Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 103 ราชา และ นายพลของเขา(16)
มันเป็นดั่งบทสวดวิญญาณที่ไร้คำร้อง
แผ่นดินสะเทือนทุกครั้งที่บาร์บาทอสเหยียบลงหญ้าเบาๆ มอนสเตอร์ 5,000 ตัว ก้าวเท้าเป็นจังหวะเดียวกันกับนายของพวกมันโดยสมบูรณ์
แม้จะไม่สามารถตะโกนเสียงดังออกมาเพราะพวกมันกำลังลอบจู่โจมโดยฉับพลัน แต่พวกมันก็ตัดสินใจว่าจะคว้าชัยไปพร้อมกับการย่ำเท้าจังหวะเดียวกันกับเธอ
บาร์บาทอสยิ้ม
“เด็กๆผู้น่ารักของข้า”
แต่เดิมเธอมิใช่เนโครแมนเซอร์
เธอเป็นนักรบ เธอใช้อาวุธตนนำพาเข้าสู่สงคราม เธอนั้นแข็งแกร่ง เธอรอดชีวิตทุกครั้งแม้สหายศึกและผู้ใต้บังคับบัญชาจะตายอยู่รอบตัวเธอ
ไม่นานนัก เหล่าสหายผู้สาบานว่าจะสู้ไปพร้อมกันกับเธอตลอดกาลก็ได้ล้มตายลงจนหมด เหลือเธอยืนอยู่เพียงลำพัง
จุดนั้นเองที่ทำให้บาร์บาทอสยึดติดอย่างมากกับการนำสหายศึกของเธอกลับมา
เธอได้ปฏิสัมพันธ์กับเวทย์มนตร์เป็นครั้งแรกในชีวิต เธอนั้นไร้พรสวรรค์ เธอจึงได้รับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่านอกจากนี้การเป็นเนโครแมนเซอร์นั้นมีรูปแบบเวทย์มนตร์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมากและยังหาได้ยากยิ่งทั้งในโลกปีศาจและโลกมนุษย์
แต่ถึงกระนั้น บาร์บาทอสก็ไม่เคยยอมแพ้ เธอไม่เคยยอมแพ้เพราะเธอเชื่อว่า มันคุ้มค่าพอหากสหายศึกของเธอจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง
พวกเขานั้นทั้งเจิดจ้า ทรงพลัง และงดงามเกินกว่าจะปล่อยให้ตายไปด้วยเหตุผลน่าสงสารอย่างนั้น
―เฉกเช่นเดียวกับการโดนลูกหลงธนูในสนามรบ การสละตัวเองเพื่อเหล่าสหาย แล้วก็ตายจากไปด้วยคำสั่งที่โง่เขลา
เมื่อเป็นดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะทำให้พวกเขาหายใจไปตลอดด้วยมือของเธอ
บาร์บาทอสโยนดาบทิ้งเพื่อพวกเขา โดยไร้ซึ่งความลังเล เธอสนิทกับสหายมากพอที่ยินดีจะอยู่กับเธอไปตลอดกาลแทนที่จะเลือกอาวุธที่คอยสนับสนุนเธอมาตลอดชีวิต
แล้วก็ฟื้นขึ้นมาทีละคน ทีละคน เธอได้ชุบชีวิตทหารให้กลายเป็นมอนสเตอร์ไม่มีวันตาย
แม้แต่ซอมบี้ที่อ่อนแอที่สุดที่เดินผ่านหมอกของออสเตอร์ลิทซ์ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของเธอ
ไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดที่จะไม่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอในสมรภูมิอันทรงเกียรติเช่นนี้
นานแค่ไหนแล้วที่พวกมันเดินผ่านทะเลหมอก?
สายลมเย็นเยือกพัดผ่านทำให้หมอกจางลง พระอาทิตย์กำลังขึ้น
ณ ตอนนั้นเองที่ มกุฏราชกุมาร รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก,มาร์คกราฟฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์ก และหัวหน้าทหารรับจ้างเฟอร์ดินาน วอลเลนสไตน์ได้รับรายงานจนบนยอดเขา ทหารรายงานวิ่งเกือบหมดลมเพื่อมาที่เต๊นท์ เขาลืมแสดงความเคารพ
“ฝะ-ฝ่าบาทท!”
“โอหังนัก วินัยกองทัพของเราหละหลวมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทหารประสานงานรีบยกแขนขวาขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ เขาวิ่งมาไกลจนอกกะเพื่อม ทหารรายงานนั้นพูดก่อนที่จะหมดลม
“ศัตรู……กองกำลังของศัตรูมาอยู่ที่แนวหน้าของพวกเราแล้ว!”
“กองกำลังศัตรูโผล่มาแล้ว?”
มกุฏราชกุมารขมวดคิ้ว เขาโมโหและสงสัยว่า ใครกันที่เลื่อนตำแหน่งให้เจ้าโง่นี่ขึ้นเป็นทหารประสานงาน
“ตั้งสติให้ดี! เจ้าต้องรายงานมาว่า พวกมันมาจากไหนและมีจำนวนเท่าไหร่!”
“ข้างนอก……อยู่ข้างนอก……เร็วเข้า!”
มกุฏราชกุมารเดาะลิ้น ชายตรงหน้าเขาไม่สามารถพูดปกติไหว
มกุฏราชกุมารจึงจัดแต่งผ้าคลุมก่อนจะออกไปจากเต๊นท์ มาร์คกราฟ โรเซนเบิร์กและหัวหน้าทหารรับจ้าง วอลเลนสไตน์ ตามหลังเขาไป พวกเขาไปยังสุดปลายเขาและมองลงไป
“นี่พวกเรามาดูอะไรกันที่นี่…….”
พวกเขานั้นถูกห้อมล้อมด้วยหมอกทั้งสี่ด้าน หมอกค่อยๆกระจายตัวออกบางๆ พอแสงแดดฉายลงสู่ออสเตอร์ลิทช์ได้
ฝีเท้าสีดำของมอนสเตอร์ก็ก้าวออกมาจากหมอก มันเป็นเท้าที่น่าสยดสยองที่เผยให้เห็นเนื้อ จากหนึ่ง กลายเป็นสองเท้า เพียงไม่นานก็เพิ่มจำนวนขึ้นจากร้อยเป็นพัน
ตั่บ เสียงพื้นดินไหว
นอกจากมอนสเตอร์มากมายออกมาจากหมอกแล้วยังมีตราสัญลักษณ์ปลิวลมไสว
มันเป็นตราประจำตัวที่บ่งบอกถึง จอมมารลำดับที่ 8 แสดงอยู่บนป้ายใหญ่สุดตรงหน้า มีข้อความบรรทัดหนึ่งเขียนด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณบนมงกุฏแห่งความตาย
วัลคิรี่ ยาตราทัพชั่วนิจนิรันดร์―
สิบเอ็ดป้ายอื่นก็โบกสะบัดอยู่ด้านหลัง มันไม่ใช่ป้ายของจอมมารตนอื่น ป้ายธงพวกนั้นเป็นกลุ่มต่างๆกันของเหล่าอัศวินหลวงที่ครั้งหนึ่งเคยมีตัวตนอยู่ในชาติของพวกมนุษย์
อัศวินม้าฟ้า(the Blue Horse Knights) , อัศวินอินทรีแดง(the Red Eagle Knights) , เทมพลาร์(the Templars) , อัศวินเมไจทองคำ(the Golden Magi Knights) , อัศวินเงินลิลี่(the Silver Lily Knights) , อัศวินเลือดและเหล็ก(the Blood and Iron Knights) , พันธมิตรอัศวินแห่งไรน์(the Rhine Alliance Knights) , พันธมิตรอัศวินอิสระ(the Freedom Alliance Knights) , อัศวินกวางเขียว(the Green Deer Knights) และ อัศวินสิงโตเฮลเวติก้า(the Helvetica Lion Knights)
ตราสัญลักษณ์พวกนั้นคือ กลุ่มอัศวินที่ล่มสลายไปแล้วที่เคยรับใช้ทั้งราชอาณาจักรและจักรวรรดิ―กำลังโบกไหวอยู่ในอากาศ
แผ่นป้ายพวกนั้นเป็นความภาคภูมิใจของกองทัพจอมมารลำดับ 8
พวกเขาจะยืนอยู่แนวหน้าเสมอในทุกการระดมกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราและไปเผชิญหน้ากับอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดของทุกประเทศชาติ
และเมื่อต่อสู้กับพวกอัศวิน พวกเขาก็ได้กำจัดไป 11 เหล่า และยึดป้ายธงมาไว้ พวกเขาจึงมีธงของจักรวรรดิที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อ 1,600 ปีก่อน
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า มันเป็นประวัติศาสตร์มากว่า 2,000 ปีที่ กองทัพจอมมารและกองทัพมนุษย์ได้โบกสะบัดธงกันในหมอก
ซอมบี้ตัวหนึ่งคำรามออกมา
กองทัพคงกระพันอมตะยืนหยัดอยู่ที่นี่
นักรบสเกเลตั้นตอบรับด้วยคลื่นมานา
เหล่าวาลคิรี่ผู้ยาตราทัพชั่วนิจนิรันดร์
อันเดดมอนสเตอร์เริ่มร้องเพลงสดุดีด้วยน้ำเสียงที่ต่ำเป็นอย่างมากราวกับเป็นไปป์ออร์แกน โทนเสียงนั้นแทงลึกลงไปในหัวกระโหลก พวกมันนั้นผ่านสงครามมาทั้งเล็กและใหญ่ร่วม 700 ศึก ทำให้ 11 ชาติล่มสลาย และกำลังมองหาชาติที่ 12
พวกเรามายืนอยู่ที่นี่โดยไม่มีทางตายเพราะพวกเราตายไปแล้ว พวกเราไม่รู้จักหนีเช่นเดียวกับที่พวกเราไม่รู้จักตาย
โอ้ พระเจ้าโปรดประทานพรของท่านให้แก่พวกเรา เพื่อให้วัลฮัลล่ามาอยู่ที่นี่―
“อะ-อะไรกันวะนั่น!?”
มกุฏราชกุมารถึงกับอ้าปากค้าง มอนสเตอร์เกือบ 5,000 ตัวกำลังปีนขึ้นเขาอย่างจริงจัง
ทีแรกมกุฏราชกุมารคิดว่า ตัวเองเห็นวัตถุอะไรสักอย่าง มอนสเตอร์ไม่น่าจะมาใกล้ได้ขนาดนี้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น สิ่งนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
สภาพหมอกลงจัดที่เนินออสเตอร์ลิทช์จะทำให้เป็นปัญหาในการมองเห็นที่ราบต่ำจากเขาเนื่องจากถูกห้อมล้อมด้วยหมอกหนา
ยิ่งไปกว่านั้น พวกอันเดดไม่ส่งเสียงเลยระหว่างที่ก้าวเข้ามาหา เมื่อประกอบปัจจัยทั้งหลายเข้าด้วยกัน
ทหารของจักรวรรดิจึงล้มเหลวที่จะแจ้งเตือนว่า กองทัพจอมมารเข้ามาใกล้ จนแทบจะอยู่ใต้จมูกพวกเขาแล้ว
มอนสเตอร์ยังคงรักษาความเคร่งขรึมราวกับอยู่ในงานศพ ความรู้สึกที่มีต่อความตายรั่วไหล่ออกจากศพ มาจนถึงยอดเขา
งานศพนี้มันเป็นของใครกัน? พวกมันกำลังจะจัดงานศพนี้ให้ใคร?
“ตอนนี้แหละ เหล่าสัปเหร่อที่รักของข้า”
บาร์บาทอสกางแขนออก
“พวกเรามาจัดงานศพให้จักรวรรดิฮับบวร์กกันดีกว่า”
มอนสเตอร์ร้องคำรามออกมาก่อนที่จะเร่งฝีเท้าใส่ พวกมันไม่อยู่เงียบอีกต่อไปแล้ว
การจู่โจมฉับพลันประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกกองทหารมนุษย์ได้แต่ตัวสั่นด้วยความกลัวในระยะห่างออกไปเพียง 600 เมตร
ไม่ใช่ทหารทั่วไปที่กำลังแพนิค ทั้งเจ้าหน้าที่ทหารระดับต่ำ ทหารร้อยโท นายพล แม้แต่มกุฏราชกุมาร ทั้งหมดต่างกำลังตื่นตระหนกจนคุมตัวเองไม่ได้
“―ผู้ไม่มีวันตาย บาร์บาทอส!”
มีเพียง มาร์คกราฟฟริทช์ ฟอน โรเซนเบิร์กเท่านั้นที่มีสติพอจะกัดฟันตะโกนขึ้น
เขาเข้าใจความมุ่งหมายของบาร์บาทอสในทันที หากพวกเขาหนีที่นี่ ก็จะเสี่ยงที่กองทัพจักรวรรดิทั้งหมดจะถูกแบ่งแยกและกำจัดทีละหน่วย
มาร์คกราฟหันหน้าไปหามกุฏราชกุมาร เขาส่ายหน้า มกุฏราชกุมารยืนอ้าปากค้างราวกับวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว
ไม่มีทางที่คนๆนี้จะสามารถบัญชาการทหารได้ หากอยู่ในสภาพเช่นนี้ มาร์คกราฟจึงก้าวขึ้นทำหน้าที่แทน
“ใช้รถยิงหิน ปรับแนวยิงและโจมตี! เร็วเข้า!”
“หะ-ห้ะ?”
เจ้าหน้าที่บัญชาการรอบตัวมาร์คกราฟได้แต่ตอบสนองด้วยความตะลึงงัน
มาร์คกราฟนั้นฝืนนิสัยปกติของตนแล้วใช้ความรุนแรง เขาเตะเสยปลายคางเจ้าหน้าที่คนนั้น เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงร้องออกมาตอนที่ล้มไปกอง
“เอาสติกลับมาได้แล้วแกน่ะ! ศัตรูมาอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราต้องจัดการมัน นี่แกมาเป็นทหารจักรวรรดิฮับบวร์กเพื่อสิ่งนี้ใช่หรือไม่!? ตอบข้ามา!”
“ชะ-ใช่ครับ!”
“หัวหน้าวอลเลนสไตน์!”
มาร์คกราฟเรียกหาหัวหน้าทหารรับจ้าง หัวหน้าทหารรับจ้างเฟอร์ดินาน วอลเลนสไตน์ ผู้จ้องมองหมอกสักพักด้วยแววตาเลื่อนลอยในที่สุดก็ดึงความรู้ตัวกลับคืนมาได้
“ครับ ท่านมาร์คกราฟ ท่านเรียกข้าใช่ไหมครับ?”
“ตอนนี้ ทหารรับจ้างของนายที่มีกว่า of 20,000 นาย เป็นทหารกองกำลังหลักเดียวที่มีอยู่ที่นี่ อย่าให้มอนสเตอร์พวกนั้นหลุดรอดผ่านกองทัพของนายมาได้ล่ะ เข้าใจไหม? จงรักษาตำแหน่งนั้นด้วยชีวิต”
หัวหน้าทหารรับจ้างวอลเลนสไตน์แสดงความเคารพ พวกเขาเป็นทหารรับจ้างของฮับบวร์กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จ้างมาเพื่อสถานการณ์เช่นนี้โดยหัวหน้าทหารรับจ้างทำตามมกุฏราชกุมารผู้จ้างวาน
เขาดีใจมากที่ได้รับคำสั่งจากมาร์คกราฟเนื่องจากรู้ความสามารถของมาร์คกราฟดี
“ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นถึง ความยิ่งใหญ่ของแล้นคีเน็ก(Landsknecht)เอง นายท่าน พวกเราคือ ความแย่งใหญ่แห่งทวีปนี้”
“นายต้องทนไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นเป็นสิ่งที่ตัดสินชัยชนะในการรบครั้งนี้!
หาก ทหาร 10,000 นาย ของพวกเราจะไปทำลายปีกขวากองทัพของศัตรูได้ก่อน จักรวรรดิก็จะได้รับชัยชนะ”
“รับทราบ”
หัวหน้าทหารรับจ้างได้แต่ตะลึง เขาไม่ได้รับคำสั่งให้ไปเป็นโล่เนื้อตายฟรี แต่เขาได้รับเป้าหมายทางกลยุทธที่เหมาะสม
หากพวกเขาสามารถตั้งรับ ณ จุดนี้ได้นานพอที่กองทัพจะทะลวงปีกขวาฝ่ายศัตรูได้ก็ชนะ
แต่หากแนวป้องกันกลับแตกพ่ายก่อนที่กองทัพจะทะลวงปีกขวาศัตรูก่อน พวกเราก็แพ้
การมีเป้าหมายนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเหล่าผู้บังคับบัญชาและเหล่าทหาร
“หากมันจำเป็น ทหารม้าของข้าจะสนับสนุนนายด้วย เข้าใจหรือไม่? พวกเรามีทหารสำรองเหลืออยู่ เน้นไปที่การตั้งรับเพียงอย่างเดียวพอ”
“ตามที่ท่านสั่งครับ!”
หัวหน้าทหารรับจ้างตอบรับอย่างแข็งขัน
มาร์คกราฟมิได้พูดแต่กับหัวหน้าทหารรับจ้างคนเดียว นายพลและผู้บัญชาการคนอื่นๆที่อยู่รอบๆก็ได้ยินการสนทนาของทั้งสองอย่างชัดเจนด้วย
มาร์คกราฟพูดกับพวกเขาด้วยเช่นกัน เขายืนยันกับทุกคนหนักแน่นว่า หากอดทนได้นานพอ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง พวกเขาสามารถชนะได้หากใช้ไพ่ให้ถูกใบ
เหล่าทหารบัญชาการแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กนั้นหายตัวสั่นจากความประหม่าทันที
พวกเขาถ่ายทอดคำสั่งและตะโกนคำพูดเดียวกันกับที่มาร์คกราฟมองพวกเขา ข้อความส่งไปจากทหารบัญชาการส่งไปยังทหารระดับปฏิบัติการ และไปยังทหารธรรมดา
“แม่งเอ้ย! พวกเราตายได้ครั้งเดียวน่า!”
“มาหาพวกเราเลยสิวะ ไอ้พวกถุงกระดูกเอ๊ย!”
เหล่าทหารรับจ้างกระชับหอกในมือและตะโกนสวน พวกเขาไม่ใช่ทหารรับจ้างทั่วไปที่จะหาที่ไหนในเมืองก็ได้
แต่พวกเขาเป็นนักสู้ระดับแนวหน้าที่ผ่านสมรภูมิมานับครั้งไม่ถ้วนใต้คำสั่งของ วอลเลนสไตน์ ความจงรักภักดีที่มีต่อประเทศเปลี่ยนกลายเป็นความจงรักภักดีต่อเจ้านาย ไม่สิ ยิ่งกว่านั้นอีก มันเปลี่ยนไปเป็นความจงรักภักดีต่อเงิน
หัวหน้าทหารรับจ้างนั้นประกาศไปว่า
‘หากพวกเราตั้งรับการโจมตีของศัตรูสำเร็จ ทหารทุกนายจะได้รับเงิน 100 โกลด์!’
แม้จะเป็นคำประกาศที่ไม่เป็นทางการ ไม่มีรายลักษณ์อักษรแต่มันได้ผล
ต่างจากทหารรับจ้างอื่น เฟอร์ดินาน วอลเลนสไตน์ไม่เคยบิดพริ้วเรื่องการจ่ายเงินให้กับคนของเขา
หากเขาสัญญาแล้วว่าจะให้เงิน 100 โกลด์ เขาก็ให้ 100 โกลด์ตามนั้นจริง
กำลังใจของเหล่าทหารรับจ้างจึงเพิ่มขึ้น 10 เท่า เมื่อเป็นดังนั้นพวกเขาก็เริ่มร้องเพลงปลุกใจ
“นายท่านครับ! เราต้องขออภัยด้วย พวกเราไม่สามารถใช้รถยิงหิน”
“เจ้าหามุมดีๆยิงไม่ได้รึ?”
มุมปากของมาร์คกราฟบิด ทหารของศัตรูอยู่ใกล้เกินไป ไม่สามารถยิงหินได้ในระยะเท่านี้ ไม่อย่างนั้นจะบดขยี้พวกเดียวกันพร้อมกับศัตรู
“เรายังสามารถหยุดพวกมันไว้ได้ เตรียมทหารม้าทัพหลวงไว้แนวหลัง”
“ครับ นายท่าน!”
ทหารประสานงานวิ่งว่อนไปรายงานสถานการณ์กับทุกหน่วย
นี่เป็นข่าวสำคัญที่ ทหารจักรวรรดิ 10,000นายมุ่งหน้าสู่ปีกขวาของทัพจอมมาร แม้ตอนนี้จะยังไปไม่ถึงก็ตาม แต่ตอนนี้ก็เข้าใกล้การปะทะ
หากเป็นไปตามที่มาร์คกราฟคาดไว้ ปีกขวาของทัพจอมมารจะมีทหารราว 20,000 นาย ทัพฝ่ายเราต้องเร่งแล้ว……. มาร์คกราฟได้แต่กำหมัดขณะที่จ้องมองสมรภูมิรบตรงหน้า