรักผู้ชาย ชายคนนั้นจะเป็นบุคคลแบบไหนกันนะ?”
(TTL : ชายผู้เลวกว่าหมาและไม่ได้มาจากดาวอังคาร (ฮา) )
ไพมอนยิ้มออกมา
ห้ะ?
ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกับเดจาวู……?
“ตอนที่ข้าได้ยินว่า บาร์บาทอสมีคู่รักเป็นผู้ชาย ข้าคิดว่า อาจจะมีอะไรที่เป็นรสนิยมจำเพาะสำหรับบาร์บาทอส
ฟุฟุ แต่ใครจะไปคิดว่า แม้แต่รสนิยมของพวกเราก็ตรงกันด้วย
เอาจริงนะ ข้าชักสงสัยเหลือเกินว่า เลดี้ผู้นี้กับบาร์บาทอสมีความสัมพันธ์แบบใดต่อกันในภพชาติก่อน มันคงไม่มีโชคชะตาใดแปลกประหลาดเท่านี้อีกแล้ว”
“อะไรนะ?”
“ได้โปรดหลับตาลง”
ผมยังไม่ทันจะได้หลับตาลงด้วยซ้ำ
ไพมอนเขย่งเท้าขึ้นและจูบผม ผมไม่ได้ขัดขืน การขยับเคลื่อนของเธอชัดเจนว่านี่มิใช่ครั้งแรก ความเคลื่อนไหวของเธอนั้นเป็นธรรมชาติอย่างมาก
ผมแอบช็อคตอนที่ผมมองหน้าเธอแล้วพบว่า ดวงตาของเธอปิดอยู่
ทำไมพวกจอมมารผู้หญิงนี่ไม่เคยคิดถึงความสมัครใจของผมบ้างเลยนะ?
ทั้งคู่ต่างเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นศัตรูแต่ถึงอย่างนั้นก็ดันทำอะไรเหมือนๆกันอีก!
อย่าบอกผมนะว่าจริงๆแล้วแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันน่ะ
อย่างน้อยที่สุดไพมอนก็ไม่สอดลิ้นเข้ามา ดูเหมือนเธอจะพอใจแค่กับการสัมผัสกันของริมฝีปาก เธอออกจะเป็นสุภาพสตรีเมื่อเทียบกับบาร์บาทอส ผมเดาว่า มันคงเป็นการปลอบใจตัวเองอย่างหนึ่งนั่นแหละ…….
ไม่สิ ไม่ๆ ไพมอนเป็นราชินีซัคคิวบัส เธออาจจะทำอะไรบางอย่างเหมือนที่บาร์บาทอสทำ เช่นเดียวกับใช้เวทย์กระตุ้นราคะ
บ้าเอ๊ย ไว้หน้าผมหน่อยเหอะ……. ผมไม่อาจต่อต้านขัดขืนได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม…….