ตอนที่ 1 ฝันร้าย
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยรอยแยกมิตินับไม่ถ้วน และจากแต่ละรอยแยกนั้น อสูรร้ายจำนวนมหาศาลได้หลั่งไหลออกมา พวกมันได้เริ่มบุกรุกเข้าสู่ทุ่งราบอันกว้างใหญ่ ราวกับฉากจบของโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
อีกฟากหนึ่งของทุ่งราบ พันธมิตรจากหลากหลายเผ่าพันธุ์นับล้านชีวิต—มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ นางฟ้า ครึ่งสัตว์ และเผ่าพันธุ์ปริศนาอีกมากมาย—รวมพลังกันอย่างสุดกำลัง เพื่อหยุดยั้งการรุกคืบอันดุเดือดของฝูงอสูรร้ายที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เปลวไฟ ลม น้ำแข็ง และพลังอันเกินหยั่งรู้ ปะทุขึ้นระหว่างสองกองทัพมหึมา แรงสั่นสะเทือนแผ่ไกลราวกับพื้นพิภพกำลังโหยหวน ทิ้งไว้เพียงเถ้าธุลีแห่งความพินาศในเบื้องหลัง
ตอนนี้ ทั่วทั้งที่ราบเต็มไปด้วยซากศพที่ถูกบดขยี้ เศษเนื้อและชิ้นส่วนร่างกระจัดกระจายจนมิอาจยากแยกแยะเผ่าพันธุ์ได้ ไม่ว่ามนุษย์ เอลฟ์ อสูร หรือสิ่งมีชีวิตใด เมื่อร่างล้มลง ท้ายที่สุดก็ไม่ต่างจากกองเนื้อไร้ชื่อ เลือดที่หลั่งบนแผ่นดินนี้หลอมรวมกลายเป็นสายน้ำแห่งความตายไปเนิ่นนานแล้ว
กองทัพผู้พิทักษ์ที่ราบ เริ่มร่นถอยทีละก้าว ท่ามกลางคลื่นอสูรที่หลั่งไหลจากรอยแยกไม่รู้จบ ฆ่าหนึ่ง กลับมีสองปรากฏตามมาอย่างไร้สิ้นสุด ไม่มีแม้แต่ลมหายใจให้ตั้งตัว ความสิ้นหวังคืบคลานเข้ากัดกินหัวใจของทุกชีวิตที่ยังดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในแต่ละวินาที
ไม่มีฝ่ายใดแสดงความเมตตาต่อกัน ทุกวินาทีที่ผ่านไป ศพนับพันก็เพิ่มขึ้นบนผืนดินนี้เรื่อยๆ
ท่ามกลางกองซากศพอสูรที่ทับถมจนไร้ช่องว่าง ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว รัศมีร้อยเมตรรอบกายของเขากลายเป็นแดนมรณะ—อาบไปด้วยเลือดสดและเศษชิ้นเนื้อที่เกลื่อนกลาด ราวกับพื้นที่แห่งความตายได้หลอมรวมกับร่างเขาเป็นหนึ่งเดียว เสื้อผ้าและร่างกายของเขาโชกชุ่มไปด้วยเลือดของศัตรูที่กรูกันเข้ามาไม่ขาดสาย และเศษเนื้อที่ยังเกาะติดอยู่ก็เป็นหลักฐานถึงความน่าสะพรึงของการสังหารที่เพิ่งผ่านพ้นมา
เขาดูราวกับชายหนุ่มวัยยี่สิบกลางๆ สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ผิวขาวซีด ดวงตาสีน้ำตาลแดงราวกับอำพันที่เปล่งประกายในเงามรณะ เส้นผมสีดำแซมเขียวเข้มยุ่งเหยิง เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสดและเศษซากของศัตรู
เขาค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้น มองทอดออกไปยังเบื้องหน้า สิ่งที่เห็นมีเพียงคลื่นอสูรนับไม่ถ้วน ที่ยังคงพุ่งเข้าหากองทัพอย่างไร้จุดสิ้นสุด
เฮ้อ… ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“มากันไม่รู้จบเสียที…”
ในขณะนั้น สายฟ้าแลบเริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายของเขา ท้องฟ้ามืดครึ้มลงอย่างฉับพลัน เมฆดำมืดรวมตัวกันเหนือศีรษะ ก่อนที่เสาสายฟ้าขนาดมหึมาราวกับหอกสวรรค์จะฟาดลงจากฟากฟ้า แสงเจิดจ้าของมันสาดส่องลงบนมหาสมุทรแห่งอสูรเบื้องล่าง
เสานั้นกระแทกพื้นด้วยเสียงคำรามสะท้านฟ้า ระเบิดออกเป็นคลื่นพลังทำลายล้างที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งทุ่งราบ คร่าชีวิตอสูรนับพันในพริบตา
เมื่อเหล่ากองทัพจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ได้เห็นเสาสายฟ้าฟาดลงจากฟากฟ้า เสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมก็ดังสนั่นขึ้นทั่วแนวรบ พวกเขาโถมตัวเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้งอย่างไม่ลังเล ราวกับพร้อมจะแลกชีวิตเพื่อชัยชนะในศึกสุดท้าย
ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นใกล้ชายหนุ่ม ร่างของเธอเปล่งประกายแสงจากสายฟ้าที่ไหลเวียนทั่วร่าง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอทิ้งไว้เพียงประกายระยิบระยับ สะกดสายตาของทุกคนที่ได้เห็น
แต่ในสายตาของชายหนุ่ม ใบหน้าของเธอกลับพร่ามัว เขาไม่อาจมองเห็นรายละเอียดใด ๆ ทั้งใบหน้าและรูปร่าง ราวกับม่านแห่งความมืดบางอย่างบดบังวิสัยทัศน์ของเขาไว้
“เธอไม่ควรเสียพลังคริสตัลเอสเซนส์มากมายกับอสูรชั้นต่ำแบบนี้หรอกนะ…” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
“เราต้องถ่วงเวลาไว้จนกว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ เคียร์แรน ถ้าสามารถถ่วงเวลาเพิ่มได้อีกสักวิ… การสูญเสียพลังเเค่นี้ไปก็จิ๊บๆ”
“เเต่…ที่เธอทำอยู่คือการฝืนตัวเองนะ! ถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดขึ้นมาล่ะ—”
“ก็เเค่ตายในศึกนี้เท่านั้นเองเเหละนะ…แต่ถ้ามันเป็นเเบบนั้นจริง…” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นคงจนไม่อาจโต้แย้ง
“เธอนี่มัน…จริงๆเลย”
ฝูงอสูรพุ่งเข้ามารอบตัวพวกเขาอีกครั้ง เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่เหลือจากพวกที่ถูกสายฟ้าสังหารไป เสียงคำรามของพวกมันดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะเข้าใกล้มากขึ้นทุกที
“ไสหัวไป!”
เขาตะโกนลั่นใส่ฝูงอสูรพร้อมสะบัดมือออกไป—ในชั่วพริบตา มือของเขากลายเป็นกรงเล็บยาวคมกริบ ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิม อากาศเบื้องหน้าระเบิดเป็นเส้นลมกรรโชกตัดผ่านผืนดินกลายเป็นรอยแผลลึก ทะลวงผ่านฝูงอสูรจนพวกมันระเบิดกลายเป็นเศษเลือดเนื้อเละเทะ
แต่ในขณะที่เขาหันกลับไปมองหญิงสาวอีกครั้ง เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องไปทั่วทั้งที่ราบ กลบเสียงอื่นๆ จนหมดสิ้น
รอยแยกมิติกลางอากาศเริ่มขยายตัวออก กรงเล็บยักษ์สองข้างโผล่ออกมาจากภายใน พยายามฉีกรอยแยกให้เปิดกว้างขึ้น เสียงแตกคล้ายกระจกแหลกเป็นชิ้นๆสะเทือนไปทั่วทั่งแผ่นดิน ก่อนที่หัวมังกรขนาดมหึมาจะโผล่ออกมา เกล็ดสีเงินแวววาวปกคลุมทั่วทั้งหัว ร่างของมันใหญ่โตเสียจนสามารถบดบังแสงอาทิตย์
เพียงแค่การปรากฏตัวของมัน ความมืดก็ขยายตัวไปทั่วฟากฟ้าปกคลุมทั่วทั้งกองทัพ ใบหน้าของเหล่าทหารซีดเผือดลงถ้วนหน้า ความสิ้นหวังค่อยๆ กัดกินจิตใจของทุกคนที่แหงนมองขึ้นไป
“มันมาแล้ว…เคียร์แรน นายต้องรีบหนีไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!”
เคียร์รานรับรู้ได้ถึงความกังวลในน้ำเสียงของหญิงสาว แม้เขาจะยังมองไม่เห็นใบหน้าของเธอเลยก็ตาม
“ไม่มีประโยชน์หรอก ตอนนี้มันกำลังข้ามรอยแยกมาแล้ว จะให้หนีไปคนเดียวงั้นหรอ ไม่มีทางซะหรอก ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวอย่างเด็ดขาด!”
ทันใดนั้น ความโกรธมหาศาลก็ปะทุขึ้นในร่างกายของเขา
“พวกเขาเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว นายจะต้องรีบไป ถ้านายไม่ไป ทุกความสูญเสียของผู้ที่ต่อสู้มาด้วยกันก็จะสูญเปล่า!”
เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นความโกรธก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ ในใจของเขา ขณะเฝ้ามองมังกรตัวนั้นค่อยๆ ออกมาจากรอยแยก
“เธอห้ามตายที่นี่อย่างเด็ดขาดนะ ฉันจะต้องกลับมาหาแน่นอน!”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ตายที่นี่หรอก”
โลกเปลี่ยนไปรอบตัวเขา ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกกรอเร็ว เขาตื่นขึ้นมาในห้องทดลอง ร่างกายนอนอยู่ในแท็งก์ที่เต็มไปด้วยของเหลวสีฟ้าอมเขียว มีสายเคเบิลต่อเข้ากับร่างกาย ท่อออกซิเจนอยู่ที่ปาก และเข็มนับสิบปักอยู่ที่ศีรษะ เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ข้างๆ
ทันใดนั้น เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น แผ่นดินสั่นสะเทือน ประตูห้องทดลองเปิดออก และหญิงสาวที่อยู่ในสนามรบกับเขาก็เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามาทาบฝ่ามือลงบนแท็งก์อย่างอ่อนแรงราวกับพยายามจะสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่ม เสื้อผ้าของเธอเปื้อนเลือด และเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย
“มันข้ามมาได้ก็จริงอยู่… แต่จะมาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว พวกเราทำสำเร็จแล้ว เคียร์แรน”
แม้ใบหน้าของเธอจะยังพร่ามัว แต่รอยยิ้มบางเบาก็ปรากฏขึ้น
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายต้องตามหาฉันให้เจอนะ”
เคียร์แรนที่อยู่ข้างในแท็งก์พยายามจะพูด แต่ก็ไม่อาจจะส่งเสียงเล็ดลอดออกมาได้ แม้ว่าเขาจะดิ้นรนเหมือนพยายามจะสื่ออะไรบางอย่างออกมา เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มพลางมองดูที่เขา
“ฉันรู้… ฉันเองก็เหมือนกัน…”
เธอยังไม่ทันพูดจบ กรงเล็บขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุกำแพงห้องทดลองเข้ามา แทงทะลุร่างของเธอต่อหน้าต่อตาเคียร์แรน ไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาจากร่างของเธออีกเลย เธอยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น โดยที่กรงเล็บยักษ์ยังคงปักทะลุร่างอยู่ เมื่อเคียร์แรนมองไปที่ใบหน้าของเธอกลับพบแต่รอยยิ้มที่อ่อนโยน
หลังคาห้องทดลองถูกฉีกออกด้วยกรงเล็บอีกข้างนึงพร้อมปรากฏดวงตาของมังกรยักษ์จ้องมองลงมา
“ในที่สุดข้าก็พบเจ้า”
เสียงทรงพลังดังก้องไปทั่วห้องทดลอง ความโศกเศร้า ความเสียใจ ความสิ้นหวัง ความเกลียดชัง ความโกรธ… ทุกความรู้สึกเหล่านี้หลั่งไหลเข้ามาในตัวเคียร์แรน ขณะจ้องมองร่างที่ไร้ซึ่งชีวิตของหญิงสาวตรงหน้า น้ำตาสีแดงก่ำหลั่งไหลออกมาเป็นสายจากดวงตาของเขา
มังกรจับจ้องมาที่เขาในแท็งก์
“เจ้า… เจ้าคืออะไรกันแน่…”
ทันใดนั้นแสงสว่างรุนแรงระเบิดขึ้น ขัดขวางคำพูดของมังกร แสงนั้นค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างจนโลกทั้งใบจางหายไป
เขาสะดุ้งตื่นขึ้นในห้องของตนเอง เหงื่อเย็นชุ่มทั่วทั้งร่างกายของเขา หัวใจเต้นแรงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาจากใบหน้า
“เฮ้อ…นี่มันก็หกเดือนแล้วตั้งแต่ฝันร้ายพวกนั้นเริ่มขึ้น… ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด คนในฝันที่น่าจะเป็นฉัน—ถึงจะหน้าตาเหมือนฉันก็จริง—แต่ทั้งร่างกายและพลังของเขากลับต่างไปโดยสิ้นเชิง แต่ถึงแม้ในฝันฉันจะมีพลังที่สามารถฆ่าอสูรคริสตัลได้นับพันแค่เพียงโบกมือทีเดียว ฉันก็ยังไม่สามารถทำอะไรเจ้ามังกรที่เหมือนจะเป็นตัวแทนแห่งสวรรค์ที่ปรากฏออกมาได้เลย สัตว์ประหลาดแบบนั้น… มีอยู่จริงบนโลกนี้หรือเปล่านะ?”
“แล้วไหนจะผู้หญิงคนนั้นอีก… หน้าของเธอพร่ามัว ทำให้ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดแม้แต่นิดเดียว แต่ทุกครั้งที่เห็นเธอในฝันร้าย หัวใจของฉันกลับไม่เคยสงบได้เลย และในทุกครั้งที่กรงเล็บของมังกรพุ่งมาแทงเธอ ก็จะรู้สึกเจ็บตรงหัวใจราวกับจะแตกสลาย”
เขาวางมือไว้บนหน้าอก ก่อนจะกำมือแน่น
“ฝันพวกนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…”
เขาเริ่มสงบลงทีละน้อย แต่ทันใดนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นเข้าสมองของเขาราวกับมีมีดนับพันเล่มปักแทงเข้าไป
“อ๊าก!”
เขากัดฟันกลั้นเสียงกรีดร้อง มือทั้งสองข้างกุมศีรษะไว้แน่น พยายามทนต่อความเจ็บปวดนั้น
ยี่สิบนาทีต่อมา ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ จางหายไปจนหมดสิ้น เคียร์แรนทรุดตัวนั่งก้มอยู่บนพื้นห้อง หายใจหอบแรง
“ฝันร้ายยังพอทนได้ แต่ไมเกรนที่โผล่มาไม่เลือกเวลาแบบนี้นี่พอเลย… ทำเอารู้สึกเหมือนสมองจะระเบิดทุกครั้งจริงๆ”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปมองปฏิทินโฮโลกราฟิกตรงมุมห้องเพื่อตรวจสอบวันที่
[11 มีนาคม ปีที่ 20,998 แห่งปฏิทินอีจิส]
“วันนี้สินะ…”
เขาไปอาบน้ำก่อนออกจากห้อง แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว แจ็คเก็ตสีดำ กางเกงขาสั้น และรองเท้าสีดำ เมื่อลงบันไดมา เขาก็ได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น
“หลังจากการเจรจาหลายปี สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างพันธมิตรอีจิสกับเผ่าเอลฟ์แห่งโลเนียก็ใกล้จะถูกลงนามแล้ว ข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนระหว่างสองเผ่าพันธุ์จะถูกนำมาใช้ภายในเดือนหน้า…”
ทีวีโฮโลกราฟิกแสดงอยู่ที่ช่องข่าว ขณะกลิ่นอาหารหอมลอยมา เขาเดินไปที่ห้องครัวก่อนจะพบหญิงคนหนึ่งกำลังเตรียมอาหารอยู่
หญิงคนนั้นอายุประมาณสามสิบกลางๆ รูปร่างเล็ก สูงแค่ประมาณ 155 เซนติเมตร ดวงตากลมโตสีมรกต และผมยาวสีน้ำตาลไหม้นุ่มลื่น ถักเป็นหางม้าต่ำคล้องไหล่ขวา
“อรุณสวัสดิ์ครับ แม่”
หญิงคนนี้คือ โซเฟีย อาร์วอสต์ แม่ของเคียร์ราน โซเฟียหันมามองลูกชายด้วยรอยยิ้มสดใส
“ในที่สุดลูกก็ตื่นแล้ว เคียร์แรน”
เขามองไปรอบๆ ก่อนหันกลับมาหาแม่
“ไรอันไปไหนแล้วครับ?”
“น้องไปที่สถาบันแล้วจ้ะ ลูกเองก็ควรรีบไปได้แล้ว เดี๋ยวจะสายเอา”
เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะรีบทานอาหารไปพลางฟังข่าวจากทีวี
“ยังเหลือเวลาอีกสองปีก่อนจะถึงการจัดอันดับใหม่ของรายชื่อ 100 จักรพรรดิหนุ่มแห่งอีจิส ผู้เข้าชิงคนใหม่อาจกำลังปรากฏตัวขึ้น ทายาทแห่งตระกูลนอร์ค็อกซ์ รอย นอร์ค็อกซ์ เพิ่งทะลุระดับไดมอนด์ไปสู่ขอบเขตเหนือมนุษย์ได้สำเร็จในวัยเพียง 25 ปี ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพันธมิตรอีจิส…”
เคียร์รานหันไปมองทีวีอีกครั้ง สายตามองไปยังภาพของชายหนุ่มในชุดเกราะสีทอง
“เหนือมนุษย์ในวัย 25…”
สีหน้าของเขาแสดงความตกใจชัดเจน แววตาเผยความอิจฉาออกมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่
‘อิจฉาไปก็เปล่าประโยชน์… พวกเราไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันเลย’
เขาหันไปหาแม่อีกครั้ง
“ผมไปก่อนนะครับ เจอกันตอนเย็นนะครับ แม่”
“ขอให้โชคดีในวันปลุกพลังนะ เคียร์ราน”
“หวังว่าจะโชคดีจริงๆ…” เขาพึมพำก่อนจะออกจากบ้านไป ด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น
Chapters
Comments
- ตอนที่ 4 เส้นทางในการวิวัฒนาการ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 3 การตื่นขึ้นของพลังทั้ง 2 พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 2 วันปลุกพลัง พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 1 ฝันร้าย พฤษภาคม 30, 2025
MANGA DISCUSSION