ตอนที่ 11 3.2
…
..
.
หลังจากที่ซากุระ ดื่มกาแฟจนหมด ก็ได้ออกจากร้านไป
ตอนนี้ในร้านเหลือแค่ผมกับทาจิบานะ ถึงอย่างนั้น..เวลาเองก็ใกล้จะถึงแล้วด้วยสิคงต้องไปแล้วแหละ
พอคิดเช่นนั้นได้ผมได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และกำลังจะออกจากร้าน
“ไปโรงเรียนให้สนุกละกันนะอายาโนะโคจิ”
ผมได้หันไปมองทาจิบานะที่อยู่ในครัวและกำลังล้างจานอยู่ เธอหันมายิ้มให้ “แล้วก็ชุดนักเรียนเซเรเข้ากับนายดีนะ”
…พร้อมชมเรื่องชุดของโรงเรียนเซเร ผมหันมามองชุดที่ตัวเองกำลังใส่ มันก็เป็นชุดนักเรียนปกตินั่นแหละไม่ได้ต่างอะไรหรอก
แต่เอาเป็นว่าได้คำชมก็คงต้องตอบรับไว้ละนะ
“งั้นหรอ ขอบคุณมากนะ”
“เอาเป็นว่าก็ แวะมาได้เสมอเลยนะ เมืองนี้และร้านนี้ต้อนรับมาเสมอนั่นแหละ” เธอพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
แต่ว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ผมนั้นหยุดและหันกลับไปมองอีกครั้ง มองหน้าของทาจิบานะที่ยิ้มแล้วโบกมืออยู่
…งั้นหรอ กลับมาได้อีกงั้นสินะ
“อ่า…แล้วจะกลับมาอีกนะ” พร้อมเปิดประตูและออกจากร้านไป
…
..
.
ตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่ในย่านการค้าทมปู ที่ดูมีชีวิตชีวาตามเคย ผู้คนในเมืองนี้ ใจดีกันจริงๆนะ
ผมเดินมาและโดนทักตลอดเลย เรื่องที่ช่วยเมื่อวาน
จนรู้สึกว่ามันมากเกินไปก็เถอะแต่ว่า..คนในเมืองนี้เนี่ยเป็นคนดีจริงๆนะ
แต่ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านั้น ผมกับต้องหยุดเดิน เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้วิ่งออกมาจากซอยพร้อมกับวิ่งหน้าตั้ง เหมือนกับพยายามหาอะไรบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย?”
ผมค่อยๆเดินไปอยู่ตรงหน้าซอยและเห็นเหตุการณ์ คนกำลังถูกรุมทำร้ายอยู่..
กลุ่มผู้ชาย 5 คนกำลังรุมกระทืบ..นิเรอิ อยู่
ผู้ชายที่ดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มถีบเข้าไปที่นิเรอิ จนล้มลงกับพื้น “ฉันกำลังคุยกับสาวอยู่เลยแท้ๆ” ชายคนนั้นได้เดินเข้าไปหานิเรอิที่อยู่บนพื้นแล้วมองลงมา “แล้วแกมายุ่งอะไรด้วยวะ”
“ก็ผู้หญิงเขาไม่ชอบยังไงกันครับ!!” ถึงแม้จะมีอาการกลัวอยู่บ้างแต่ก็ ไม่ยอมถอยและเถียงกลับไป
“อะไรล่ะนั่นกล่าวหากันนี่หว่า เอาแต่แพ่มว่าโบฟูรินอยู่ได้ จะคอยปกป้องเมือง แกต่างหากละมั้งที่ต้องเป็นฝ่ายถูกปกป้อง” ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะหมดความสนใจจากนิเรอิ เขาและเพื่อนๆได้เดินผ่านตัวของนิเรอิไป
แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้น นิเรอิ ดีดตัวขึ้นจากพื้นพร้อมกับพุ่งเข้าไปรั้งไม่ให้ผู้ชายคนนั้นไป
“เฮ้ยๆ ยังไม่เข้าใจอีกหรือยังไง อย่างแกน่ะเป็นฮีโร่ไม่ได้หรอก” พร้อมสะบัดตัวนิเรอิออกจากตัวจนทำให้นิเรอิล้มลงกลับพื้น “ฮ้าๆ กลับบ้านไปให้แม่โอ่ดีกว่ามั้ง”
ถ้าอยู่เฉยๆแล้วคนพวกนั้นก็คงไม่เอาเรื่องต่อ แล้วก็จากไปโดยไม่ทำอะไร แต่ว่า..นิเรอิกลับพุ่งไปกอดเอวของชายคนนั้น เพื่อไม่ให้หนีไปไหน
จนทำให้ชายคนนั้น“เออ..คือว่านะ..ฉันเริ่มชักจะมีน้ำโขงแล้วนะโว้ย..”โกรธเสียแล้ว
แต่ถึงจะเจอคำพูดแบบนั้นไปนิเรอิกลับไม่หวั่นไหว
“มันผู้ใดก็ตาม..ที่ทำร้ายผู้อื่น..ทำลายข้าวของหรือก้าวเข้ามาด้วยจิตมุ่งร้าย..โบฟูรินจะกำราบให้หมด..ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามครับ!!”
นั่นมันคำที่อยู่หน้าป้ายก่อนที่จะเข้าเมืองนี่นะ
“”ฮ้าๆๆๆ!!!!!”’’
เสียงหัวเราะดังสนั่นในซอย คงจะเยาะเย้ยกับคำพูดนั้น เรื่องของตัวเองยังไม่สามารถดูแลได้ด้วยซ้ำ ไปช่วยคนอื่นงั้นหรอคงเป็นไปไม่ได้ พวกนั้นก็คงคิดเรื่องแบบนั้นอยู่แน่
แต่ถึงจะเจอเสียงหัวเราะเยาะเย้ยแบบนั้นไปนิเรอิก็ไม่หวั่นไหวพร้อมกับเพิ่มแรงกอดมากขึ้น
หลังจากที่เจอการเพิ่มแรงกอดไปที ชายที่โดนกอดอยู่ดูจะทนไม่ไหว เริ่มเอามือทุบหลังของนิเรอิหลายต่อหลายครั้งเพื่อทำให้ปล่อย
ถึงจะโดนอย่างนั้น นิเรอิก็ไม่ยอมปล่อย ได้แต่ก้มหน้าและยอมทนโดนอยู่อย่างนั้น
อาจจะเป็นความเชื่อมั่นของตัวเอง ความหลงใหล ในกลุ่มโบฟูริน ความอยากช่วยของเขาเอง ก็เลยทำให้ยังคงยึดมั่นในหลักนั้น…เพื่อที่จะปกป้องคนอื่น ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่มีพลังก็ตาม
เป็นคน..ที่น่าสนใจจริงๆด้วยฮะ
ผู้ชายที่ถูกกอด ดูเหมือนทนไม่ไหว ยกมือทั้งสองข้างกำไว้ด้วยกัน เพราะนิเรอิกอดไม่ยอมปล่อย ก็เลยจะใช้กำลังมากกว่าเดิม
ถ้าปล่อยไปมากกว่านี้คงไม่ได้สินะ..
ผมได้เดินมาอย่างเงียบๆ ไม่ให้ทั้งกลุ่มสังเกตเห็น “ไม่รู้ว่าโปฟูรินหรือโบฟูริอะไร–” พร้อมกับจับไหล่ชายคนนั้น
ทั้งกลุ่มและชายคนนั้นใช้มามองผมด้วยความตกใจแม้กระทั่งนิเอริ ก็หันมามองผม จู่ๆก็ปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันนะ
ชายนั้นที่อยู่ในอาการที่ตกใจก็ได้หันมามอง ก่อนที่จะ…ตูบ!! …ตัวลอยตัวติดกับกำแพงไปเสียแล้ว
““เฮ้ย!เกิดอะไรขึ้น?””
ดูเหมือนว่าคนในกลุ่มที่เห็นเพื่อนตัวเอง ไปอยู่ตรงกำแพงก็ได้มามองผมด้วยความไม่เข้าใจ ผมไม่สนใจและหันไปมองนิเรอิ ที่ตกใจและล้มอยู่ตรงพื้น
ผมได้ย่อตัวลงไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา ว่าตรงไหนเจ็บสาหัสหรือเปล่า
..ดูเหมือนว่าจะไม่มีแฮะ
ดูเหมือนว่านิเรอิ จะตกใจเรื่องที่ผมมาช่วย แต่ว่า จู่ๆก็ลนลานพร้อมกับยกมือชี้ไปข้างหลัง “คือว่าศัตรูครับ ศัตรู..อยู่ข้างหลังครับ!!”
ศัตรูงั้นหรอ ก็ไม่แปลกหรอกนะก็เพื่อนของตัวเองถูกซัดติดกับกำแพงไปแล้วนี่นา อยากจะแก้แค้นให้เพื่อน มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไม่เป็นไรหรอก” จังหวะที่ผมพูด ก็ได้มีร่างหนึ่งกระโดดข้ามหัวผม พร้อมกับพุ่งไปถีบ ศัตรูที่ว่า
“เฮ้ย คราวหน้าช่วยดูข้างหลังบ้างสิฟะ!!! ถ้าฉันไม่มาเร็วกว่านี้ แกโดนไปแล้ว”
ซากุระดูจะไม่พอใจเรื่องที่ผมไม่ยอมดูข้างหลังตัวเอง มันก็ไม่ผิดหรอกเรื่องนั้นน่ะ แต่ว่านะ“ก็ฉันรู้ว่านายจะมาทันก็เลยไม่หลบนี่นะ”
“หา!!! ถ้าฉันไม่ได้มาจะทำยังไง”
หลังจากรู้ว่านิเรอิไม่เป็นอะไร ผมได้ลุกขึ้น หันไปหาซากุระ
“ไม่หรอกนายน่ะต้องมาแน่ๆ เพราะฉันรู้ว่านายคงไม่ปล่อยให้คนที่เดือดร้อนอยู่ต่อหน้าหรอก อีกอย่าง ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งไปขอความช่วยเหลือคนอื่นด้วยสีหน้าที่กลัวนี่นะ และคนที่อยู่ใกล้ฉันในตอนนั้นก็คือนายซากุระ ฉันก็เลยรู้ว่ายังไงนายก็จะต้องมาแน่ๆ”
เจอคำพูดของผมไปทีซากุระเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยใบหน้าค่อยๆแดงขึ้นอย่างนั้นก็หันไปทางศัตรูที่อยู่ข้างหลัง“อะ…เออ..เปล่าสักหน่อย!!”
ว่าว…ดูเหมือนว่าจะพยายามเก็บความอายอยู่สินะ
“ทำไมพวกคุณถึงมาช่วยผมกันละครับ”
นิเคอิที่ยังไม่เข้าใจกับสถานการณ์ได้ตะโกนถามออกไป แต่ว่าศัตรูที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่รีรอให้เราได้พูดคุยกันหรอก
“ทำบ้าอะไรของพวกแกวะไอ้เด็กสองสีนั้นก็ฟูรินนี่หว่า”
“อุตส่าห์มาช่วยพวกพ้อง แกคิดว่าสองคนกับพวกแกจะหยุดพวกเราได้หรือไงวะ!!”
ดูเหมือนคำพูดของผู้ชายกลุ่มนั้นทำให้ซากุระหันไปมอง
“พวกพ้องงั้นหรอ..ช่วยเหรอ…พวกพ้องเนี่ยนะ? เฮ้ยๆ…อย่าเข้าใจผิดสิไอ้งั่ง ฉันแค่เหม็นขี้หน้าพวกแกที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง ทั้งๆที่พวกแกมันอ่อนแอก็เท่านั้นแหละ” พูดเสร็จก็ได้ยกมือขึ้นมาแคะหู “เห็นแล้วอยากอ้วกว่ะ”
ทั้งคำพูดทางการกระทำ ทำให้ให้ฝั่งนั้นดูจะชนขาดเต็มที “ว่ายังไงนะไอ้เด็กเปรต!!!” และพุ่งเข้ามา
“2 คนน่ะไม่ไหวหรอกครับคนเยอะตั้งขนาดนั้นต้อง5คนเลยนะ”
ดูเหมือนว่านิเรอิ จะเป็นห่วงเรื่องจำนวน..แต่ว่า ตามที่ซากุระได้บอกเอาไว้
.
.
.
หลังจากจัดการกลุ่มผู้ชายพวกนั้นเสร็จ ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ ซากุระได้โยนร่างของชายคนหนึ่งออกไป
“อะไรวะกากชิบหาย”
และดูเหมือนว่าจะไม่พอใจกับฝีมือของกลุ่มนี้จริงๆ
ก็ไม่เถียงเรื่องนั้นหรอกเพราะว่า ฝีมืออ่อนจริงๆนั่นแหละ สมมุติว่าถ้ามีเด็กม. ต้น เรียนคาราเต้แค่พื้นฐานก็สามารถจัดการกลุ่มนี้ได้แบบสบายๆ
“นายจะพูดแบบนั้นไม่ได้…เพราะว่าจะเรียกว่ากากก็ไม่ได้หรอก เรียกว่าไม่มีฝีมือเลย…อ่อนแอสุดๆ”
“เออ…ฉันว่าการที่แกพูดแบบนั้นนี่มันหนักกว่าฉันอีกไม่ใช่เหรอ..เออ..ช่างหัวมันเถอะ”
หลังจากนั้นซากุระได้หันไปหรี่ตามองนิเรอิ จนทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย
แล้วจะไปขู่เขาทำไมล่ะนั่น?
นิเรอิที่ยังคง นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ก็ค่อยๆก้มหน้าลง
“ขอบพระคุณมากเลยครับ….คงจะรู้สึกผิดหวังสินะครับ ที่คนแบบนี้ อยากเป็นโบฟูริน จนเข้ามาที่ฟูริน”
“อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันไม่ได้มาช่วยนายสักหน่อย พวกท่าดีทีเหลวนะ มีอยู่ทุกที่ ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามาฟูรินด้วยเหตุผลอะไร..แต่หัดสำเนียกความสามารถตัวเองสักหน่อยสิ”
พูดได้ไม่เกรงใจเหมือนเดิมเลยนะ…สมแล้วจริงๆที่เป็นซากุระ
ถึงแม้ว่าความหมายที่กำลังจะสื่อคือ ‘ช่วยประเมินสถานการณ์ตัวเองและกำลังของตัวเองก่อนที่จะเข้าไปช่วย’ ..ก็เถอะนะ
แต่ว่านะก็หัดใช้คำพูดที่ดีกว่านี้หน่อยก็ได้…
การใช้คำพูดแบบนั้นมันเป็นเหมือนดาบสองคมที่อาจจะทำให้อีกฝั่ง เข้าใจในคำเตือนของเรา หรือไม่ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด ก็เท่านั้น
พอได้ยินสิ่งที่ซากุระพูดไป คงสะเทือนใจอยู่บ้าง ก็เลยตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง
“ผมน่ะ ตอนอยู่ ม.ต้น เคยถูกใช้เป็นเบ่ วันแล้ววันเล่าถูกอัดจนน่วม ไม่มีทางเลือกนอกเหนือจากต้องยอม..”
พอเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยโดนมาน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ความรู้สึกที่ไม่มีพลังทำอะไรไม่ได้ ก็คงจะเป็นแบบนั้น
“และคนที่เข้ามาช่วยผมในตอนนั้น ก็คือเด็กฟูรินครับ..คนที่ปกติแล้วจะถูกมองว่าน่ากลัวอย่างพวกเขากลับดูเท่มาก”
เพราะถูกช่วยเอาไว้ก็เลยคิดแบบนั้น ก็คงเห็นเป็นเหมือนกับฮีโร่ที่เข้ามาช่วยตัวเองและอยากเป็นให้ได้แบบพวกเขา
“ผมเองก็..อยากเป็นแบบนั้น..บ้างครับ..เพราะอยากแข็งแกร่งและ..เท่อย่างนั้นบ้าง..ก็เลยมาที่ฟูริน..ฮึฮึ…แต่มันโคตร..โคตรจะเหยเป็นบ้าเลย”
เพราะช่วยใครไม่ได้ เพราะตัวเองไม่มีพลังมากขนาดนั้น เพียงแค่รู้สึกเสียใจกับการที่ตัวเองไม่มีพลังสามารถช่วยใครได้ เป็นเพียงแค่ภาระ
เพราะคงรู้สึกเสียใจ จนทำให้ร้องไห้ ไม่หยุดหย่อน เสียงร้องไห้ดังมากขึ้นเรื่อยๆ
คำพูดของซากุระที่พูดเมื่อกี้ ถ้าเป็นสำหรับนิเรอิอาจจะ เป็นคำพูดที่ตอกย้ำและเจ็บปวดสำหรับเขาที่ไม่มีพลังที่สามารถทำอะไรได้
การที่พูดตรงไปตรงมามันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าการพูดตรงไปตรงมามันเอง ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝั่งรู้สึกดีเสมอไป
ถึงคนส่วนใหญ่จะบอกว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ผิด แต่บางครั้งการโกหกเองก็จะทำให้อีกฝั่งรู้สึกดี แต่ก็ควรใช้ในสถานการณ์บางสถานการณ์เท่านั้น
ผมไม่ได้จะสึกว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป แต่ว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่แยกเสมอไป
การใช้คำพูดมันก็ควรจะมีขอบเขตกันบ้าง สิ่งที่ซากุระพูดออกไป ตรงๆ ไม่เลือกใช้คำพูด
ผลที่ตามมา ก็เลยเป็นแบบนี้ ยิ่งเป็นคนที่ใช้คำพูดแบบนั้น ในอนาคตเองก็คง อาจจะสร้างศัตรูด้วยคำพูดแบบนั้นก็ได้
ผมหันไปทางซากุระ ที่มองนิเรอิกำลังร้องไห้อยู่ ซากุระแสดงสีหน้าออกมา เหมือนจะรู้สึกผิด การตัดสินใจของตัวเอง คงจะรู้สึกสงสารกับสิ่งที่นิเรอิเล่ามา
สำหรับซากุระแล้วการเลือกใช้คำพูดที่ดีมันคงจะอีกไกล แต่ก็คงต้องเรียนรู้ต่อไปนับจากนี้ เพราะงั้น
ผมไปยื่นมือไปจับไหล่ซากุระเบาๆเพื่อเรียกให้หันมาทางผม
“นายทำเขาร้องไห้น่ะ”
“หา?..หาาา…ไหงเป็นฉันได้ล่ะ!?”พอเจอคำพูดที่กำลังสื่อว่าตัวเองเป็นคนทำผิด เจ้าตัวก็ได้หันมามองผมด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้น..ก็ได้เหลือบมองไปทางนิเรอิ
คงคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดจริงๆสีน่าซากุระมันบอกแบบนั้น เขาค่อยๆเงยหน้ามองฟ้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง พอตัดสินใจได้ ก็ได้ก้มมองนิเรอิที่อยู่บนพื้น
“ถึงจะต่อยตีไม่เก่งแต่ก็อย่ามางอแงสิฟะ” ซากุระเว้นช่วงในการพูด ยกมือมาลูบหลังคอตัวเองเบาๆเหมือนกับพยายามแก้เขิน “ดูอ่อนแอเข้าไปใหญ่….แต่ก็เอาเถอะไม่เห็นจะเหยเลยนี่หว่า”
นิเรอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองซากุระ อย่างตกใจ
เอาเหอะ..สำหรับซากุระได้แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ
ผมตัดสินใจช่วยเสริมคำพูดของซากุระต่อ
“ใช่แล้วคนเราน่ะไม่จำเป็นจะต้องต่อยตีเก่ง ถึงจะช่วยคนได้นะ มันมีหลายวิธี เพราะยังไงซะคนเราก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกนะ ต้องมีเรื่องที่ตัวเองถนัดและสามารถช่วยคนอื่นได้ในเรื่องนั้น”
พอผมพูดเสร็จได้มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านพวกผมไปไปหานิเรอิที่อยู่บนพื้น
“คือว่าบาดเจ็บมากไหมคะ”
เธอคือผู้หญิงที่ไปขอความช่วยเหลือจากซากุระ เธอได้ย่อตัวไปดูอาการของนิเรอิด้วยความเป็นห่วง
“เออ..เออคือว่ามะ..ไม่เป็นไรเลยครับ”
“ขนาดที่ถูกคว้าแขนก็กังวลเหมือนกันว่าจะโดนอะไรไหมแต่ขณะที่คุณมาช่วยก็ช่วยได้ทันพอดี..ขอบคุณมากๆเลยค่ะ”
คำขอบคุณที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มา..จนทำให้นิเรอิร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้มีประโยชน์และช่วยคนได้
ขณะที่ซากุระมองไปที่นิเรอิ แต่ว่าทั้งผมและซากุระก็ถูกผู้หญิงขอบคุณเอาไว้
ซากุระหันหน้าหนีด้วยความเร็วสูงพร้อมกับหน้าแดง
ยังไงก็ตามผมกับซากุระก็ได้หันหลังและเดินออกจากพื้นที่นี้ “เออ..คุณซากุระ คุณอายาโนะโคจิ” แต่ก็ถูกนิเรอิคัดไปเสียก่อน
“อะไรอีกเล่า!!”
ก่อนที่ซากุระจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นนิเรอิ ได้รีบวิ่งมาหาพวกผม พร้อมกับคว้าสมุดออกจากเสื้อแจ็คเก็ตและกางออกทันที “คือว่า…”
“เออ..ส่วนสูงน้ำหนักกรุ๊ปเลือดสเปคที่ชอบความสามารถพิเศษและดิเรก” พร้อมกับถามคำถาม มากมายออกมารัวๆ….
ถ้าถามเร็วขนาดนั้นจะตอบอันไหนก่อนดีเนี่ย!!
แต่ก่อนที่พวกผมจะได้ตอบอะไร นิเรอิ ก็ได้พุ่งมาตรวจสอบทันที
“ของคุณซากุระส่วนสูงก็สูงกว่าผมนิดหน่อยน่าจะซัก 169 ส่วนของคุณอายาโนะโคจิ สูงกว่าคุณซากุระ น่าจะ 174-175 ได้”
นิเรอิตรวจสอบส่วนสูงของผมและซากุระและก็ถูกด้วยนะของผมน่ะ
แต่ว่าแบบนี้นี่มัน…ก่อนที่จะได้ขัดอะไร นิเรอิก็ก้มตัวจับบริเวณต้นขาของผม
“และต้นขาเองก็มีกล้ามเนื้อเยอะ น้ำหนักของคุณอายาโนะโคจิก็ 62 —แงะ”…โป๊ก!!
ซากุระโคกเข้าไปที่หัวของนิเรอิ จนทำให้ร้องเสียงหลงออกมา
“ยะแย๊กอย่าไม่จับอย่ามาวัดกันนะเว้ย!!”
ขอบคุณมากซากุระ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหยุดยังไง
“ขอโทษทีครับ พอดีผมชอบรวบรวมข้อมูลของคนอื่นที่คิดว่าใจดีและที่เอาไว้นะครับ”
แต่ว่าบางทีมันก็มากไปนะ เล่นซะทำตัวไม่ถูกเลยพอผมเหลือบมองไปทางซากุระ…ก็กำลังหน้าแดงอยู่
เป็นคนที่เขินง่ายหรือยังไงดีนะ คงเป็นลักษณะเฉพาะตัวละมั้ง
“จะ…จะทำอะไรก็เชิญ”
“ครับ!!..งั้นขอดูใกล้ๆหน่อยนะครับ”พอพูดเสร็จก็ได้วิ่งหยอกๆมาอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับซากุระ
แล้ว…ความคิดเห็นของผมล่ะ
ดูเหมือนจะไม่จำเป็นสินะ ทั้งนิเรอิ ที่ยิ้มอย่างออกรส ซากุระที่มองไปข้างหน้าโดยไม่สนใจ… เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ
ถึงแม้จะรู้สึกต้อยต่ำใจที่ถูกเมินก็เถอะ
“แต่ว่ารู้สึกเสียดายจังเลยนะครับ”
จู่ๆก็พูดโผล่ออกมาจนทำให้ผมและซากุระหันไปมอง ““เสียดายงั้นหรอ””
“ก็ เรื่องของคุณอายาโนะโคจิยังไงล่ะครับ เสียดายนะครับ ที่ไม่ได้อยู่ฟูรินด้วยกันน่ะ”
พอโดนนิเรอิพูดออกมาด้วยท่าทีรู้สึกเสียใจผมและซากุระต่างมองหน้ากัน และหันไปทางนิเรอิที่มองมาทางผม ด้วยสายตาที่จะสื่อว่า ‘คุณอายาโนะโคจิก็คงรู้สึกเสียดายเหมือนกันสินะครับ’
ถ้ามองกันด้วยสายตาแบบนั้น ผมก็ไม่กล้าปฏิเสธสิ … “อืม…นั้นสิ”
“งั้นหรอครับ คุณอายาโนะโคจิก็รู้สึกเสียดายเหมือนสิ”
นั่นก็เพราะว่านายทำสีหน้าเหมือนกับลูกหมาน่ะสิ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าถามว่าเสียดายจริงๆไหมผมก็เสียดายนิดๆนะ เพราะว่าก็เริ่มจะสนิทกับ 2 คนนี้แล้วด้วยสิ แต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้นั่นแหละนะ
ถึงจะมีความรู้สึกเสียดาย แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ โรงเรียนเซเร เป็นโรงเรียนที่ประธานซาคายานางิ เป็นคนแนะนำและช่วยให้ผมเข้าโรงเรียนได้
ถึงแม้ว่าเรื่องการสอบเข้าผมเองจะต้องเป็นคนจัดการกันเถอะ แต่เรื่องนั้นใครจะสน
เขาช่วยมากขนาดนี้ก็เป็นการขอบคุณมากแล้วล่ะน่า! ที่ทำให้ผมได้อยู่ ม.ปลายปี 1 ใหม่อีกครั้ง
..แต่ว่าถ้า ผมอยู่ฟูรินมันจะเป็นแบบไหนกันนะ…
ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น นิเรอิได้หันไปทางซากุระ เพื่อขอความคิดเห็น
“คุณซากุระเองก็คิดแบบเดียวกันใช่ไหมล่ะครับ”
เพราะคิดว่าซากุระคงจะเห็นด้วยสินะ…แต่ว่านะถ้าคิดว่าซากุระจะเห็นด้วยล่ะก็..
ไม่มีทาง ยังไงก็ไม่ อาจจะมีคิดอยู่ในหัวบ้าง แต่ก็คงไม่พูดออกมาตรงๆหรอก หมอนี่เป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจนี่นะ
ยังไงก็คงไม่มีทาง ก็คงจะพูดปัดๆอะไรสักอย่างหรือไม่ก็ บอกว่าไม่ ไปตรงๆ–
“เออ…เรื่องนั้น…ก็จริงนะ..”
….ฮะ?
“คุณซากุระเองก็คิดเหมือนกันสินะครับ ลองคิดดูสิครับ ถ้า 2 คนอยู่ด้วยกันล่ะก็ ต้องเป็นจุดสูงสุดได้แน่นอน~~”
“มันก็..คงงั้นมั้ง..นะ”
ฮะ??
ผมเผื่อหยุดเดิน จนทำให้ทั้งสองคนหันมามอง
“คุณอายาโนะโคจิ อะไรหรือเปล่าครับ–”
ผมไม่ตอบตอนนี้ในหัวของผมมีเพียงแค่
ผีตัวไหนมันเข้าสิงซากุระอยู่ป่าวเนี่ย!
เมื่อกี้ว่ายังไงนะ? ไม่มั้ง…เอไอ..เดี่ยวนะ!! อย่าบอกนะว่า… “นิเรอิ!!โทรหารถพยาบาลด่วนเลย”
“อะ..ครับ?..รถพยาบาล…อะไรนะครับ?..เออ..”
ผมสั่งให้นิเรอิโทรหารถพยาบาล ทั้งซากุระและนิเรอิอยู่ในอาการมึนงง ถึงอย่างนั้นนิเรอิ ก็ได้พยายามหาโทรศัพท์ในเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองอย่างไว
ถึงแม้ว่านิเรอิจะมีคำถามอยู่ในหัวมากมายก็ตามแต่ก็ยอมทำตามอยู่ดี ยกขึ้นมาแล้วกำลังพิมพ์เบอร์
ซากุระเองไปด้วยได้หันมามองผม “เดี๋ยวนะแล้วจะโทรหารถพยาบาลไปทำไม?”
“เอ๊ะ!! เออ..จริงด้วยนะครับ”นิเรอิหยุดมือก่อนที่จะกดโทร พรางมามองผม “ถ้าให้เรียกรถพยาบาลมาเพราะกลุ่มเมื่อกี้ ผมว่าปล่อยไปสักแป๊บก็คงจะตื่นเองนั้นละครับ…แล้วโทรให้ใครอะ?”
“ก็ให้ซากุระไง”
““ฮะ?””
ใช่แล้ว ผมให้เรียกรถพยาบาลมาก็เพราะซากุระอาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ได้ …แบบเป็นหนักเกินจนสมองเพี้ยนไปอะไรประมาณนั้นน่ะ
ทำไมผมถึงคิดแบบนั้นงั้นหรอ
ก็ดูสิ! ปกติ ปากไม่ค่อยตรงกับใจ ปากหมาตลอด แต่ดูตอนนี้กลับยอมรับซะงั้น…มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ!!!
“หา!!!!แล้วจะโทรให้ฉันเพื่ออะไรฟะ!!!”
“นายอาจจะเป็นหวัดก็ได้นะ..ดูสิปกติออกจะ..”
ก่อนที่ผมจะได้พูดจบ ซากุระได้ยื่นมือมาจับคอเสื้อของผม “ฉันไม่ได้เป็นหวัดสักหน่อยโว้ย!! นี่แกกำลังหาเรื่องกันอยู่รึไงฟะ?!!”
“คุณซากุระ!!…จะ..ใจเย็นกันก่อนครับ.. คุณซากุระ!!”
…
..
.
(ยังไม่ได้แก้คำผิด)
Chapters
Comments
- ตอนที่ 15 4.2 19 ชั่วโมง ago
- ตอนที่ 14 4.1 19 ชั่วโมง ago
- ตอนที่ 13 เหตุการณ์ก่อนปฐมนิเทศ 19 ชั่วโมง ago
- ตอนที่ 12 3.3 2 วัน ago
- ตอนที่ 11 3.2 2 วัน ago
- ตอนที่ 10 3.1 2 วัน ago
- ตอนที่ 9 ใครๆก็เป็นได้ฮีโร่นะ 2 วัน ago
- ตอนที่ 8 2.3 2 วัน ago
- ตอนที่ 7 2.2 2 วัน ago
- ตอนที่ 6 2.1 กรกฎาคม 4, 2025
- ตอนที่ 5 เด็กหนุ่มที่คิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว กรกฎาคม 4, 2025
- ตอนที่ 4 1.2 กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 3 1.1 กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 1 ฤดูใบไม้ผลิ แห่งการเปิดเรียน กรกฎาคม 1, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำจุดเริ่มต้น กรกฎาคม 1, 2025
MANGA DISCUSSION