ตอนที่ 9 เสียงเพรียกจากเกาะมรณะ
ความเจ็บปวดระยำตำบอนกระแทกเข้าทุกอณูเซลล์ ปลุกสติที่จมดิ่งอยู่ในความมืดมิดของไครอสให้ลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญกับความเป็นจริงอันโหดร้าย เขาไอโขลกๆ สำลักเอาน้ำทะเลเค็มปร่ากับเม็ดทรายหยาบระคายคอออกมาเป็นยวง ความรู้สึกเหมือนมีใครเอาค้อนปอนด์มาทุบซ้ำๆ ที่สีข้างและแผ่นหลังยังคงชัดเจนจนแทบอยากจะตายห่าไปให้รู้แล้วรู้รอด เปลือกตาที่หนักอึ้งเหมือนแบกโลกทั้งใบ ค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนราวกับมองผ่านม่านน้ำตาผสมเลือด
“อึ่ก… ที่นี่มัน… นรกขุมไหนวะเนี่ย…” เสียงแหบแห้งจนแทบจะกลืนหายไปกับเสียงคลื่นซัดฝั่ง ร่างกายแม่งปวดร้าวไปทุกสัดส่วน ชุดเกราะหนังนักเดินทางที่ลีอาน่าอุตส่าห์หามาให้ บัดนี้เปียกโชกแถมยังมีรอยฉีกขาดเป็นทางยาว เผยให้เห็นผิวเนื้อที่เริ่มมีรอยช้ำม่วง
พอดวงตาเริ่มปรับตัวเข้ากับแสงสลัวๆ รอบข้างได้บ้าง ไครอสก็แทบจะสบถออกมาเป็นคำหยาบสารพัด ชายหาดเล็กๆ ที่เขาเกยตื้นอยู่นี่มันไม่ใช่สวรรค์บนดินแน่ๆ เศษซากไม้ผุพังเกลื่อนกลาดเหมือนสุสานเรือ เปลือกหอยแหลมคมพร้อมจะบาดเท้าได้ทุกเมื่อ และสาหร่ายทะเลเน่าๆ ที่ส่งกลิ่นคาวคลุ้งผสมกับกลิ่นอับชื้นจนอยากจะอ้วก เสียงคลื่นซัดสาดไม่หยุดหย่อน ฟังดูเหมือนเสียงร้องโหยหวนของวิญญาณอัปมงคล
มองออกไปเบื้องหน้าคือผืนทะเลสีครามเข้มที่กว้างใหญ่จนน่าใจหาย แต่พอเหลียวซ้ายแลขวาเท่านั้นแหละ ไอ้เหี้ยเอ๊ย! แนวโขดหินแหลมคมสีดำทะมึนโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำยังกับเขี้ยวอสูร ซากเรืออับปางนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายเหมือนเศษขยะที่ถูกคลื่นซัดมากองรวมกัน บางลำยังพอเห็นเป็นโครง แต่ส่วนใหญ่ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนดูไม่ออกว่าเป็นเรือหรือเป็นกองฟืน หมอกสีเทาจางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหมือนวิญญาณไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวมันโคตรจะอ้างว้างและน่าขนหัวลุก
“ไอ้เรเวน! ไอ้บรอค! ไอ้กริฟฟิน! พวกมึงอยู่ไหนกันวะ!?” ไครอสพยายามตะโกนแหกปากเรียกชื่อเพื่อนร่วมทีม แต่เสียงที่ออกมาแม่งเบาหวิวเหมือนเสียงกระซิบ ความทรงจำสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบไปคือภาพเกาะเหี้ยนั่นกำลังถล่ม เสียงคำรามของไอ้ตัวพิทักษ์บ้านั่นยังก้องอยู่ในหู และภาพที่ทุกคนกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
หัวใจของเขากระตุกวูบ ความกลัวและความสิ้นหวังเริ่มเกาะกิน “ฉิบหาย… พวกมันจะเป็นยังไงบ้างวะ…” การต้องอยู่คนเดียวในสถานที่บ้าๆ แบบนี้มันบีบหัวใจจนแทบจะหายใจไม่ออก “กูจะรอดไปได้ยังไงคนเดียววะเนี่ย!”
เขาพยายามข่มความกลัว รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่พอจะมี ค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ทุกข้อต่อในร่างกายแม่งส่งเสียงกรอบแกรบประท้วง แต่เขาก็กัดฟันสู้ ดาบเหล็กกล้าเล่มใหม่ที่ลีอาน่าให้มายังคงเหน็บอยู่ที่เอว มันเป็นเหมือนเครื่องรางชิ้นสุดท้ายที่ทำให้เขายังพอมีความหวังอยู่บ้าง
ก่อนจะทำเหี้ยอะไรต่อไป สัญชาตญาณนักสู้ที่เฉียดตายมาไม่รู้กี่ครั้งสั่งให้เขาเช็คสถานะตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก “ระบบ…ไอ้หน้าหี… แสดงสถานะตัวละครกูเดี๋ยวนี้!”
Interface ข้อมูลตัวละครปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเขา สั่นไหวน้อยๆ เหมือนสัญญาณในพื้นที่จะไม่ค่อยดี:
Character Status: Kairos
Race: Human
Class: Swordsman (นักดาบ) – (สถานะ: ไอ้สัส! ทักษะดีๆ กูหายไปไหนหมดวะ!)
Level: 135 (ลดลงชิบหาย จากเดิม ~260+ – แม่งเอ๊ย! โดน PK หมู่ใน Raid แล้วยังซวยซ้ำซวยซ้อนอีก)
HP: 350/1850 (ต่ำสัส! อีกนิดเดียวก็ม่องแล้ว!)
Core Stats: (สถานะปัจจุบัน / ค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น ณ เลเวลนี้ – กูอ่อนแอลงขนาดนี้เลยเหรอวะ!)
Status Ailments:
Equipment:
Skills:
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” ไครอสแทบจะเขวี้ยง Interface สถานะทิ้งเมื่อเห็นข้อมูลทั้งหมด แม้จะไม่เลวร้ายเท่าไอ้นักบวชดวงซวยคนนั้นที่โดนไอ้เร็กซ์มันดูดเวลซะเกือบเกลี้ยง หรือชะตากรรมของเอซที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง แต่การสูญเสียเลเวลไปกว่าครึ่ง ค่าพลังหลักที่ลดฮวบจนน่าใจหาย แถมสกิลดีๆ ที่เคยใช้หากินก็ถูกล็อคจนแทบไม่เหลืออะไร มันก็ยังเป็นความสูญเสียที่โคตรจะหนักหนาสาหัส “ค่าพลังกูต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้เลยเหรอวะ!” เขากัดฟันกรอด “อย่างน้อย…ก็ยังไม่ถึงกับต้องไปเริ่มเก็บเวลกับสไลม์ใหม่ทั้งหมด” เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แต่ในใจแม่งโคตรจะหดหู่ “แต่ด้วยสภาพกากๆ แบบนี้ การจะรอดชีวิตในเกาะผีสิงนี่…แม่งไม่ง่ายเลยว่ะ”
หลังจากสบถด่าโชคชะตาและสภาพตัวเองจนพอใจ (หรือไม่พอใจก็ไม่รู้) ไครอสก็ลองเปิด Interface ช่องเก็บของ (Inventory) ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลง “ระบบ… ช่องเก็บของกู… มีเหี้ยอะไรเหลือบ้างวะ”
Interface ช่องเก็บของปรากฏขึ้น โล่งโจ้งจนแทบจะเห็นวิญญาณปู่ย่าตายายลอยผ่าน ไอเทมฟื้นฟู HP, MP ที่เคยมีติดตัวไว้บ้างก็หายหัวไปหมด สงสัยจะดรอปกระจายตอนโดนซัดกระเด็นหรือตอนตายห่าใน Raid นั่นแหละ อาหารกับน้ำสำรองก็เหลือแค่หยิบมือ ไม่พอจะประทังชีวิตในแดนเถื่อนนี่ได้นานแน่
สิ่งที่ยังพอมีบุญเหลืออยู่บ้างก็คือ:
“ให้ตายเถอะโรบิ้น! แทบจะไม่เหลือส้นตีนอะไรให้กูใช้เลยนี่หว่า!” ไครอสแทบจะทุบ Interface ช่องเก็บของทิ้ง เขาเคยเป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ มีไอเทมเต็มคลังแสง แต่วันนี้…แม่งเหมือนขอทานข้างถนน ความรู้สึกเหมือนถูกแก้ผ้าประจานกลางตลาดนัดมันจุกอกจนพูดไม่ออก
เขาสะบัดหัวไล่ความสิ้นหวัง พยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน “ต้องหาที่ซุกหัวนอน… แล้วก็… หาอะไรแดกกับน้ำซักหน่อย” เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิง สัญชาตญาณมันร้องเตือนว่าที่นี่แม่งโคตรอันตราย ขืนอยู่นานๆ ได้กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้แถวนี้แน่
ไครอสเริ่มย่องตอดสำรวจไปตามชายหาดอย่างระมัดระวัง ดวงตาคมกริบกวาดมองหาเพื่อนร่วมทีม หรืออย่างน้อยก็อะไรที่พอจะแดกได้ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงอีกครั้ง ลมทะเลพัดโกรกจนขนลุกซู่ หอบเอาไอเย็นชื้นๆ มาปะทะหน้า ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงไขกระดูก
ทันใดนั้น! สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรอยตีนประหลาดบนผืนทรายที่เปียกชื้น มันไม่ใช่รอยตีนคนแน่ๆ แต่เป็นรอยก้ามปูขนาดมหึมาที่กดลึกลงไปในทราย ทิ้งร่องรอยน่าขนลุกไว้เป็นทางยาวหายลับเข้าไปในดงโขดหินเบื้องหน้า “ฉิบหายแล้ว… หรือว่า… ไอ้พวกปูหินบ้านั่นมันตามกูมาถึงนี่!?” ความคิดนั้นทำให้เส้นผมบนหัวเขาลุกชัน
ไครอสรีบจ้ำอ้าวให้เร็วขึ้นอีกนิด พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่น่าจะเป็นรังของพวกมัน เขามองเห็นถ้ำเล็กๆ ถ้ำหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังโขดหินขนาดใหญ่ มันดูมืดตึ๊ดตื๋อและน่ากลัวสัสๆ แต่ก็ยังดีกว่ายืนรอให้ปูยักษ์มาหนีบหัวเล่นกลางแจ้งแบบนี้
ขณะที่เขากำลังจะมุดหัวเข้าไปในถ้ำนั่นเอง หูของเขาก็แว่วได้ยินเสียงประหลาด… มันไม่ใช่เสียงคลื่นหรือเสียงลม แต่เป็นเสียงครืดคราดเบาๆ เหมือนมีใครเอาเหล็กมาขูดกัน ดังมาจากข้างในถ้ำ
หัวใจของไครอสหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ใครวะ… หรือตัวเหี้ยอะไรอีกวะเนี่ย…” เขาชักดาบออกมาจากฝักอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณสั่งให้เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดถูกลืมไปชั่วขณะ เหลือเพียงความตื่นตัวและสัญชาตญาณดิบเถื่อน
เขาค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ปากถ้ำเหมือนแมวขโมย พยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดเข้าไปข้างใน…
แสงสลัวๆ จากภายนอกที่เล็ดลอดเข้าไป เผยให้เห็นเงาตะคุ่มของอะไรบางอย่างกำลังขยับยุกยิกอยู่ข้างใน… แม่ง! ไม่ใช่สัตว์อสูรว่ะ… แต่ดูเหมือน… ร่างคน!
“ใครวะนั่น!?” ไครอสตะโกนถามออกไป เสียงของเขาสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบสงัดของถ้ำ
เงาร่างนั้นหยุดกึกไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมาด้วยความประหลาดใจระคนดีใจอย่างสุดขีด…
“ไครอส! ไอ้สัส! นั่นมึงจริงๆ เหรอวะ!?”
เสียงนั้น… ไอ้เหี้ย! เสียงคุ้นๆ นี่มัน…
ไครอสเบิกตากว้าง ไอ้เสียงห้าวๆ คุ้นหูแบบนี้มัน… “บรอค!? ไอ้ห่าบรอค! มึงจริงๆ เหรอวะ!?”
เงาร่างนั้นค่อยๆ ขยับออกมาจากความมืด เผยให้เห็นร่างกำยำของนักรบขวานคู่ที่เนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างจากเขา ชุดเกราะหนังที่เคยดูแข็งแรงบัดนี้มีรอยครูดและรอยไหม้เป็นหย่อมๆ ขวานเหล็กคู่ใจของมันวางพิงอยู่ข้างผนังถ้ำ ใบหน้าของบรอคมีรอยถลอกและคราบเลือดแห้งกรัง แต่ดวงตาของมันกลับเป็นประกายด้วยความดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นไครอส
“เออ! กูนี่แหละ! ไอ้สัสเอ๊ย! นึกว่ามึงจะกลายเป็นปุ๋ยทะเลไปซะแล้ว!” บรอคตะโกนลั่น ก่อนจะเดินโซซัดโซเซเข้ามาตบไหล่ไครอสอย่างแรงจนนักดาบหนุ่มแทบจะทรุด “แม่ง! ดีใจฉิบหายเลยว่ะที่เจอมึง! แล้วไอ้กริฟฟินกับไอ้เรเวนล่ะ? มึงเห็นพวกมันบ้างรึเปล่า?”
ไครอสส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง “ไม่เลยว่ะ… กูตื่นมาก็อยู่คนเดียวบนหาดนั่นแล้ว… นึกว่าพวกมึงจะตายห่ากันหมดแล้วซะอีก” ความโล่งใจที่ได้เจอเพื่อนร่วมทีมอย่างน้อยหนึ่งคนมันเอ่อล้นขึ้นมาจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็พยายามข่มมันไว้
“กูกับไอ้กริฟฟินโดนน้ำซัดแยกกันไปคนละทางว่ะ” บรอคเล่าพลางทำหน้าแหย “กูเกยตื้นอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ ส่วนไอ้กริฟฟิน… แม่ง! ไม่รู้ชะตากรรมมันเลยว่ะ พยายามตะโกนเรียกหามันตั้งนานก็ไม่มีเสียงตอบ” สีหน้าของบรอคหมองลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงกริฟฟิน
“แล้วเรเวนล่ะ?” ไครอสถามถึงชายหนุ่มผู้เงียบขรึม ความหวังเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจ
บรอคส่ายหน้า “ไม่เห็นเงาหัวมันเลยว่ะ ตั้งแต่เกาะแม่งเริ่มถล่ม กูก็ไม่เห็นมันอีกเลย ไม่รู้ว่ามันจะรอดไปได้รึเปล่า ไอ้หมอนั่นมันลึกลับจะตายห่า บางทีอาจจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวแล้วก็ได้ใครจะไปรู้” น้ำเสียงของบรอคแฝงความไม่พอใจเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
ไครอสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แม้ในใจจะยังคงกังวลถึงชะตากรรมของเรเวนและกริฟฟิน แต่การได้เจอบรอคก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเขาในรอบหลายวันที่ผ่านมา “แล้วมึงมาทำอะไรในถ้ำนี้วะ? เจออะไรบ้างรึเปล่า?”
“กูก็หาที่ซุกหัวนอนเหมือนมึงนั่นแหละ” บรอคตอบพลางชี้ไปยังกองไฟเล็กๆ ที่ก่อขึ้นอย่างหยาบๆ อยู่กลางถ้ำ ควันไฟลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปตามรอยแยกบนเพดาน “ข้างในนี้พอจะกันลมกันฝนได้บ้าง แล้วก็… กูกำลังพยายามจะย่างไอ้ตัวเหี้ยนี่อยู่” เขาชี้ไปยังซากของครัสเตเซียนศิลาขนาดเล็กตัวหนึ่งที่ถูกทุบเปลือกจนแตกละเอียด กลิ่นไหม้จางๆ ของเนื้อที่ถูกย่างเริ่มส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“มึงไปล่ามันมาได้ยังไงวะ? ด้วยสภาพกากๆ ของพวกเราเนี่ยนะ?” ไครอสถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ก็ไม่เชิงว่าล่าหรอกว่ะ” บรอคหัวเราะแหะๆ “กูเดินๆ มาแล้วแม่งก็คลานออกมาจากซอกหินพอดี กูเลยเอาขวานฟาดหัวแม่งไปทีนึง กะว่าถ้ามันไม่ตายกูก็คงตายแทน ปรากฏว่ามันดันเป็นตัวเล็กที่ยังไม่โตเต็มที่ เปลือกแม่งยังไม่แข็งเท่าไหร่ เลยพอจะทุบให้ตายได้ แต่ก็เล่นเอากูเหนื่อยหอบเหมือนกันว่ะ”
ไครอสมองซากปูหินย่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหิวโหย ท้องของเขาร้องประท้วงเสียงดังโครกคราก “ขอกูแดกด้วยได้ไหมวะ? กูไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้ว”
“เออ! เอาเลยเพื่อน! กูก็ทำไว้เผื่อพวกมึงนั่นแหละ!” บรอคฉีกเนื้อปูหินย่างชิ้นโตส่งให้ไครอสอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองคนนั่งลงข้างกองไฟ แบ่งปันเนื้อปูหินย่างที่แม้จะเหนียวและมีกลิ่นคาวเล็กน้อย แต่ในยามนี้มันก็อร่อยราวกับอาหารทิพย์ พวกเขากินกันอย่างมูมมามราวกับอดอยากมานานหลายปี ความอบอุ่นจากกองไฟและอาหารที่ตกถึงท้องช่วยให้เรี่ยวแรงของพวกเขากลับคืนมาบ้างเล็กน้อย
“แล้วเราจะเอายังไงต่อวะ?” บรอคถามขึ้นหลังจากที่จัดการกับอาหารมื้อแรกในรอบหลายวันจนหมดเกลี้ยง “จะปักหลักอยู่ที่นี่ หรือจะออกตามหาคนอื่น?”
ไครอสเคี้ยวเนื้อปูคำสุดท้ายอย่างช้าๆ ดวงตาของเขามองออกไปยังปากถ้ำที่มืดมิด “กูว่า… เราควรจะออกตามหาพวกเขาก่อน อย่างน้อยก็ต้องรู้ให้ได้ว่ากริฟฟินกับเรเวนเป็นตายร้ายดียังไง แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงกับไอ้ภารกิจบ้านั่นต่อ”
“กูก็คิดเหมือนมึงว่ะ” บรอคพยักหน้าเห็นด้วย “ปล่อยเพื่อนไว้ข้างหลังมันไม่ใช่สันดานของพวกเรา”
แม้หนทางข้างหน้าจะยังคงมืดมนและเต็มไปด้วยอันตราย แต่การได้พบเพื่อนร่วมทีมอีกครั้งก็ทำให้ไครอสรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย… เขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในนรกแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่กระเพาะได้รับอาหารหยาบๆ อย่างเนื้อปูหินย่างเข้าไปพอประทังความหิวโหย ไครอสกับบรอคก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่เคยหดหายไปจนแทบจะยืนไม่ไหว มันค่อยๆ กลับคืนมาบ้าง แม้จะไม่เต็มร้อยเหมือนเก่า แต่ก็พอจะลากสังขารเน่าๆ นี่ออกไปผจญภัยในแดนเถื่อนนี่ต่อได้
“เอาล่ะ ไอ้สัสบรอค มัวโอ้เอ้เหี้ยอะไรอยู่ รีบไปกันได้แล้ว” ไครอสเอ่ยปากเร่งเพื่อนนักรบขวานคู่ที่กำลังนั่งลับคมขวานเหล็กคู่ใหม่ของมันอยู่ข้างกองไฟที่เริ่มจะมอดลง “ขืนชักช้า ไอ้กริฟฟินมันอาจจะกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้แถวนี้ไปแล้วจริงๆ ก็ได้”
“เออๆ รู้แล้วน่า! ไอ้ห่า มึงก็ใจร้อนเป็นไฟไปได้” บรอคสบถพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายกำยำของมันยังคงดูน่าเกรงขามแม้จะอยู่ในสภาพมอมแมมและบาดเจ็บ “แต่กูบอกไว้ก่อนนะเว้ย ถ้าเจอตัวเหี้ยอะไรโหดๆ โผล่มาอีก กูไม่รับประกันนะว่าจะแบกมึงหนีไหว สภาพมึงตอนนี้แม่งดูเปราะยิ่งกว่าแก้วซะอีก”
“หุบปากมึงไปเลยไอ้สัส” ไครอสสวนกลับอย่างหัวเสีย แต่ในใจก็แอบเห็นด้วยกับคำพูดของบรอค “กูดูแลตัวเองได้น่า อย่างน้อยก็ไม่ถ่วงให้มึงต้องมาตายด้วยหรอก”
ทั้งสองคนดับกองไฟอย่างลวกๆ กลบเกลื่อนร่องรอยเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากถ้ำที่ใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราวอย่างระมัดระวัง แสงสลัวๆ ยามเช้า (หรืออาจจะเป็นเย็นย่ำก็ไม่อาจทราบได้ในสถานที่บ้าๆ นี่) ที่ลอดผ่านม่านหมอกหนาทึบลงมา ส่องให้เห็นภาพสุสานเรืออับปางอันกว้างใหญ่และน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม ซากเรือน้อยใหญ่กองทับถมกันระเกะระกะราวกับเป็นผลงานศิลปะสุดวิปลาสของซาตาน โครงเหล็กขึ้นสนิมบิดเบี้ยวเสียดแทงขึ้นฟ้าเหมือนกระดูกของอสูรกายโบราณ กลิ่นเค็มของทะเล กลิ่นสนิม และกลิ่นเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิตที่ตายทับถมกันมานานนับศตวรรษ มันรุนแรงจนแทบจะทำให้ไส้ติ่งแตก
“แม่งเอ๊ย… มองไปทางไหนก็มีแต่ซากกับซาก” บรอคบ่นอุบพลางใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อที่ซึมออกมาตามไรผม “แล้วเราจะเริ่มหาพวกมันจากตรงไหนวะเนี่ย? ที่นี่แม่งกว้างยังกับสนามฟุตบอลสิบสนามรวมกัน”
“กูว่าเราลองเดินเลาะไปตามแนวชายหาดก่อนดีไหม?” ไครอสเสนอ “ถ้าไอ้กริฟฟินมันโดนซัดมาเกยตื้นเหมือนพวกเรา มันก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละ ส่วนไอ้เรเวน… แม่ง! รายนั้นกูเดาใจไม่ถูกจริงๆ ว่ะ มันอาจจะไปโผล่ที่ไหนก็ได้ หรือบางที… อาจจะไม่ได้อยากให้พวกเราเจอตัวมันอีกเลยก็ได้” แววตาของไครอสฉายความไม่ไว้ใจออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงท่าทีลึกลับของเรเวน
“เออ กูก็ว่างั้นแหละ ไอ้หมอนั่นมันน่าสงสัยชิบหาย” บรอคพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “แต่ยังไงซะ มันก็เป็นคนพาพวกเรามาซวยที่นี่ ถ้ามันยังไม่ตาย กูก็อยากจะลากคอมันมาถามให้รู้เรื่องเหมือนกันว่าไอ้ ‘ของกำนัล’ ที่มันพูดถึงแม่งคุ้มกับที่พวกเราต้องมาเจอเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้รึเปล่า!”
ทั้งสองคนเริ่มออกเดินเลาะไปตามแนวชายหาดที่เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคมและเศษซากปรักหักพัง พวกเขาก้าวเดินอย่างระมัดระวัง พยายามหลีกเลี่ยงจุดที่ดูเหมือนจะเป็นรังของพวกครัสเตเซียนศิลา และคอยสอดส่ายสายตามองหาเบาะแสของเพื่อนร่วมทีม หรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
“เฮ้ย! ไครอส! ดูนั่น!” บรอคชี้ไปยังซากเรือลำหนึ่งที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยอยู่บนหาดทราย มันเป็นเรือประมงขนาดเล็กที่ผุพังจนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี แต่ที่น่าสนใจคือ มีร่องรอยของการต่อสู้บางอย่างปรากฏอยู่บริเวณนั้นอย่างชัดเจน รอยเลือดสีคล้ำสาดกระเซ็นอยู่บนพื้นทราย และมีเศษชิ้นส่วนของ… เปลือกปูหิน!
“หรือว่า… ไอ้กริฟฟินมันอาจจะมาถึงที่นี่ก่อนเรา?” ไครอสพึมพำ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความหวังระคนกังวล “มันอาจจะปะทะกับไอ้พวกปูบ้านั่นแถวนี้ก็ได้”
ทั้งสองคนรีบวิ่งเข้าไปตรวจสอบบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว บรอคใช้ขวานของเขางัดแงะซากเรือที่กีดขวางทาง ส่วนไครอสก็ก้มลงสำรวจรอยเลือดและร่องรอยการต่อสู้อย่างละเอียด
“รอยเลือดนี่มันยังใหม่อยู่ว่ะ” ไครอสกล่าวหลังจากใช้ปลายนิ้วสัมผัสคราบเลือดที่ยังไม่แห้งสนิท “แสดงว่าเหตุการณ์มันเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าไหร่”
“แล้วไอ้กริฟฟินมันอยู่ไหนวะ?” บรอคถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย “มันจะโดนไอ้พวกปูหินลากไปแดกแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้!”
ทันใดนั้น! เสียงร้องคำรามแหบโหยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของซากเรือลำนั้น!
“ไอ้เหี้ย! มันมาแล้ว!” บรอคตะโกนลั่น พร้อมกับยกขวานขึ้นเตรียมรับมือ
ครัสเตเซียนศิลาสองตัวโผล่ออกมาจากเงามืดของซากเรือ ดวงตาสีเหลืองขุ่นของพวกมันจับจ้องมาที่ไครอสและบรอคอย่างกระหายเลือด ก้ามเหล็กขนาดมหึมาของพวกมันเงื้อขึ้นพร้อมที่จะบดขยี้เหยื่อผู้โชคร้าย ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับอสูรปู ซึ่งเป็นผลจากการวิเคราะห์ของกริฟฟินโดยใช้ ‘คัมภีร์นักสำรวจ’ และได้แชร์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ปรากฏขึ้นใน Interface ของ Scan Gear ซึ่งผสานเข้ากับการรับรู้ของไครอสโดยตรง—แถบ HP สีเหลืองของพวกมันดูเหมือนจะอยู่ที่ประมาณ 800-950 HP ต่อตัว ซึ่งถือว่าเยอะฉิบหายสำหรับสภาพของพวกเขาในตอนนี้
“แม่งเอ๊ย! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะพวกมึง!” ไครอสสบถพลางชักดาบออกมาจากฝัก แม้สภาพร่างกายและค่าพลังจะยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ แต่สัญชาตญาณนักสู้ของเขาก็ยังคงเฉียบคม
การปะทะกันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและดุเดือด! ไครอสอาศัยความคล่องแคล่วที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้างในการหลบหลีกก้ามที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรง ก่อนจะหาจังหวะสวนกลับด้วยการแทงดาบเข้าที่ข้อต่อระหว่างเปลือกของมันอย่างแม่นยำ ตัวเลขความเสียหายสีขาวซีดๆ ปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเขา DMG: 28! แต่ด้วยพลังโจมตีที่ลดลงอย่างมาก ทำให้ดาบของเขาแทบจะไม่สามารถทะลวงผ่านเกราะหินที่หนาเตอะของมันเข้าไปได้ สร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ไอ้สัส! แข็งชิบหาย!” ไครอสคำรามอย่างหัวเสียเมื่อเห็นดาบของตัวเองแทบจะทำอะไรมันไม่ได้ แถบ HP ของอสูรปูแทบจะไม่กระดิก
“หลบไป! กูจัดการเอง!” บรอคตะโกนลั่น ก่อนจะใช้สกิล [กระแทกโล่] (ที่ตอนนี้กลายเป็นกระแทกด้วยขวานแทน) พุ่งเข้าใส่ครัสเตเซียนศิลาตัวหนึ่งอย่างเต็มแรง แม้จะไม่มีโล่ แต่แรงปะทะจากร่างกายที่กำยำและน้ำหนักของขวานก็ยังคงรุนแรงพอที่จะทำให้มันเสียหลักและเซถอยหลังไปได้เล็กน้อย เปิดโอกาสให้บรอคใช้ขวานอีกข้างสับเข้าที่ข้อต่อใต้ท้องของมันอย่างจัง! DMG: 185! ตัวเลขสีแดงเข้มปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน!
“อ๊ากกก!” อสูรปูร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันพลิกหงายท้อง เผยให้เห็นส่วนท้องที่อ่อนนุ่มและไร้การป้องกัน บรอคไม่รอช้า กระโดดตามเข้าไปสับขวานลงบนจุดอ่อนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า DMG: 210! DMG: 198! เลือดสีเขียวคล้ำทะลักออกมาเปรอะเปื้อนพื้นทราย แถบ HP ของมันลดลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่บรอคกำลังจัดการกับอสูรปูตัวแรกอยู่นั้น ครัสเตเซียนศิลาอีกตัวก็พุ่งเข้าใส่ไครอสจากทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว! ไครอสเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่ก้ามของมันก็ยังคงเฉี่ยวเข้าที่แขนซ้ายของเขาจนเกิดเป็นรอยแผลยาวเหวอะหวะ เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาทันที! Interface สถานะของไครอสแจ้งเตือน HP: 275/1850!
“อึ่ก! ไอ้เวรเอ๊ย!” ไครอสกัดฟันกรอด ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วแขน แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดสู้ต่อไป เขาใช้จังหวะที่มันกำลังจะโจมตีซ้ำ พุ่งตัวเข้าประชิดแล้วใช้ดาบแทงเข้าที่ดวงตาสีเหลืองขุ่นของมันอย่างเต็มแรง! CRITICAL HIT! DMG: 155!
“แกร๊งงงง!” เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังลั่น อสูรปูร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดขีด ดวงตาข้างหนึ่งของมันแตกละเอียด ของเหลวสีเขียวข้นไหลทะลักออกมา มันสะบัดหัวอย่างบ้าคลั่งพยายามจะสลัดไครอสออก แต่เขาก็ยังคงกำด้ามดาบไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย!
“ตายซะเถอะมึง! ไอ้ปูนรก!” ไครอสคำรามลั่น ก่อนจะออกแรงบิดดาบที่ปักคาดวงตาของมันอย่างสุดกำลัง! DMG: 90!
ในที่สุด! ร่างของครัสเตเซียนศิลาตัวนั้นก็หยุดนิ่ง แถบ HP ของมันกลายเป็นศูนย์ มันล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว [+350 EXP (ลดลง 50% จากผลกระทบ Repeated Death Trauma)] เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นใน Interface ของไครอสพร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบเล็กน้อย ซากของมันยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้สลายหายไปเหมือนในเกมบางเกม แต่กลับมีวัตถุทรงกลมสีเทาๆ ก้อนหนึ่งหล่นออกมาจากรอยแตกบนเปลือกของมัน
ไครอสทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง หอบหายใจอย่างหนักหน่วง เหงื่อท่วมตัว แผลที่แขนซ้ายยังคงเจ็บแปลบไม่หาย บรอคที่เพิ่งจะจัดการกับอสูรปูตัวแรกเสร็จ (ซากของมันก็นอนแน่นิ่งอยู่ไม่ไกล [+700 EXP] สำหรับบรอค) ก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการเพื่อน
“ไอ้ไครอส! มึงเป็นยังไงบ้างวะ!?” บรอคถามด้วยความเป็นห่วง “แม่ง! เลือดออกเยอะชิบหายเลยนี่หว่า! รีบเอาผ้าพันแผลมาอุดเร็ว!”
ไครอสพยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง ก่อนจะหยิบเศษผ้าพันแผลที่เหลืออยู่น้อยนิดออกมาจากช่องเก็บของแล้วส่งให้บรอคช่วยพันแผลให้ “ขอบใจว่ะ…แม่ง…เกือบไปแล้วกู”
“เออ! ไม่เป็นไรเพื่อน!” บรอคพูดพลางพันแผลให้ไครอสอย่างคล่องแคล่ว พลางเหลือบไปเห็นก้อนสีเทาๆ ที่ตกอยู่ข้างซากปูตัวที่ไครอสฆ่า “เฮ้ย! นั่นมัน ‘แก่นศิลา (Stone Core)’ นี่หว่า! ไอ้เหี้ย! ของดีเลยนะเว้ย! รีบเก็บเร็ว!” เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองซากปูทั้งสองตัว “เดี๋ยวก่อน… ซากพวกนี้แม่งยังอยู่เลยนี่หว่า ลองดูซิว่ามีอะไรพอจะแงะไปขายได้บ้าง”
บรอคเดินไปที่ซากครัสเตเซียนศิลาตัวที่เขาทุบจนตาย เขาใช้ขวานลองเคาะๆ ที่เปลือกแข็งของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกแรงงัดอย่างเต็มที่ เคร้ง! เสียงเปลือกส่วนหนึ่งแตกออก เผยให้เห็นเนื้อปูสีขาวขุ่นที่ยังดูสดใหม่อยู่ข้างใน “โอ้โห! เนื้อปูหิน! แม่ง! เอาไปทำเสบียงได้นี่หว่า!” เขาพูดอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มลงมือชำแหละอย่างชำนาญ ได้ [เนื้อปูหิน (Crustecean Meat) x5] และ [เศษเปลือกแข็ง (Hard Shell Fragment) x3] มาใส่ช่องเก็บของ
ไครอสที่พอจะหายใจหายคอได้บ้างแล้วก็เดินไปดูซากปูตัวที่เขาจัดการ เขาใช้ดาบงัดแงะดูบ้าง ก็ได้ [เนื้อปูหิน (Crustecean Meat) x4] และ [ก้ามปูหิน (Stone Pincer) x1] ซึ่งดูเหมือนจะเป็นชิ้นส่วนที่ค่อนข้างสมบูรณ์และน่าจะมีราคาดี
“ไอ้เหี้ย! อย่างน้อยก็ไม่เสียแรงเปล่าวะ!” บรอคหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ได้ทั้ง EXP ได้ทั้งของ เอาไปขายที่ไซฟาร์น่าจะได้หลายตังค์อยู่ หรือจะเก็บไว้ใช้เองก็ได้ แต่ตอนนี้… กูว่าที่นี่แม่งไม่ปลอดภัยแล้วว่ะ ไอ้พวกปูบ้านี่มันอาจจะยกโขยงกันมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่!”
“แล้วกริฟฟินล่ะวะ?” ไครอสถามขึ้น ดวงตาของเขามองไปยังซากเรือที่พวกเขาเพิ่งจะต่อสู้กันเมื่อครู่ “มันอาจจะยังอยู่แถวนี้ก็ได้”
“กูว่า…ลองตะโกนเรียกชื่อมันดูอีกทีดีไหมวะ?” บรอคเสนอ “เผื่อมันจะได้ยิน”
ไครอสพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี ตะโกนออกไปสุดเสียง…
“กริฟฟินนนนน! มึงอยู่แถวนี้รึเปล่าาาาา! ถ้าอยู่ก็ตอบกูด้วยยยยยย!”
เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ แต่ก็มีเพียงเสียงคลื่นและเสียงลมที่ตอบกลับมา…
หรือว่า…
ทันใดนั้น! พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง… มันไม่ใช่เสียงของธรรมชาติ… แต่เป็นเสียง… เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดแว่วมาจากทางด้านในของซากเรือลำนั้น!
“เสียงอะไรวะ!?” บรอคเบิกตากว้าง
“หรือว่าจะเป็น…กริฟฟิน!?” ไครอสอุทานออกมา หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง!
“เสียงอะไรวะ!?” บรอคเบิกตากว้าง หันขวับไปยังทิศทางของเสียงร้องครวญครางที่แว่วมาจากด้านในซากเรือลำนั้น สัญชาตญาณนักรบของมันตื่นตัวเต็มที่ ขวานในมือถูกกระชับแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
“หรือว่าจะเป็น…กริฟฟิน!?” ไครอสอุทานออกมา หัวใจของเขาเต้นโครมครามด้วยความหวังระคนหวาดหวั่น ไอ้เสียงโหยหวนเมื่อครู่มันฟังดูทรมานเหลือเกิน ถ้าเป็นกริฟฟินจริงๆ สภาพของมันคงจะดูไม่จืดแน่
“ต้องเข้าไปดู!” ไครอสตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะยังอ่อนล้าและบาดแผลที่แขนยังคงปวดแปลบ แต่ความเป็นห่วงเพื่อนมันมีมากกว่า “มึงไหวแน่นะบรอค?”
“เออ! เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย!” บรอคตบหน้าอกตัวเองป้าบๆ แม้สีหน้าจะยังคงซีดเผือด “ถ้าไอ้กริฟฟินมันยังไม่ตายห่า กูก็ต้องลากคอมันออกมาให้ได้!”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้กันด้วยสายตา ก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าไปในซากเรือลำนั้นอย่างระมัดระวังที่สุด ดาบของไครอสและขวานของบรอคถูกยกขึ้นเตรียมพร้อม ปากทางเข้าสู่ตัวเรือด้านในมืดทึบและแคบกว่าที่คิด กลิ่นอับชื้นของไม้ผุพังและกลิ่นสนิมเหล็กผสมกับกลิ่นคาวเลือดจางๆ มันรุนแรงเสียจนแทบจะสำลัก
“แม่ง! เหม็นบรรลัยเลยว่ะ” บรอคกระซิบเสียงต่ำ พลางใช้แขนเสื้อปิดจมูก
ไครอสไม่ได้ตอบอะไร เขาเพ่งสมาธิไปที่การรับฟังเสียงจากด้านใน และพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด แสงสลัวๆ จากภายนอกที่ลอดผ่านรูโหว่บนผนังเรือ ส่องให้เห็นทางเดินแคบๆ ที่ทอดลึกลงไปในตัวเรือ มันดูเหมือนจะเป็นส่วนท้องเรือที่ใช้เก็บสินค้าในอดีต แต่ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยเศษซากไม้ที่หักพังระเกะระกะ และ… กองกระดูก!
“ไอ้เหี้ย… นี่มันรังของตัวเหี้ยอะไรวะเนี่ย” บรอคพึมพำเสียงสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นกองกระดูกมนุษย์และสัตว์ปะปนกันอยู่ตามมุมมืด บางชิ้นยังมีเศษเนื้อเน่าๆ ติดอยู่ ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนแทบจะอ้วก
เสียงร้องครวญครางแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันชัดเจนขึ้น และดูเหมือนจะมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของท้องเรือ
“กริฟฟิน! ใช่เสียงมึงรึเปล่าวะ!?” บรอคตะโกนถามออกไปอย่างร้อนรน
เงียบ… ไม่มีเสียงตอบกลับมานอกจากเสียงลมหวีดหวิวที่ลอดผ่านรูโหว่ของซากเรือ
“หรือว่ากูหูฝาดไปวะ?” บรอคทำหน้าเหวอ
“ไม่หรอก… กูก็ได้ยิน” ไครอสยืนยันเสียงเรียบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล “มันอาจจะบาดเจ็บหนักจนพูดไม่ไหวก็ได้… หรือไม่ก็…”
ยังไม่ทันที่ไครอสจะพูดจบ เสียงครืดคราดหนักๆ ก็ดังขึ้นจากความมืดเบื้องหน้า พร้อมกับเงาดำทะมึนขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา!
มันไม่ใช่ครัสเตเซียนศิลา… แต่มันคือ…
อสูรกายรูปร่างคล้ายมนุษย์ผสมกับแมงมุมยักษ์! ร่างกายของมันผอมเกร็งแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสีดำคล้ำ ผิวหนังหยาบกระด้างราวกับเปลือกไม้แห้ง มีแขนขาที่ยาวผิดส่วนและเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ดวงตาสีแดงก่ำหลายคู่ส่องประกายวาววับในความมืด ปากของมันอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมเรียงรายน่าสะพรึงกลัว และที่น่าขยะแขยงที่สุดคือ ส่วนท้องของมันที่ป่องออกมาเป็นถุงขนาดใหญ่ มีใยเหนียวๆ สีขาวขุ่นห่อหุ้มบางสิ่งบางอย่างที่กำลังดิ้นกระแด่วๆ อยู่ข้างใน!
ข้อมูลจาก ‘คัมภีร์นักสำรวจ’ ที่ไครอสพอจะจำได้ลางๆ (เพราะมันชำรุดไปมาก) ผุดขึ้นในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว… อารัคโนมอร์ฟ (Arachnomorph)… อสูรนักล่าที่ชอบทำรังในที่มืดและอับชื้น… จับเหยื่อด้วยใยเหนียวแล้วค่อยๆ ดูดกินทั้งเป็น!
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย! ตัวเหี้ยอะไรวะเนี่ย!?” บรอคอุทานเสียงหลง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“อารัคโนมอร์ฟ!” ไครอสตะโกนเตือน “ระวังใยมันด้วย! แล้วก็… ไอ้สิ่งที่อยู่ในถุงนั่น…”
ดวงตาของไครอสเบิกกว้างเมื่อสังเกตเห็นเศษชุดเกราะสีน้ำตาลเข้มที่คุ้นตาโผล่ออกมาจากใยเหนียวๆ ที่ห่อหุ้มร่างในถุงนั้น… มันคือชุดเกราะของกริฟฟิน!
“กริฟฟิน! ไอ้สัส! มึงยังไม่ตายใช่ไหม!?” บรอคตะโกนลั่นด้วยความตกใจและโกรธแค้นสุดขีด
อารัคโนมอร์ฟตัวนั้นหันมามองพวกเขาด้วยดวงตาทุกคู่ ก่อนจะส่งเสียงขู่คำรามแหบพร่าออกมาจากลำคอ แล้วพุ่งเข้าใส่ทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว!
“หลบเร็ว!” ไครอสตะโกนพลางผลักบรอคให้พ้นจากเส้นทางที่มันพุ่งเข้ามา ก่อนที่ตัวเองจะม้วนตัวหลบกรงเล็บแหลมคมที่ตวัดผ่านไปอย่างเฉียดฉิว!
การต่อสู้ครั้งใหม่ที่เดิมพันด้วยชีวิตของเพื่อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในท้องเรือมรณะแห่งนี้!
Chapters
Comments
- ตอนที่ 21 แสงยามค่ำคืนและเงื่อนงำในความทรงจำ 2 วัน ago
- ตอนที่ 20 เสียงสะท้อนในหอศิลป์ลอยฟ้า 2 วัน ago
- ตอนที่ 19 รอยแผลในความทรงจำ 2 วัน ago
- ตอนที่ 18 ราชโองการ เปลวสงคราม และพันธมิตรใหม่ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 17 ตัวตนของเรเวน พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 16 สังเวยเลือดอัญเชิญอสูร พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 15 สามก๊กสังหาร ณ สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 14 ร่องรอยเลือด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 13 เทียบท่า...สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 12 การเดินทางอันตรายสู่เกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 11 คำเตือนจากเงามืด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 10 ฝ่าคมเขี้ยวอสูรแมงมุม พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 9 เสียงเพรียกจากเกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 8 เสียงกระซิบจากซากเรือรบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 7 เงื่อนงำในม่านหมอก พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 6 พันธสัญญาแห่งการเริ่มต้น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 5 เมื่อความตายไม่ใช่จุดจบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 4 อเวจีในเศษซากวิญญาณ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 3 ก้นบึ้งแห่งความมืดมิด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 2 การทรยศกลางเปลวเพลิง พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 1 เงาในหมู่ผู้เล่น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำการแตกสลาย (Rewrite) พฤษภาคม 30, 2025
MANGA DISCUSSION