ตอนที่ 19 รอยแผลในความทรงจำ
บทที่ 19: รอยแผลในความทรงจำ
เปลือกตาที่หนักอึ้งของเอซค่อยๆ ปรือเปิดขึ้นช้าๆ แสงแดดยามสายที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างห้องนอนกระทบลงบนใบหน้า ทำให้เขารู้สึกแสบตาเล็กน้อย เหงื่อกาฬผุดซึมทั่วร่างชุ่มโชกราวกับเพิ่งผ่านพ้นฝันร้ายอันยาวนานและทรมานมาหมาดๆ ทุกอณูขุมขนยังคงจดจำความเย็นเยียบและความอับชื้นของถ้ำมรณะนั้นได้เป็นอย่างดี เขายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่มๆ ในห้องนอนที่บ้านของตนเอง พยายามปรับประสาทสัมผัสให้คุ้นชินกับความรู้สึกของการได้กลับมาอยู่ในร่างกายเนื้อของตนเองอีกครั้งในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ความรู้สึกอ่อนล้าที่กัดกินไปทั่วทุกส่วนของร่างกายนั้นมันช่างสมจริงเหลือเกิน ราวกับว่าความเครียดและความหวาดผวาจากประสบการณ์เลวร้ายนั้นได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายนี้ด้วย
ร่างกายของเขายังคงอ่อนเพลียอย่างหนัก แม้จะ “ออกจากระบบ” มาได้แล้วก็ตาม ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นของห้องนอนที่คุ้นเคยค่อยๆ ซึมซาบเข้ามา ปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำและแตกสลายของเขาได้บ้าง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า สัมผัสได้ถึงรอยขีดข่วนจางๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ความรู้สึกสากของผิวหนังที่หยาบกร้านจากความทรมานยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้ว
“ออกมาได้…จริงๆ สินะ” เอซพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขายังคงแหบพร่า ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ เริ่มประดังประเดเข้ามาในหัวอย่างช้าๆ แต่ก็ยังคงมีความสับสนและเลือนรางปะปนอยู่มาก ราวกับมีม่านหมอกบางๆ บดบังรายละเอียดบางอย่างไว้ ทว่าความรู้สึกหวาดผวาและสิ้นหวังนั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
เขาจำได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกโจมตีจนบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าอกใน “โลกนั้น” แม้ตอนนี้จะไม่มีบาดแผลทางกายแล้ว แต่ความรู้สึกเย็นเยียบของคมดาบที่เสียดแทงทะลุเกราะยังคงทำให้เขาสะท้านในความทรงจำ ความสิ้นหวังเมื่อพบว่าตัวเองกลายเป็นผู้เล่นเลเวล 25 ที่อ่อนแอ, การดิ้นรนเอาชีวิตรอดในความมืดมิดอันหนาวเหน็บของถ้ำ และการเผชิญหน้ากับอสูรกายโลกันตร์ที่น่าสะพรึงกลัว… กลิ่นกำมะถันและเสียงคำรามของมันยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกและก้องอยู่ในหูเป็นบางครั้งคราว
และที่สำคัญที่สุด… คือความทรงจำเกี่ยวกับการทรยศหักหลังอันแสนโหดร้ายจากคนที่เขาเคยคิดว่าเป็น “เพื่อนร่วมทีม”… เหตุการณ์เลวร้ายนั้นยังคงตามหลอกหลอน ราวกับเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน มันเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายทั้งหมดที่นำเขามาสู่สภาพนี้
“มังกรกระดูกทมิฬ…”
ชื่อของบอส Raid ในตำนานผุดขึ้นมาในความคิดของเอซ ความขมขื่นจาก เหตุการณ์ครั้งนั้น ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ภาพความทรงจำอันเจ็บปวดค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในมโนสำนึกทีละน้อย…
โถงดันเจี้ยนโบราณสั่นสะเทือน เอซ กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เล่นกว่าสามสิบชีวิตเพื่อโค่น มังกรกระดูกทมิฬ (Dreadbone Dragon) บอส Raid ระดับตำนาน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนกระทั่งมันใกล้จะสิ้นลม แสงสีทองแห่งชัยชนะเริ่มเปล่งประกายจากร่างของมัน
แต่แล้วหายนะก็บังเกิด! ‘ซอร์ดมาสเตอร์เร็กซ์’ ผู้นำ Raid ที่ทุกคนเชื่อใจ กลับตวัดดาบใหญ่ของมันฉับพลัน! คมดาบสีเลือดทะลวงผ่านร่างของนักบวชที่กำลังร่ายเวทฟื้นฟู เลือดสดๆ สาดกระเซ็น! “เร็กซ์! แกทำเหี้ยอะไรของแกวะ!?” เสียงตะโกนด้วยความตกใจและเดือดดาลดังลั่น พร้อมๆ กับที่พรรคพวกของเร็กซ์อีกสามคนเผยสันดานดิบ! พวกมันหันอาวุธอันคมกริบเข้าใส่เพื่อนร่วมทีมที่กำลังอ่อนแอและบาดเจ็บ! เสียงโลหะปะทะเนื้อ! เสียงกระดูกแตกหัก! เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวังดังระงมไปทั่ว! ผู้เล่นที่เคยร่วมสู้ด้วยกันบัดนี้กลับกลายเป็นเหยื่ออันโอชะที่ถูกไล่เชือดอย่างบ้าคลั่ง!
“พวกมึงมันโง่เอง! คิดว่าของรางวัลระดับตำนานแบบนี้จะตกถึงท้องพวกมึงรึไงวะ!?” เร็กซ์แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเผยตัวตนที่แท้จริง – ผู้นำกลุ่ม ‘เงาพิฆาต’ ที่กระหายเลือด! เสียงหัวเราะอันวิปริตของมันและพรรคพวกดังก้องไปทั่วโถงที่บัดนี้อาบไปด้วยเลือดและการสังหารหมู่อันน่าสะอิดสะเอียน!
ก่อนที่การสังหารหมู่จะจบสิ้น เร็กซ์ได้ใช้สกิลพิเศษ [จิตสูบวิญญาณ (Soul Siphon)] กับนักบวชอีกคนที่กำลังจะตาย ออร่าสีดำทมิฬดูดกลืนค่าประสบการณ์และเลเวลของเขาจนร่างแตกสลายเป็นข้อมูลดิจิทัลที่บิดเบี้ยว! “อ๊ากกก! EXP ของข้า! เลเวล! ไม่นะ! ไอ้สารเลว!” เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานนั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของเอซ
เอซ ซึ่งเพิ่งจะสังหารมังกรกระดูกทมิฬได้สำเร็จและไอเทมล้ำค่ากำลังจะปรากฏขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับการทรยศนี้ด้วยความโกรธแค้นจนตัวสั่น! เขาตัดสินใจเข้าต่อสู้กับกลุ่ม ‘เงาพิฆาต’ ทั้งสี่คนเพียงลำพัง แม้จะอ่อนล้าจากการต่อสู้กับบอสมาอย่างหนักก็ตาม!
การต่อสู้เป็นไปอย่างเสียเปรียบอย่างยิ่ง เอซถูกต้อนจนมุมที่ขอบเหวลึก “ฮ่าๆๆ! ดูมันสิวะ! ไอ้หมาจนตรอก!” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเหล่าผู้ทรยศดังลั่น เร็กซ์ใช้ดาบใหญ่ที่อาบพลัง [จิตสูบวิญญาณ] แทงทะลุอกของเขา! เอซรู้สึกได้ถึงค่าประสบการณ์และเลเวลที่ถูกดูดกลืนไปอย่างรวดเร็ว! ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงหล่นลงไปในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด… ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งและสะใจของพวกมันที่ยังคงดังก้องอยู่ในความมืด…
เอซลืมตาขึ้นอีกครั้งจากภวังค์แห่งความทรงจำอันขมขื่น เหงื่อยังคงไหลซึมตามกรอบหน้า เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด “สักวัน… ข้าจะทำให้พวกแกทุกคน… ชดใช้อย่างสาสม!” แม้คำพูดนั้นจะเต็มไปด้วยความแค้น แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกที่ยังคงค้างคาจาก “โลกนั้น” และในตอนนี้ เขาต้องพยายามกลับมามีชีวิตปกติในโลกแห่งความเป็นจริงให้ได้ก่อน
ภาระทางใจจากห้วงอเวจีที่เขาเพิ่งหลุดรอดออกมานั้นหนักหน่วงเกินกว่าที่ร่างกายในโลกจริงจะแบกรับได้ในทันที แม้จะ “กลับมาได้” อย่างปาฏิหาริย์ แต่ความมืดมิดอันเย็นเยียบ, ความเจ็บปวดที่เสียดแทง, และความสิ้นหวังที่กัดกินจิตวิญญาณจากประสบการณ์เลวร้ายใน “หลุมดำ” หรือถ้ำที่เขาตกลงไปนั้นยังคงเป็นเงาตามตัวที่หลอกหลอนเขาไม่หยุดหย่อน ราวกับเศษเสี้ยวของขุมนรกนั้นได้ติดตามเขาออกมาด้วย
เปลือกตาของเอซเริ่มหนักอึ้งลงอีกครั้ง ความทรงจำที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับความอ่อนเพลียสุดขีดทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะจมดิ่งลงไปในห้วงนิทราอันลึกล้ำ… เขายังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ มีความแค้นที่ต้องชำระ และมีปริศนาที่ต้องไข… แต่ตอนนี้ ร่างกายและจิตใจของเขาต้องการการพักผ่อนอย่างแท้จริง…
เอซผล็อยหลับไปอีกครั้งบนเตียงนุ่มๆ ในห้องนอนที่บ้านของตนเอง ทิ้งไว้เพียงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับทุกสิ่งในโลกนั้นอีกครั้ง… เมื่อเขาพร้อม และเมื่อเขาสามารถแยกแยะระหว่างความจริงกับฝันร้ายได้ชัดเจนกว่านี้
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ขณะที่เอซยังคงหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย เสียงแจ้งเตือนอิเล็กทรอนิกส์เบาๆ ก็ดังขึ้นจาก Wrist Gear ที่เขาสวมอยู่บนข้อมือซ้าย มันสั่นเล็กน้อยพร้อมกับข้อความเสียงที่นุ่มนวลแต่ชัดเจน:
“คุณมีข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
เสียงนั้นปลุกให้เอซสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เขายังคงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่ก็พยายามฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งให้เปิดขึ้น เขามองไปยัง Wrist Gear ที่ข้อมือ แสงสีฟ้าอ่อนๆ กะพริบเป็นจังหวะบ่งบอกถึงข้อความเข้า
“ใครส่งอะไรมาตอนนี้วะ…” เอซพึมพำพลางยกข้อมือขึ้นมาดูอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก ทันใดนั้น ภาพโฮโลแกรมสามมิติก็ปรากฏขึ้นเหนือ Wrist Gear ของเขา แสดงภาพใบหน้ายิ้มกวนๆ ของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่คุ้นเคย พร้อมกับเสียงทักทายที่ดังออกมาจากลำโพงขนาดเล็กของอุปกรณ์ และหน้าต่างข้อความที่แสดงเนื้อหาควบคู่กันไป
[ภาพโฮโลแกรม: เคนจิในชุดนักศึกษาลำลอง กำลังเก๊กท่าถ่ายเซลฟี่สุดเท่]
เสียงจาก Wrist Gear (เสียงเคนจิที่กระตือรือร้น): “เอซ! ไอ้เพื่อนเลิฟ! ได้รับสัญญาณจากดาวโลกแล้วโว้ย! นึกว่าแกไปติดอยู่บนดาวอังคารซะอีก!”
ข้อความ:
จาก: เคนจิ (สุดยอดนักประดิษฐ์แห่งศตวรรษ…ในฝัน)
ถึง: เอซ (เจ้าชายนิทรา…หรือเจ้าชายกบ?)
“ว่าไงเพื่อน! หายหน้าหายตาไปนานจนฉันเกือบลืมไปแล้วว่าแกมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้! ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า! ได้ยินจากที่บ้านแกแว่วๆ ว่าเพิ่งจะ ‘เสร็จสิ้นภารกิจลับสุดยอด’ (ที่แกไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยสักนิด) แล้วกลับมาพักผ่อนยาวเลยนี่หว่า สภาพโอเคไหมเพื่อน? ยังจำวิธีผูกเชือกรองเท้าได้อยู่รึเปล่า?”
“เอาล่ะ! เข้าเรื่องสำคัญ! พรุ่งนี้ บ่ายสองโมงตรง! ลากตัวเองออกมาจากเตียงแล้วมาเจอกันที่ ‘คาเฟ่แมวข่วน’ ร้านโปรดของเรา! ฉันมี ‘โปรเจกต์เปลี่ยนโลก’ (เวอร์ไปไหมวะ?) ที่อยากจะให้แกช่วยดูหน่อย! เป็นไอเดียธุรกิจสตาร์ทอัพที่ฉันคิดค้นขึ้นมาเองกับมือ! ถ้ามันเวิร์คนะเพื่อน… พวกเราอาจจะได้เป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ดาวซีริน่า-ไพรม์เลยก็ได้! อยากได้ความคิดเห็นเฉียบๆ ของแกว่ะ!”
“แล้วก็… มี ‘เรื่องเม้าท์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ’ ในคณะมาเล่าให้ฟังด้วย! เกี่ยวกับ… เอ่อ… เอาเป็นว่าแกมาแล้วจะรู้เอง! รับรองว่าเด็ด! ไม่มาถือว่าพลาดโอกาสทองในการอัปเดตชีวิต! ถ้าแกยังอยากมีเพื่อนคบอยู่ก็รีบมาซะ! ป.ล. เลี้ยงกาแฟฉันด้วยนะเพื่อนรัก! ถือว่าเป็นค่าเปิดหูเปิดตา!”
เอซหัวเราะเบาๆ กับข้อความสุดกวนของเคนจิ แม้จะยังรู้สึกอ่อนเพลีย แต่การได้เห็นความเป็นห่วง (แบบแปลกๆ) ของเพื่อนสนิทก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาบ้าง “โปรเจกต์เปลี่ยนโลก? เรื่องเม้าท์ในคณะ?” มันฟังดูเหมือนชีวิตนักศึกษาธรรมดาๆ ที่เขาห่างหายไปนาน… และบางที มันอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนได้
“คาเฟ่แมวข่วน… บ่ายสอง” เอซพึมพำกับตัวเอง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดยามบ่ายยังคงทอประกาย “พรุ่งนี้สินะ…”
เขาตัดสินใจแล้ว… เขาจะไปพบเคนจิ บางทีการได้กลับไปใช้ชีวิตปกติ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ดาวเคราะห์ซีริน่า-ไพรม์ (Xylina-Prime) นครหลวงนีโอ-อาร์คาเดีย (Neo-Arcadia)
เอซตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นกว่าหลายวันที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด การได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในโลกแห่งความเป็นจริง และการมี “นัดหมาย” กับเพื่อนสนิทก็ช่วยให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาลุกจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ของห้องนอนในบ้านของตนเอง มองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง ตึกระฟ้าดีไซน์ล้ำยุคตั้งตระหง่านเสียดฟ้า ยานพาหนะส่วนบุคคลและระบบขนส่งมวลชนแบบลอยฟ้า (Sky-Transit Pods) เคลื่อนที่ไปมาอย่างเป็นระเบียบตามเส้นทางพลังงานแสงที่มองไม่เห็น แสงสีจากป้ายโฆษณาโฮโลแกรมขนาดยักษ์ที่ฉายภาพสินค้าและบริการจากทั่วทุกมุมกาแล็กซีส่องสว่างแม้ในเวลากลางวัน มันเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและเทคโนโลยีขั้นสูง
เขาเดินไปที่ “ตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะ (Smart Wardrobe)” ที่ติดตั้งอยู่กับผนังห้อง มันสแกนร่างกายของเขาและเสนอชุดลำลองที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและตารางเวลาของเขาในวันนี้ เอซเลือกชุดที่ดูสบายๆ แต่ก็ยังคงความเรียบหรูตามสไตล์ของเขา – เสื้อยืดคอวีสีดำสนิทที่ทำจากวัสดุนาโนปรับอุณหภูมิได้ กางเกงคาร์โก้สีเทาเข้มที่เต็มไปด้วยช่องเก็บของอเนกประสงค์ และรองเท้าบูทพลังงานแสง (Solar-Charged Boots) ที่ดูทนทานและพร้อมสำหรับการเดินทาง
หลังจากสั่งการให้ “ระบบสุขอนามัยส่วนบุคคล (Personal Hygiene System)” ทำความสะอาดร่างกายและจัดแต่งทรงผมให้อย่างรวดเร็ว เขาก็เดินลงไปยังห้องครัว ที่นั่น “เครื่องสังเคราะห์อาหาร (Food Synthesizer)” ได้เตรียมอาหารเช้าตามโปรแกรมสุขภาพที่เขาตั้งไว้ – โปรตีนบาร์รสผลไม้รวมที่ให้พลังงานสูง และเครื่องดื่มอิเล็กโทรไลต์รสเลมอนที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น
ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร เอซก็ครุ่นคิดถึงเรื่องของเคนจิ “ไอเดียธุรกิจสตาร์ทอัพ” ที่ว่านั่นมันคืออะไรกันแน่? แล้ว “เรื่องเม้าท์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในคณะ” มันจะเกี่ยวกับเขาได้อย่างไร? ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้ายที่ใกล้จะจบการศึกษา เอซเองก็มีโปรเจกต์จบที่ต้องทำเช่นกัน แต่การได้ออกไปเจอเพื่อนและพูดคุยเรื่องอื่นๆ บ้างก็น่าจะดีกว่าการจมอยู่กับความเครียดเรื่องโปรเจกต์น่าเบื่อของเขาคนเดียว
ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว แต่เขาก็พยายามสลัดมันออกไป ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะกังวลเรื่องเหล่านั้น สิ่งสำคัญคือเขาต้องไปพบเคนจิตามนัด
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ เอซก็ตรวจสอบ Wrist Gear ของเขาอีกครั้ง ดูเวลาและตำแหน่งของ “คาเฟ่แมวข่วน” บนแผนที่โฮโลแกรมสามมิติที่ฉายขึ้นมา มันเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในย่านพักผ่อนหย่อนใจของเมือง ที่เขากับเคนจิมักจะไปนั่งคุยเล่นกันเป็นประจำสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ และที่สำคัญ… มันอยู่ไม่ไกลจากสถานี Sky-Transit มากนัก
“เอาล่ะ… ได้เวลาไปดูซิว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันมีอะไรจะอวด” เอซพึมพำกับตัวเอง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความมั่นใจและความเข้มแข็งที่เคยมีกลับคืนมา แม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่เขาก็พร้อมที่จะก้าวออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว
เขาก้าวออกจากบ้านของตนเอง มุ่งหน้าไปยังลิฟต์ความเร็วสูงที่จะพาเขาลงไปยังชั้นล่างสุด และจากนั้นก็เดินไปยังสถานี Sky-Transit Pod ที่อยู่ใกล้ที่สุด ยานพาหนะรูปทรงไข่สีเงินลอยเข้ามาจอดเทียบชานชาลาอย่างนุ่มนวล ประตูเปิดออกอัตโนมัติ เอซก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะที่นุ่มสบาย ก่อนที่ยานจะเคลื่อนตัวออกไปตามเส้นทางพลังงานแสง มุ่งหน้าสู่ใจกลางนครหลวงนีโอ-อาร์คาเดีย ที่ซึ่งการนัดหมายครั้งสำคัญกำลังรอเขาอยู่
ณ คาเฟ่แมวข่วน (The Scratching Post Cafe)
Sky-Transit Pod จอดเทียบสถานีในย่านพักผ่อนหย่อนใจอย่างนุ่มนวล เอซก้าวออกมา สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรองอย่างดีของเมืองหลวง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่น ผู้คนในชุดลำลองหลากสีสันเดินขวักไขว่ไปมา บ้างก็จูงสัตว์เลี้ยงดิจิทัล (Digi-Pets) รูปร่างแปลกตา บ้างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานผ่านอุปกรณ์สื่อสารโฮโลแกรมขนาดเล็กที่ลอยอยู่ข้างหู
เอซเดินตามแผนที่บน Wrist Gear ของเขาไม่นานก็มาถึง “คาเฟ่แมวข่วน” ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยธีมแมวเหมียวน่ารัก มีรูปปั้นแมวกวักโฮโลแกรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าร้านคอยต้อนรับลูกค้า ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟคั่วหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นขนมอบใหม่ๆ เสียงเพลงแจ๊สเบาๆ คลอเคล้ากับเสียงพูดคุยจางๆ สร้างบรรยากาศสบายๆ
เอซกวาดสายตามองหาเพื่อนสนิท ทันใดนั้น ร่างโปร่งๆ ที่คุ้นเคยของเคนจิซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดริมหน้าต่างกระจกใสก็โบกมือหยอยๆ ให้เขาอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ปรากฏบนใบหน้าทะเล้นนั้น
“โย่ว! ไอ้เสือหลับ! นึกว่าจะต้องให้ฉันบุกไปลากคอแกออกมาจากห้องนอนซะแล้ว!” เคนจิแทบจะกระโจนออกจากเก้าอี้ พุ่งเข้ามาตบบ่าเอซอย่างแรงตามสไตล์เพื่อนซี้ขาโจ๋ จนเอซที่ยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซไปเล็กน้อย “สภาพยังดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนนะเพื่อน แต่เออ… หน้าตายังพอไปวัดไปวาได้อยู่โว้ย! หล่อเหมือนเดิม! ฮ่าๆๆ!” เสียงหัวเราะดังลั่นของเคนจิดึงดูดสายตาจากลูกค้าโต๊ะอื่นเล็กน้อย
“พูดมากเป็นต่อยหอยเลยนะแก” เอซตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแหบแห้ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ความเป็นกันเองแบบไม่คิดมากของเคนจิมักจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เสมอ เขาเดินตามเคนจิไปยังโต๊ะมุมในสุด และทันทีที่เขาเห็นคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาของเอซก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างสุดขีดจนแทบจะหยุดหายใจ!
“อ…อลิซ!?” เอซอุทานออกมาเสียงดังกว่าที่ตั้งใจไว้ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาในอก ทั้งความตกใจ ดีใจ สับสน และความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ยังอธิบายไม่ถูก เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเจอเธอที่นี่! เคนจิไม่ได้บอกเขาเลยสักนิดว่าอลิซจะมาด้วย!
อลิซ เบลค เพื่อนร่วมคณะผมสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าหวานของเธอดูประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกันที่เห็นปฏิกิริยาของเอซ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนมาให้เขา “ไงเอซ… ตกใจมากเลยเหรอที่เจอฉันที่นี่?” เสียงใสๆ ของเธอเหมือนระฆังแก้วที่ช่วยดึงสติของเอซกลับมา
“เอ่อ… ก็นิดหน่อย” เอซพยายามควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่แก้มของเขาก็ยังคงร้อนผ่าว “ไม่คิดว่าจะเจอเธอน่ะ ปกติเวลานี้เธอน่าจะกำลังจมอยู่กับกองเอกสารโปรเจกต์จบจนหัวฟูไม่ใช่เหรอ?” เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามอลิซ พยายามหลบสายตาของเคนจิที่กำลังมองมาอย่างล้อเลียน
อลิซหัวเราะเบาๆ “ก็… พ่อตัวดีของเธอน่ะสิ เคนจิเขาลากฉันออกมาจากห้องสมุด บอกว่ามีเรื่อง ‘ไอเดียโปรเจกต์จบสุดบรรเจิด’ จะคุยกับนาย แล้วก็ยืนกรานเสียงแข็งว่าฉันต้องมาเป็น ‘กรรมการกิตติมศักดิ์’ ให้ด้วยให้ได้” เธอมองเอซด้วยแววตาอ่อนโยนและห่วงใย “ดีใจจริงๆ ที่เห็นนายออกมาข้างนอกบ้างนะเอซ… ได้ยินว่านาย ‘เก็บตัว’ ไปนานมากเลยนี่นา เป็นยังไงบ้าง?”
คำว่า “เก็บตัว” ที่อลิซเน้นเสียงนั้นฟังดูมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ ประกอบกับท่าทางกระตือรือร้นเกินเหตุของเคนจิ ทำให้เอซสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปเล็กน้อย “พวกแกรู้เรื่องอะไรของฉันบ้างรึเปล่าเนี่ย?” เอซหรี่ตามองเพื่อนทั้งสองอย่างจับสังเกต “แล้วไอ้ ‘ไอเดียสุดบรรเจิด’ ที่แกพล่ามไว้ในข้อความน่ะ มันคืออะไรกันแน่เคนจิ? อย่าบอกนะว่า…”
เคนจิยิ้มกริ่ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเป็นประกายวาววับอย่างมีเลศนัย “ใจเย็นๆ น่าเพื่อนรัก… โปรเจกต์ของฉันมันอาจจะไม่ได้ ‘เปลี่ยนโลก’ แต่รับรองว่า ‘เปลี่ยนชีวิต’ ใครบางคนได้แน่! และที่สำคัญที่สุด… มันอาจจะช่วยให้แกได้เจอ ‘แรงบันดาลใจใหม่ๆ’ ในการทำโปรเจกต์จบของแก หรือไม่ก็… หาอะไรทำแก้เซ็งหลังจากเรียนจบก็ได้นะเพื่อน!” เขากระซิบประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาให้หนึ่งทีอย่างรู้กัน
เอซถอนหายใจเบาๆ พยายามปัดความรู้สึกสับสนออกไป เขามองหน้าเคนจิสลับกับอลิซ ก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่ค้างคาใจ “เคนจิ… ฉันขอคุยกับแกเป็นการส่วนตัวแป๊บนึงได้ไหม?” เขาเหลือบมองอลิซเล็กน้อยอย่างเกรงใจ “คือ… มีเรื่องสำคัญนิดหน่อยที่อยากจะเคลียร์กับแกก่อนที่เราจะคุยเรื่องของแกน่ะ”
เคนจิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองหน้าเอซอย่างงุนงง แต่ก็พยักหน้ารับ “เอ่อ… ได้สิเพื่อน มีอะไรวะ? ทำหน้าเครียดเชียว”
เอซลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกเคนจิให้ตามไปที่มุมหนึ่งของร้านที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ห่างจากโต๊ะที่อลิซนั่งอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอลิซไม่ได้ยินแล้ว เอซก็หันมาเผชิญหน้ากับเคนจิด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น
“แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันกับอลิซ…” เอซพูดเสียงเบา พยายามควบคุมไม่ให้เสียงสั่น “เรา… เราเคยคบกัน แล้วก็… เลิกกันไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แกพาเธอมาด้วยทำไมวะเคนจิ? แกตั้งใจจะแกล้งอะไรฉันอีกรึเปล่า?” แววตาของเอซเต็มไปด้วยความสับสนและคำถาม
เคนจิทำหน้าเหวอไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ “เฮ้ยๆ ใจเย็นเพื่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งอะไรแกเลยนะเว้ย” เขารีบปฏิเสธ “คือ… โปรเจกต์ของฉันมันเกี่ยวกับ ‘เทคโนโลยีอินเทอร์เฟซควบคุมโดรนด้วยคลื่นสมองแบบใหม่’ น่ะ แล้วอลิซเขาก็เก่งเรื่องการออกแบบ User Experience มากๆ ฉันเลยชวนเขามาช่วยดูเรื่องดีไซน์กับความง่ายในการใช้งาน แล้วก็… เอ่อ… พอดีวันนี้ฉันนัดคุยกับแกเรื่องนี้พอดี แล้วอลิซเขาก็ว่างตรงกัน ฉันก็เลย… ชวนมาด้วยกันเลย ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลยจริงๆ นะเพื่อน”
เอซขมวดคิ้วแน่นขึ้น “อินเทอร์เฟซควบคุมโดรนด้วยคลื่นสมอง? ฟังดูน่าสนใจดีนี่ แต่แกแน่ใจนะว่าไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง?” น้ำเสียงของเอซยังคงมีความไม่ไว้ใจเจือปนอยู่
“โธ่เพื่อน… ฉันจะไปมีเจตนาอะไรได้เล่า” เคนจิทำหน้าเหมือนลูกหมาโดนดุ “ฉันเห็นว่าช่วงนี้แกดูซึมๆ ไปเยอะหลังจาก ‘พักผ่อน’ กลับมา ก็เลยคิดว่า… บางทีการได้เจอเพื่อนเก่าๆ หรือได้ทำอะไรใหม่ๆ มันอาจจะช่วยให้แกดีขึ้นบ้าง… แล้วอลิซเองก็ดูเหมือนจะ… เป็นห่วงแกอยู่ไม่น้อยนะเว้ย” เคนจิพูดพลางเหลือบมองไปทางอลิซที่กำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตากลับดูวูบไหวเล็กน้อย
เอซเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจเจตนาดีของเคนจิ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันซับซ้อนเกินไปสำหรับเขา “ฉันขอบใจนะที่แกเป็นห่วง” เอซพูดเสียงอ่อนลง “แต่เรื่องของฉันกับอลิซ… มันยังไม่พร้อมที่จะ… กลับมาเจอกันแบบนี้หรอก โดยเฉพาะเมื่อฉันเองก็ยัง… ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่” เขายอมรับออกมาในที่สุด
“ฉันเข้าใจเพื่อน” เคนจิพยักหน้าช้าๆ “เอาเป็นว่า… เรื่องโปรเจกต์ของฉันไว้คุยกันวันหลังก็ได้ วันนี้ถือว่าเรามานั่งคุยเล่นกันตามประสาเพื่อนเก่าก็แล้วกันนะ แกอยากจะระบายอะไรให้ฉันฟัง หรืออยากจะให้ฉันช่วยอะไรก็บอกได้เลยนะเว้ย ไม่ต้องเกรงใจ” เคนจิตบบ่าเอซเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
เอซพยักหน้ารับคำขอบคุณ เขารู้สึกซาบซึ้งในความเป็นห่วงของเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆ “ขอบใจมากเคนจิ… งั้น… เรากลับไปที่โต๊ะกันเถอะ อย่าปล่อยให้อลิซรอนาน”
แม้ในใจจะยังคงเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกที่ยังไม่คลี่คลาย แต่เอซก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับเคนจิ การเผชิญหน้ากับอลิซอีกครั้งอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่บางที… มันอาจจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเริ่มต้นใหม่ของเขาก็ได้
พวกเขากลับมานั่งที่โต๊ะ อลิซมองเอซด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้อึดอัด บรรยากาศบนโต๊ะค่อนข้างเงียบไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงเพลงแจ๊สเบาๆ และเสียงลูกค้าคนอื่นๆ ในร้าน เคนจิพยายามชวนคุยเรื่องสัพเพเหระเพื่อทำลายความเงียบ แต่เอซก็ยังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ต่อมาไม่นานนัก ขณะที่พวกเขากำลังจิบกาแฟและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ประตูกระจกของคาเฟ่ก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง เธอมีผมสีชมพูอ่อนซอยสั้นระต้นคอ ดวงตากลมโตสีฟ้าสดใสรับกับใบหน้าที่ดูร่าเริงและมีชีวิตชีวา เธอกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นอลิซและโบกมือให้
“อลิซ! รอนานไหมจ๊ะ!” เสียงใสๆ ของหญิงสาวดังขึ้น ทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง
อลิซยิ้มตอบอย่างดีใจ “ไม่นานเลยจ้ะลิลลี่ มานั่งด้วยกันสิ” เธอผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้างๆ
หญิงสาวที่ชื่อลิลลี่เดินตรงเข้ามาที่โต๊ะของพวกเขาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง เธอมองมาทางเอซและเคนจิด้วยความเป็นมิตร “สวัสดีค่ะ ฉันลิลลี่ เป็นเพื่อนของอลิซค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
เคนจิยิ้มกว้างตามสไตล์ “หวัดดีครับลิลลี่ ผมเคนจิ เพื่อนซี้สุดหล่อของเอซ ส่วนนี่ก็… เอซ ไอ้เสือซุ่มของเราเอง”
เอซพยักหน้าทักทายลิลลี่เล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขาพูดเสียงเรียบ พยายามประเมินสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น การมาถึงของลิลลี่ทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดก่อนหน้านี้ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ในใจของเอซกลับเต็มไปด้วยคำถาม… วันนี้มันจะจบลงยังไงกันแน่นะ?
ลิลลี่นั่งลงข้างอลิซพลางสั่งเครื่องดื่มอย่างรวดเร็ว “ขอเป็นชาผลไม้รวมปั่นแก้วใหญ่พิเศษเลยค่ะ! วันนี้อากาศดี๊ดี เหมาะกับการฉลอง!” เธอยิ้มร่า ก่อนจะหันมามองเอซและเคนจิ “แล้วนี่พวกคุณคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ ดูจริงจังกันเชียว”
“อ๋อ… ก็ไม่มีอะไรมากหรอกลิลลี่” เคนจิรีบตอบ “แค่คุยเรื่องโปรเจกต์จบของฉันนิดหน่อยน่ะ ว่าจะชวนเอซมาช่วยออกไอเดีย”
“โปรเจกต์จบของเคนจิเหรอคะ? น่าสนใจจังเลยค่ะ!” ลิลลี่ตาเป็นประกาย “เกี่ยวกับอะไรเหรอคะ? พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมเอ่ย?”
เคนจิยืดอกอย่างภูมิใจ “แน่นอน! โปรเจกต์ของฉันคือ ‘สุดยอดนวัตกรรมโดรนสำรวจอัจฉริยะควบคุมด้วยคลื่นสมองรุ่นใหม่ล่าสุด!’ ชื่อย่อว่า ‘เบรน-วิง (Brain-Wing)’ ไงล่ะ! มันจะปฏิวัติวงการสำรวจและการขนส่งส่วนบุคคลไปเลยคอยดู!” เขาทำท่าทางประกอบอย่างกระตือรือร้น
อลิซยิ้มขำกับท่าทางของเคนจิ “เขาโม้แบบนี้มาเป็นอาทิตย์แล้วล่ะลิลลี่ แต่ไอเดียพื้นฐานของเขาก็น่าสนใจจริงๆ นะ โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบอินเทอร์เฟซให้ใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติกับผู้ใช้”
“ฟังดูสุดยอดไปเลยนะคะ!” ลิลลี่ปรบมือเบาๆ “แล้วเอซล่ะคะ? โปรเจกต์จบของเอซเกี่ยวกับอะไรเหรอคะ?” เธอหันมาถามเอซด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
เอซสะดุ้งเล็กน้อยที่ถูกถามถึง เขาไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องพูดเรื่องของตัวเองในตอนนี้ “เอ่อ… ของผมมัน… ยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่หรอกครับ” เขาตอบอ้อมแอ้ม พยายามหลีกเลี่ยงการลงรายละเอียด
“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยน่าเอซ!” เคนจิพูดแทรกขึ้น “โปรเจกต์ของแกมันก็เจ๋งไม่แพ้ของฉันหรอกน่า! เรื่อง ‘การวิเคราะห์รูปแบบพลังงานลึกลับในมิติคู่ขนาน’ น่ะ! ฟังดูโคตรไซไฟเลยไม่ใช่เหรอ!”
คำพูดของเคนจิทำให้เอซรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเบาๆ “มิติคู่ขนาน” คำๆ นี้มันกระตุ้นความทรงจำอันเลวร้ายของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกปวดแปลบที่หน้าอกอย่างไม่มีสาเหตุ และภาพความมืดมิดในถ้ำนั้นก็แวบเข้ามาในหัวชั่วขณะ เขารีบส่ายหัวเบาๆ พยายามปัดความคิดเหล่านั้นออกไป
อลิซสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของเอซ เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เอาเป็นว่าโปรเจกต์ของพวกเราทุกคนก็คงจะหนักหนาสาหัสกันน่าดูเลยนะคะ กว่าจะเรียนจบได้นี่คงต้องอดหลับอดนอนกันอีกหลายคืนแน่ๆ” เธอยิ้มให้เอซอย่างให้กำลังใจ
“นั่นสิคะ!” ลิลลี่เสริม “เรียนจบแล้วพวกเราไปเที่ยวฉลองกันดีไหม! ไปหาอะไรสนุกๆ ทำกันบ้าง! ปลดปล่อยความเครียด!”
“เออ! ความคิดดีเลยลิลลี่!” เคนจิเห็นด้วยทันที “เรียนจบแล้วเราไปตะลุย ‘นีโอ-โตเกียว ดิสทริค (Neo-Tokyo District)’ กันดีไหม! ไปดูแสงสีเสียง! เล่นเกมตู้ใหม่ล่าสุด! แล้วก็ไปกินราเม็งร้านเด็ดที่เพิ่งเปิดใหม่ด้วย!”
“น่าสนุกจังเลยค่ะ!” อลิซยิ้มกว้าง “เอซล่ะ ว่าไง? ไปด้วยกันไหม?” เธอหันมาถามเอซด้วยแววตาคาดหวัง
เอซมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเพื่อนทั้งสามคน ความอบอุ่นบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างช้าๆ บางที… การได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาลืมเรื่องร้ายๆ และกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง “อืม… ก็น่าสนใจดีนะ” เขาตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่จริงใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
“เย้! ตกลงตามนี้นะ!” เคนจิโห่ร้องอย่างดีใจ “งั้นวันนี้… ถือเป็นการซ้อมเที่ยว! หลังจากคุยเรื่องโปรเจกต์ของฉันเสร็จแล้ว เราไปเดินเล่นใน ‘โซนอาร์ตแกลเลอรี่ลอยฟ้า (Floating Art Gallery Zone)’ กันดีไหม? ได้ยินว่ามีนิทรรศการภาพวาดดิจิทัลเปิดใหม่ สวยมากๆ เลยนะ!”
“ไปสิคะ! ฉันอยากไปดูพอดีเลย!” ลิลลี่ตอบรับอย่างกระตือรือร้น
อลิซพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
เอซมองเพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก บรรยากาศที่เคยอึดอัดและตึงเครียดก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายไป บางที… การเริ่มต้นใหม่ในโลกแห่งความเป็นจริงของเขา อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้
หลังจากพูดคุยเรื่องโปรเจกต์ของเคนจิ (ซึ่งเต็มไปด้วยไอเดียสุดเพี้ยนแต่ก็น่าสนใจ) และเรื่องซุบซิบในคณะกันอย่างออกรส พวกเขาทั้งสี่คนก็ตัดสินใจออกจากคาเฟ่แมวข่วน มุ่งหน้าไปยัง “โซนอาร์ตแกลเลอรี่ลอยฟ้า” ตามที่เคนจิเสนอ
Sky-Transit Pod พาพวกเขาเหาะเหินไปตามเส้นทางพลังงานแสงที่สลับซับซ้อนเหนือมหานครนีโอ-อาร์คาเดีย เบื้องล่างคือตึกระฟ้าที่แข่งกันอวดดีไซน์ล้ำยุค ยานพาหนะลอยฟ้าหลากสีสันเคลื่อนที่ไปมาอย่างคล่องแคล่ว แสงสีจากป้ายโฆษณาโฮโลแกรมขนาดยักษ์สาดส่องประกายระยิบระยับ สร้างบรรยากาศที่ตื่นตาตื่นใจ
ขณะที่ Sky-Transit Pod กำลังเคลื่อนผ่านย่านธุรกิจใจกลางเมือง ป้ายโฆษณาโฮโลแกรมขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้นก็เปลี่ยนภาพฉับพลัน! จากโฆษณาน้ำดื่มปรับสมดุลอิเล็กโทรไลต์ กลายเป็นภาพกราฟิกสามมิติสุดอลังการของโลกแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยมังกรบินทะยาน อัศวินในชุดเกราะแวววาว และนักเวทย์ที่กำลังร่ายคาถาทรงพลัง! เสียงดนตรีประกอบที่ยิ่งใหญ่และเร้าใจดังกระหึ่มออกมาจากระบบเสียงรอบทิศทางของเมือง!
[ภาพโฆษณา: โลโก้เกม “COSMIC FRONTIERS: GALACTIC ODYSSEY” ปรากฏขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับภาพการต่อสู้สุดอลังการระหว่างผู้เล่นจากหลากหลายเผ่าพันธุ์และกาแล็กซี ที่กำลังร่วมมือกันต่อสู้กับอสูรกายยักษ์จากต่างมิติ ท่ามกลางฉากหลังที่เป็นดวงดาวนับล้านและเนบิวลาหลากสีสัน!]
เสียงผู้บรรยาย (ทรงพลังและน่าเชื่อถือ): “เบื่อไหมกับโลกเดิมๆ? พร้อมหรือยังสำหรับการผจญภัยที่ไร้ขีดจำกัด? สัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง ระดับจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ‘COSMIC FRONTIERS: GALACTIC ODYSSEY’ ที่ซึ่งผู้เล่นนับล้านล้านชีวิตจากทุกกาแล็กซีมาบรรจบ! สร้างตัวตนของคุณ! ออกสำรวจดวงดาวนับไม่ถ้วน! เผชิญหน้ากับอสูรร้ายในตำนาน! และสร้างพันธมิตรกับผู้เล่นจากทั่วทุกมุมจักรวาล! เทคโนโลยี Scan Gear ล่าสุดจะนำพาคุณดำดิ่งสู่โลกอีกใบที่สมจริงยิ่งกว่าจินตนาการ! อย่ารอช้า! การผจญภัยครั้งใหม่รอคุณอยู่! COSMIC FRONTIERS: GALACTIC ODYSSEY! เชื่อมต่อทุกกาแล็กซี สู่มหากาพย์การผจญภัยที่ไร้ที่สิ้นสุด!”
ภาพโฆษณานั้นยิ่งใหญ่และน่าตื่นตาตื่นใจจนทุกคนใน Sky-Transit Pod ต่างพากันมองอย่างสนใจ แต่สำหรับเอซแล้ว… ทันทีที่เขาเห็นโลโก้เกม “COSMIC FRONTIERS” และได้ยินชื่อนั้น… ความรู้สึกปวดแปลบอย่างรุนแรงก็แล่นริ้วขึ้นมาในสมองของเขาทันที! ภาพความทรงจำอันเลวร้ายจาก “โลกนั้น” – การทรยศ, ความตาย, ความสิ้นหวัง – มันซ้อนทับกับภาพโฆษณาสุดอลังการตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนเขารับไม่ทัน!
“อึ่ก!” เอซยกมือกุมขมับ ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือน โลกทั้งใบดูเหมือนจะหมุนคว้างไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนกำลังจะอาเจียนออกมา ความรู้สึกเย็นเยียบที่คุ้นเคยจากถ้ำมรณะนั้นกลับมาอีกครั้ง…
“เอซ! เป็นอะไรไปน่ะ!?” อลิซที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเขาเป็นคนแรก เธอรีบคว้าแขนเขาไว้ด้วยความเป็นห่วง “นายหน้าซีดมากเลยนะ!”
“เออว่ะ! ไอ้เอซ! แกเป็นไรวะเพื่อน!?” เคนจิที่กำลังตื่นเต้นกับโฆษณาเกมก็หันมามองด้วยความตกใจ “อย่าบอกนะว่าแกเมารถ Sky-Transit Pod เนี่ยนะ!?”
เอซพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มความรู้สึกปั่นป่วนในอกและความเจ็บปวดที่ศีรษะ “ม…ไม่เป็นไร… แค่… แค่รู้สึกวิงเวียนนิดหน่อยน่ะ” เขาพูดเสียงแผ่ว พยายามฝืนยิ้ม “สงสัยจะพักผ่อนไม่พอจริงๆ นั่นแหละ”
แม้จะพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่แววตาของเขาก็ยังคงฉายแววสับสนและหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด โฆษณาเกมนั้น… มันกระตุ้นบางอย่างในตัวเขา… บางอย่างที่เขานึกว่าลืมไปแล้ว… หรือบางที… เขาอาจจะแค่พยายามหลอกตัวเองมาตลอดว่าลืมมันไปแล้วก็ได้…
ลิลลี่มองเอซด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน “คุณเอซดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ ให้ฉันช่วยอะไรไหม? ฉันพอจะมียาแก้ปวดหัวติดตัวอยู่นะคะ” เธอยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ ทำท่าจะค้นหาบางอย่าง
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” เอซรีบปฏิเสธอย่างสุภาพ พยายามปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้น “เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเองครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะแสงสีจากโฆษณามันเยอะไปหน่อย”
Sky-Transit Pod ยังคงเคลื่อนที่ต่อไป แต่บรรยากาศภายในกลับเงียบลงเล็กน้อย ทุกคนต่างเหลือบมองเอซเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง เอซพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่ในใจของเขากำลังต่อสู้กับความทรงจำที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง เขาหลับตาลง พยายามสงบสติอารมณ์ และภาวนาให้ความรู้สึกปวดหัวและภาพหลอนเหล่านี้หายไปโดยเร็ว
Chapters
Comments
- ตอนที่ 21 แสงยามค่ำคืนและเงื่อนงำในความทรงจำ มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 20 เสียงสะท้อนในหอศิลป์ลอยฟ้า มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 19 รอยแผลในความทรงจำ มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 18 ราชโองการ เปลวสงคราม และพันธมิตรใหม่ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 17 ตัวตนของเรเวน พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 16 สังเวยเลือดอัญเชิญอสูร พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 15 สามก๊กสังหาร ณ สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 14 ร่องรอยเลือด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 13 เทียบท่า...สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 12 การเดินทางอันตรายสู่เกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 11 คำเตือนจากเงามืด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 10 ฝ่าคมเขี้ยวอสูรแมงมุม พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 9 เสียงเพรียกจากเกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 8 เสียงกระซิบจากซากเรือรบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 7 เงื่อนงำในม่านหมอก พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 6 พันธสัญญาแห่งการเริ่มต้น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 5 เมื่อความตายไม่ใช่จุดจบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 4 อเวจีในเศษซากวิญญาณ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 3 ก้นบึ้งแห่งความมืดมิด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 2 การทรยศกลางเปลวเพลิง พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 1 เงาในหมู่ผู้เล่น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำการแตกสลาย (Rewrite) พฤษภาคม 30, 2025
MANGA DISCUSSION