บทที่ 347 – ใจกลางจักรวรรดิ(7)
กามิกินทำพลาดครั้งใหญ่
หากเธอใช้สมองไตร่ตรองด้วยเหตุผลให้ดี เธอคงจะไม่เล็งเป้าไปที่ไพมอน
หากเธอยังรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ เธอคงไม่ทำร้ายเหล่าสาวใช้
ไพมอนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปกป้องพวกนั้นด้วยการเอาตัวเข้าขวางเส้นทางการโจมตี
แต่ถึงอย่างไรเสีย ไพมอนคิดถึงเรื่องดังกล่าวไว้ก่อนแล้ว การวิธีการที่เข้าไปใกล้ชิดกับดันทาเลี่ยนเพื่อยั่วโมโหกามิกิน เธอก็สามารถที่จะดึงความสนใจให้ออกห่างจากสาวใช้ได้
ปัญหาก็คือ แผนยั่วยุนั้นได้ผลดีเกินไปนิด
ไพมอนคิดไว้แล้วว่า อีกฝ่ายไม่น่าจะกล้าโจมตีเข้ามาด้วยเหตุที่เธออยู่ใกล้ชิดกับดันทาเลี่ยนมาก
เธอรู้อยู่แล้วว่า กามิกินรักดันทาเลี่ยน
เธอประมาทไปเพราะความคิดที่ว่า คงไม่มีผู้หญิงคนใดที่จะเสี่ยงใช้ความรุนแรงที่มีผลกระทบต่อคนรักของตัวเอง
“อ่าาา……!”
ยังไม่รู้แน่ใจว่า เสียงถอนใจนั้นเป็นของใคร
กามิกินนั่นเองผู้ถอนใจออกมาหลังจากที่ร่ายเวทย์เสร็จแทบจะในทันที
ไพมอนถึงกับตกใจที่กามิกินกล้าโจมตีเธอหรือแม้แต่ตัวดันทาเลี่ยนเองก็ตกใจไม่ต่างกัน ทั้งที่เขายังคงเป็นเกราะคุ้มกันให้ไพมอนที่มาเกาะแขน
ดาบสีดำสนิทพุ่งพรวดออกมาจากเงา ในทันทีที่เดธไน้ท์สัมผัสได้ว่า นายของตนตกอยู่ในอันตราย
ดาบมากมายต่างปัดป้องการโจมตีส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคมสายลมบางส่วนเล็ดลอดออกมา
เลือดบางส่วนไหลออกมาจากแขนของดันทาเลี่ยน
“ดันทาเลี่ยน! นายเป็นอะไรไหม !?”
ไพมอนร้องถาม ดันทาเลี่ยนครางออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มชั่วร้าย
“ข้าไม่เป็นไร ก็คงจะชินกับแบบนี้แล้วมั้ง? ดูเหมือนโชคร้ายจะตามเกาะข้าหนึบซะจริงๆ ”
“นี่นายพูดเล่นอะไรของนาย ……? เลือดนายไหลอยู่นี่ !”
“แบบนี้จะเรียกว่า บาดเจ็บยังไม่ได้เลย ”
ดันทาเลี่ยนถลกผ้าคลุมไหล่แล้วควักโพชั่นขวดหนึ่งออกมา
เขาเปิดจุกคอร์กไม้ด้วยฟันแล้วรินเทมันลงไปที่แขนซ้าย
ไพมอนเห็นเข้าก็รำคาญ
“ส่งมานี่ !”
ไพมอนแย่งขวดโพชั่น
เธอฉีกผ้าห่มที่ใช้ห่มคลุมร่าง และทำให้เปียกชุ่มด้วยโพชั่นขวดนั้น
เธอตั้งใจจะใช้เศษผ้าห่มนั้นแทนผ้าพันแผล
ไพมอนใช้ผ้าพันรอบแขนซ้ายของดันทาเลี่ยน
“ให้ตายเถอะ, นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ …….”
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ ? บาดเจ็บแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ”
“เงียบไปเถอะ !”
ไพมอนกับดันทาเลี่ยนต่อปากต่อคำ
“…….”
กามิกินยังคงนิ่งอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ร่างทั้งร่างของเธอแข็งทื่อชั่วขณะที่เธอเห็นเลือดทะลักออกมาจากแขนของดันทาเลี่ยน
หลังจากที่ไพมอนพันแผลให้เสร็จแล้วก็หันมาทำตาโหดใส่กามิกิน
“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร !?”
“ข้า……ไม่ได้ตั้งใจ…….”
“เจ้าไม่เพียงแต่ฆ่าข้าราชบริพาร แต่เจ้ายังทำร้ายดันทาเลี่ยนอีกด้วย !”
“เจ้าต้องเชื่อข้าสิ…… ข้าไม่ได้พยายามที่จะ …….”
ไพมอนเดินเข้าหากามิกินด้วยฝีเท้าก้าวเร็วๆก่อนจะตบเข้าอย่างจัง
“หากไม่มีเดธไน้ท์ช่วยไว้ ดันทาเลี่ยนคงตายไปแล้ว ”
“ตะ-แต่นั่นเป็นเวทย์ไร้ร่าย มันไม่ได้รุนแรง …….”
“เจ้าเกือบจะฆ่าเขาแล้ว !”
กามิกินถึงกับสตั้นท์ไป
“พอได้แล้วล่ะ ”
ดันทาเลี่ยนยเข้ามาจากด้านหลังแล้วแยกสองสาวออกจากกัน
ไพมอนอยู่ทางขวามือ ส่วนกามิกินอยู่ทางซ้ายมือ
กามิกินถึงกับตัวแข็งทื่อยามที่เห็นแขนข้างนั้นของดันทาเลี่ยนพันแผลปิดไว้
“……แต่ดันทาเลี่ยน ”
“ข้าบอกว่า พอได้แล้ว ”
ไพมอนหุบปากไม่พูดต่อ
“ต่อจากนี้ข้าจะจัดการเอง ”
* * *
เรื่องวุ่นวายที่ว่า นี้เกิดขึ้นหลังจากผมกลับมาจากการแก้ปัญหาที่เครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียแล้ว
หนึ่งวันหลังจากนั้นในทันทีก็เกิดเรื่องน่าขำเสียจนชวนให้ผมหัวเราะออกมา
ไพมอนมองผมอย่างไม่สบอารมณ์นัก
คิ้วโค้งงอของเธอแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนเธออยากจะลงโทษกามิกินด้วยมือตัวเอง
แต่โทษทีนะ ไม่ แปลว่า ไม่
“ไพมอน ช่วยไปดูแลสาวใช้ด้วย ”
“แต่ความผิดที่ว่า…….”
ผมส่ายหน้าด้วยความแน่วแน่
“จะไม่มีข้อกล่าวหาหรือความผิดใดอีก แบบนั้นมันเสื่อมเกียรติ ”
ไม่กี่เดือนหลังจากที่พวกเราเฉลิมฉลองลำดับใหม่
จะเกิดอะไรขึ้นหากมีข่าวลือซุบซิบในตอนที่ กามิกินพึ่งขึ้นเป็นดยุค ?
ทั่วทั้งจักรวรรดิมีหวังได้ขำก๊ากกันแน่
ไม่ใช่แค่นั้น ไพมอนผู้เป็นหัวหน้าจอมมารฝ่ายภูเขา ส่วนกามิกินเองก็เป็นหัวหน้าจอมมารฝ่ายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
หากทั้งสองเข้าฉะปะดะกันในรั้วในวัง ไม่มีทางที่จะเป็นคู่วิวาท หนึ่งต่อหนึ่งเป็นแน่
ทั้งสองมีแต่จะโถมทับอีกฝ่ายให้ย่อยยับพังทลายกันไปข้าง
“เกียรติยศชื่อเสียงของกามิกินนั้นหาใช่ของนางเพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว หากแต่ยังเป็นเกียรติยศของจักรวรรดิอีกด้วย ”
“เกียรติยศที่มีแต่เปลือกเช่นนั้น สู้ไม่มีเสียยังดีเสียกว่า”
ไพมอนปฏิเสธที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ขณะที่มองมาที่ผม
“การที่สามารถแก้ไขผิดให้เป็นถูกได้ เป็นพลังของชาติก็จริง แต่ต้องเป็นการแก้ไขที่เป็นไปเพื่อจักรวรรดิ มิใช่บั่นทอนทำลาย”
“แหมๆ ข้าบอกเธอไปแล้วมิใช่หรือ ?”
ผมแตะบ่าของไพมอนแผ่วเบา
“ข้าบอกแล้วว่า ข้าจะจัดการเรื่องนี้เองนะ อย่างห่วงเลย ”
“……เฮ่ออออ”
ไพมอนถอนใจเบาๆ เธอไม่ตอบอะไรกลับมาแล้วก็เดินไป เธอช่วยพวกสาวใช้ให้ลุกขึ้นยืนไหวแล้วออกไปพร้อมกันกับพวกนาง
ผมยิ้มส่งอย่างขมขื่น
ทั้งที่เป็นเช้าตรู่แบบนี้ ทำไมผมต้องมาเจออะไรวุ่นกันขนาดนี้วะเนี่ย ?
ผมไม่เคยประหลาดใจนักกับการที่มีเวทย์ยิงใส่ผม ผมเริ่มชินกับการปะทุอารมณ์ของกามิกินแล้ว
แทนที่จะประหลาดใจ มันกลับกลายเป็นความคิดประมาณว่า ‘อีแบบนี้อีกแล้วเหรอ?’ แวบเข้ามาในหัวเป็นความคิดแรกแทน
มันไม่ใช่เรื่องยากหรอกที่จะทำให้กามิกินตอนระเบิดอารมณ์เย็นลงได้ ผมก็แค่ยอมเจ็บตัวนิดหน่อยเท่านั้น
ผมจงใจสั่งให้เดธไน้ท์ปล่อยมีดสายลมบางส่วนลอดเข้ามาได้ เหตุการณ์เมื่อครั้งที่ผมแทงตัวเองด้วยมีดในห้องส่วนตัวนั้น คงเป็นทรอม่าสำหรับเธอ
ความสามารถในการคิดประมวลผลในหัวหยุดกึกทันทีที่เธอเห็นเลือดของผม
“…….”
แม้แต่ตอนนี้เอง กามิกินยังคงมองแขนซ้ายผมด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า
ให้ตายเถอะ ไพมอนที่ ดันไปเห็นอกเห็นใจผมแล้วทำเรื่องไม่เข้าท่าเสียได้
มันจะดีกว่าด้วยซ้ำหาก เผยแผลผมให้เห็นเด่นชัดไปเลย
เพื่อที่นั่นจะได้สร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กามิกินที่หนักหนากว่านี้
การปฐมพยาบาลของไพมอนนี่มันเกินจำเป็นชัดๆ
แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ เท่าไหร่ก็เท่านั้นนั่นแหละ ลองมาแสดงละครสักหน่อยก็แล้วกัน
“อั่กกก…….”
อยู่ๆผมก็จับแขนตัวเองแน่นราวกับอาการบาดเจ็บกำเริบหนักขึ้น ผมไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดให้สมจริงด้วยการทำตัวงอเล็กน้อย
กามิกินได้สติทันทีที่เห็นผมมีอาการแบบนั้น
“ดันทาเลี่ยน !”
จู่ๆกามิกินก็เข้ามาประคองผมไว้ ผมควรจะพูดยังไงดีล่ะ
มันตลกดีนะที่เธอตอบสนองตามที่ผมอยากให้เธอทำเป๊ะเลย
เธอพยายามขอโทษขอโพยเพื่อหวังให้ผมไม่โกรธเกลียดเธอ
“ขอโทษ…… มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ…….ข้าไม่ได้ตั้งใจ ……!”
“ข้ารู้ ”
ผมยิ้มรับ หากแต่มันเป็นยิ้มที่เจือด้วยความเจ็บปวด
“ไม่มีทางที่เธอจะตั้งใจทำร้ายข้าอยู่แล้ว ”
“ใช่ๆ มันเป็นเพราะนังกะหรี่นั่น นี่ถ้านังนั่นมันไม่หลบนะ …….”
“แต่ข้าผิดหวังเหลือเกิน ”
กามิกินหยุดพูดไปชั่วขณะ
“เอ้ะ?”
เธอนิ่งไปราวกับหุ่นกระบอกที่โดนตัดเชือก
รอยยิ้มบนริมฝีปากของผมหายวับ
“ข้ายืนอยู่ข้างๆไพมอน
ข้าคงจะโดนการโจมตีพวกนั้นแน่หากเธอเล็งพลาดไปอีกหน่อย
กามกิน , เธอน่ะตั้งใจร่ายเวทย์ออกมา โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยแม้ข้าจะอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตาม ”
“ขะข้า ตั้งใจเล็งไปที่นังไพมอนแบบแม่นยำแล้ว …….”
“แล้วเธอกล้ารับรองได้ไหมว่า มันจะไม่พลาดน่ะ?”
ผมมองด้วยสายตาที่เย็นชาไปยังดวงตาสีทองคู่นั้นของกามิกิน
ผมได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งจากการที่เราคบหากันมายาวนาน กามิกินแทบจะทนไม่ได้เลยกับสายตาที่เย็นชาของผม
ตอนนี้ข้างในใจเธอคงตื่นตระหนกจน ถ้าแสดงออกมาทางใบหน้าได้คงซีดเซียวเป็นกระดาษไปแล้วล่ะ
ตอนนี้เธอไม่มีทางที่จะคิดหาคำตอบดีๆมาตอบผมได้เหมือนปกติแล้ว ผมจึงใช้การที่เธอไม่พูดไม่ตอบอะไรกลับมาเป็นการยืนยันคำถามของผมแทน
“อย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ เธอเลือกที่จะทำแบบนั้นทั้งที่รู้ว่า มันอาจทำให้ข้าบาดเจ็บ…….”
กามิกินจับชายเสื้อของผมไว้
เหมือนเธอหมดเรี่ยวแรงหมดกำลังที่จะยืนด้วยขาตัวเอง เธอค่อยๆทรุดลงกับพื้น
“ไม่นะ…….ดันทาเลี่ยน, ได้โปรด เชื่อข้าเถอะนะ…….ข้าไม่ได้พยายามที่จะทำแบบนั้น…….”
“ข้ายอมแม้แต่จะทำร้ายตัวเองเพื่อให้เธอยกโทษให้ ”
กามิกินหน้าซีด
“แต่สุดท้ายแล้วยังไงกัน เธอก็ยังคงให้ความสำคัญกับความโกรธของตัวเองเหนือความอยู่ดีมีสุขของข้า
อารมณ์ของเธอมันสำคัญกว่าความปลอดของข้าสินะ
กามิกิน , บอกข้าได้ไหมว่า
เธอต้องทำให้ข้าเจ็บตัวสักกี่ครั้ง จึงจะพอใจเสียที?”
“ไม่นะ ไม่ใช่นะ เข้าใจผิดแล้ว ดันทาเลี่ยน ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น…….”
ผมพูดด้วยแววตาที่หม่นหมอง
“การปฏิเสธด้วยการพูดแต่คำว่า ‘ไม่’ เป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดที่เธอพูดได้แล้วอย่างนั้นหรือ ?
ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า สติปัญญาความหลักแหลมของเธอมันหายไปไหนหมดแล้ว”
“การที่ นายน่ะให้ความสำคัญกับนังไพมอนมากกว่าข้า มันทำให้ข้าทนไม่ไหว !”
กามิกินแทบจะตะโกนออกมา เธอพยายามหาข้อแก้ต่างที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
“นังสาวใช้พวกนั้นก็ยั่วโมโหข้า!
แล้วไพมอนมันก็เข้ามายุ่ง……
นังนั่นน่ะรู้ดีว่า นายกลับมาแล้วแต่ฉันไม่รู้ …….”
ในสถานการณ์ที่ชัดแจ้งอยู่แล้วว่า อีกฝ่ายเป็นคนผิด
มันง่ายดายมากที่จะไล่ต้อนต่อ
หลักๆคุณก็แค่ทำเป็นรับฟังข้อแก้ตัวของเขา ก่อนที่จะงัดความผิดที่อีกฝ่ายทำขึ้นมาพูด
แต่อย่างไรก็ดี คุณก็ไม่ควรชี้ในเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้
คุณต้องโยนประเด็นใหม่ๆต่อไปทีละ อันทีละอัน เหมือนกับทำคอมโบในเกมต่อสู้
การทำแบบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถคิดได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล และบี้อีกฝ่ายให้หาข้อแก้ตัวอื่นต่อ
ตัวอย่างก็เช่น
“กามิกิน , เธอรู้ได้อย่างไรว่า ข้ากลับมาแล้ว ?”
“เอ๋……?”
“เธอมีสายสืบอยู่ในวังด้วยหรือ ? เธอพยายามจะจับดูข้าทุกฝีก้าวเลยใช่ไหม ?”
สีหน้าของกามิกินบิดเบี้ยวไป
บิงโก
“
ตอบมาตามความจริงด้วย
นี่เธอได้วางสายสืบไว้คอยสะกดรอยตามข้าใช่ไหม ?
และนั่นก็เนื่องมาจากเธอไม่ไว้วางใจในตัวข้า ?
เธอคงคิดว่า ข้ากำลังปิดบังซุกซ่อนอะไรบางอย่างจากเธออยู่ใช่ไหม,
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเชื่อว่า ควรที่จะทำแบบนั้นสินะ ”
“ปะ-เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นนะ ดันทาเลี่ยน
ข้าแค่เตรียมการ ระวังไว้ก่อนน่ะ…….”
“การระวังไว้ก่อนนั่นหมายถึง เธอสงสัยในตัวข้า !”
ผมหลั่งน้ำตาพร้อมกับอารมณ์ที่ปะทุ
เอาเข้าจริง อารมณ์ที่มีอยู่ไม่มากพอจะทำให้น้ำตาไหลหรอก ถ้าพูดให้ชัดกว่านั้น อารมณ์ที่แสดงออกมาเนี่ย มันปลอมทั้งหมดนั่นแหละ
่ไม่ว่าจะร้องไห้จริงหรือร้องไห้ปลอม ความต่างมีเพียงอย่างเดียว คือ อารมณ์ภายในของผม หากคุณเข้าถึงทักษะการแสดงระดับเดียวกันกับผมแล้ว คุณจะสามารถร้องไห้ได้ภายในเวลาที่น้อยกว่า 5 วินาทีด้วยซ้ำ
“อาาา…….”
พอกามิกินเห็นน้ำตาของผมเข้า กระบวนการคิดของเธอก็นิ่งสนิท
น้ำตาลูกผู้ชายนั้นเป็นดั่งท่าไม้ตายที่ควรจะใช้ในยามจวนตัวคับขันจริงๆ
ผมไม่เคยร้องไห้ให้กามิกินเห็นมาก่อนเลย
พูดง่ายๆว่า นี่เป็นครั้งแรกที่กามิกินเห็นน้ำตาของผม
“เอ่อ, อ่า คือ…….”
“เธอกล้าสงสัยในตัวข้าได้อย่างไรกัน? กามิกิน ข้าทำอะไรผิดต่อเธออย่างนั้นหรือ ?
ข้าให้ทุกอย่างที่ข้ามีกับเธอแล้ว ……. ไม่ว่าจะ โมราเวีย ,ซิเลเซีย ……ยศ ระดับดยุค , และตำแหน่งที่สูงสุดที่สุด
ข้ายกทุกอย่างให้เธอแล้ว แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยัง เธอก็ยัง …….”
ด้วยการไล่รายชื่อ สิ่งต่างๆที่เคยทำให้กับคู่รัก จะเป็นการดีที่สุดที่ระบุยกมันขึ้นมาให้ชัดให้ละเอียด
แทนที่จะพูดว่า ดินแดน ผมก็ระบุไปเลยว่า โมราเวีย
แทนที่จะพูดว่า ฐานันดรชั้นสูง ผมก็ระบุไปเลยว่า ยศระดับดยุค
ยิ่งพูดคลุมเครือก็ยิ่งเจ็บปวดน้อยลง ดังนั้นในทางกลับกันยิ่งระบุชัดเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
นั่นคือหลักการล่ะ
อย่างไรก็ดี ก็ควรจะแยกให้ออกระหว่าง ของขวัญชิ้นเล็ก กับของขวัญชิ้นใหญ่ด้วยล่ะ
“แต่แค่รอข้าแค่เพียงวันเดียว เธอก็ยังรอไม่ได้ !”
“ไม่นะ, ดันทาเลี่ยน…… ได้โปรดเถอะ…….”
“ข้าอุทิศทุกอย่างของข้าให้กับเธอ แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ข้าได้รับกลับมาคืออะไร ความไม่เชื่อใจและการส่งสายสืบมาสอดแนม
นี่น่ะหรือคือความรักของเธอ!
ความรักที่ไม่ยอมรอแม้แค่วันเดียว ความรักที่สร้างแต่บาดแผล …….”
ผมคุกเข่าลง แล้วกดใบหน้าตัวเองให้แนบกับใบหน้ากามิกิน น้ำตาของผมไหลลงแก้มของเธอ
“กามิกิน ตอบข้ามาด้วยเถิด…….
ได้โปรดบอกข้ามาเถอะว่า เพราะอะไรข้าจึงควรเชื่อใจเธอ……
ข้าอยากจะไว้ใจเชื่อใจเธอนะ แต่มันเจ็บ …… มันเจ็บปวดเหลือเกิน ,กามิกิน …….”
และ นั่นแหละ
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ
ข้าขอโทษจริงๆ ,ดันทาเลี่ยน …….
มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษ …….”
กามิกินร้องไห้โฮออกมา
“ข้าขอโทษที่สงสัยเจ้า …… ข้ามันคิดอะไรตื้นๆ …….”
น้ำตาของเราต่างไหลชุ่มโชก
ตอนนี้กามิกินละทิ้งความเป็นเหตุเป็นผลทิ้งไปหมด แล้วเอาแต่ขอโทษขอโพยด้วยอารมณ์ที่ล้นทะลัก
เธอทำแบบนั้นเพราะเชื่อว่า ตัวเองมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นได้
เธอลืมไปแล้วจริงๆว่า ความรู้สึกปวดใจที่เธอรู้สึกอยู่นั้นมีที่มามาจากผม ผมคนนี้เองนี่แหละ ผมคนเดียวที่เป็นผู้หว่านเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความลังเลสงสัยไว้ในตัวเธอตั้งแต่แรก
กามิกินกลับเชื่ออย่างสนิทใจว่า มันเป็นความผิดของตัวเอง
แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ
กามิกินนั้นไร้ประสบการณ์ในเรื่องความรักอันหวานซึ้งเลย
เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า บาดแผลที่ผมสร้างไปก่อนหน้านั้นเป็นกลยุทธ หรือแม้แต่ของขวัญที่เธอได้รับไปก่อนหน้านั้นก็ใช่
เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ความรักนั้น เป็นสงคราม
“พูดจริงใช่ไหม? ข้าสามารถไว้ใจเธอได้จริงใช่ไหม ……?”
“ข้าขอสัญญา…… ได้โปรด …….”
ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษนะ,กามิกิน
รักครั้งแรกน่ะ มันย่อมเป็นอะไรที่แย่ อยู่แล้ว
แต่ระดับความแย่นั้นมันจะผันแปรไปตามบุคคลที่คุณตกหลุมรัก
หากเผลอใจให้กับคนโง่เขลาก็แย่อยู่
แต่มันจะเลวร้ายไปอีกหากตกหลุมรักคนไร้ความรับผิดชอบ
มนุษย์ทุกคนต่างมีทั้งความโง่เขลาและความไร้ความรับผิดชอบอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่รักแรก จะไม่เลวร้าย
“ถ้าอย่างนั้น……เธอช่วยฟังคำขอร้องเล็กๆน้อยๆของข้าได้ไหม ?
ถ้าเธอยอมทำตาม ข้าอาจจะพอเชื่อใจเธอได้บ้าง …….”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การที่คุณไปตกหลุมรักคนที่พร้อมจะหาประโยชน์จากคนรัก
ถ้าเป็นแบบนั้นคุณควรจะสาปแช่งสวรรค์แทนแล้วล่ะ
MANGA DISCUSSION