ตอนที่ 7 เงื่อนงำในม่านหมอก
คำพูดทิ้งท้ายของเรเวนยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนในห้องพักอันอับชื้นของโรงเตี๊ยมจันทร์แรม “งานเล็กๆ” ที่มีความเสี่ยงเพื่อแลกกับ “ของกำนัล” สำหรับนักค้าข่าว มันคือประกายไฟแห่งความหวังริบหรี่ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเงื่อนปมที่อาจจะรัดคอพวกเขาให้แน่นขึ้นหากก้าวพลาด
“งานที่ว่า… มันคืออะไรกันแน่?” ลีอาน่าเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังเรเวนอย่างไม่วางตา พยายามอ่านความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยนั้น
เรเวนผินหน้าไปทางหน้าต่างบานเล็กที่มองเห็นแสงไฟสลัวๆ จากตรอกด้านนอก “ทางตะวันตกของไซฟาร์ มีเขตรกร้างที่ถูกทิ้งร้างมานาน เรียกกันว่า ‘สุสานเรืออับปาง (Shipwreck Graveyard)'” เขาเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตำนานเล่าว่ามันเคยเป็นท่าเรือเก่าแก่ที่ถูกภัยพิบัติทางทะเลกลืนกินเมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนนี้มันกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกโจร สัตว์อสูรกลายพันธุ์ และ… สิ่งที่น่ารังเกียจกว่านั้น มันเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยซากเรือและแนวปะการังอันตราย การเดินทางทางบกไปไม่ถึง ต้องอาศัยเรือเท่านั้น”
“แล้วเราจะไปทำอะไรในที่แบบนั้น?” บรอคถามเสียงห้วน แววตาไม่ไว้วางใจ “พวกเราที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้วเนี่ยนะ? จากที่เคยล้มมังกรระดับ 250+ ได้สบายๆ ตอนนี้แค่จะงัดกับปูยักษ์ยังต้องคิดหนักเลยมั้ง! ไปให้พวกมันรุมทึ้งรึไง?” ความขุ่นข้องใจจากการสูญเสียระดับพลังและอุปกรณ์ยังคงฉายชัดในน้ำเสียงของเขา
“ใจเย็นสิ บรอค” วัลคัสปรามพลางวางมือบนไหล่ของนักรบขวานคู่ น้ำเสียงของเขาหนักแน่นแต่ก็แฝงความเข้าใจ “ใช่ พวกเราอ่อนแอลงมาก เลเวลที่เคยสูงลิ่ว อุปกรณ์ระดับตำนานที่เคยมี มันหายไปเกือบหมด แต่ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมามันยังอยู่ ถ้ามีข้อมูลและการวางแผนที่ดี เราก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้”
เรเวนไม่แม้แต่จะชายตามองบรอค “มีข่าวลือแพร่สะพัดในตลาดมืดมาสักพักแล้วว่า มีกลุ่มนักสำรวจกลุ่มหนึ่งบังเอิญไปค้นพบ ‘ประภาคารโบราณ (Ancient Lighthouse)’ ที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางซากเรือเหล่านั้น ว่ากันว่าภายในประภาคารมี ‘แผนที่ดาวโบราณ (Ancient Star Chart)’ ที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนซ่อนอยู่ แผนที่ที่อาจจะนำทางไปสู่ขุมทรัพย์หรือความรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้”
“แผนที่ดาวโบราณ…” เอลาร่าพึมพำ ดวงตาของเธอเป็นประกายวูบหนึ่ง “ของแบบนั้น… ถ้านำไปให้นักค้าข่าวที่เหมาะสม มันอาจจะมีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก โดยเฉพาะนักค้าข่าวที่สนใจเรื่องลึกลับหรือโบราณคดี”
“ถูกต้อง” เรเวนพยักหน้า “แต่กลุ่มนักสำรวจกลุ่มนั้น… หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากที่ข่าวนี้เริ่มแพร่หลาย ไม่มีใครกล้าเข้าไปตามหา เพราะเชื่อกันว่ามี ‘ผู้พิทักษ์ (Guardian)’ บางอย่างคอยคุ้มครองประภาคารนั้นอยู่ หรือไม่ก็… กลุ่มนักสำรวจอาจจะไม่ได้หายไปเฉยๆ แต่อาจจะมีใครบางคน ‘จัดการ’ พวกเขาไปแล้วเพื่อหวังจะครอบครองแผนที่นั้นแต่เพียงผู้เดียว”
“แล้วท่านจะให้พวกเราไปเอาแผนที่นั่นมางั้นรึ?” ลีอาน่าถาม สรุปใจความสำคัญ “มันไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ สำหรับกลุ่มที่เพิ่งจะก่อตั้งและอ่อนแอลงจนแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างพวกเรา? พวกเราส่วนใหญ่สูญเสียระดับพลังไปมากจากเหตุการณ์นั้น จากที่เคยต่อกรกับศัตรูระดับสูง ตอนนี้แม้แต่มอนสเตอร์ระดับกลางๆ ก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ได้”
“ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูงตาม” เรเวนตอบอย่างเย็นชา “และนี่ไม่ใช่แค่การไปเอาแผนที่ แต่เป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วย ถ้าพวกท่านสามารถทำงานนี้สำเร็จได้ ไม่เพียงแต่เราจะได้ ‘ของกำนัล’ ที่มีค่าพอจะเปิดปากนักค้าข่าวได้ แต่ยังเป็นการประกาศให้ ‘บางคน’ ในเมืองนี้รู้ว่า ‘พันธสัญญาผู้ถูกล้างแค้น’ ไม่ใช่แค่ชื่อกลุ่มเท่ๆ ที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ แม้จะอยู่ในสภาพนี้ก็ตาม” แววตาของเขามีความหมายลึกล้ำ
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง สมาชิกแต่ละคนต่างชั่งใจถึงความเสี่ยงและผลตอบแทน ความทรงจำอันเลวร้ายจากการถูกทรยศและการสูญเสียพลังยังคงสดใหม่ แต่ความแค้นและความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งก็รุนแรงไม่แพ้กัน
“ข้าเอาด้วย!” บรอคเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ แม้จะยังคงมีความกังวล แต่ความปรารถนาที่จะได้ลงมือทำอะไรสักอย่างมันมีมากกว่า “นั่งอยู่เฉยๆ รอวันตายมันไม่ใช่ทางของข้า! อย่างน้อยถ้าจะตาย ก็ขอตายในสนามรบดีกว่าตายในรูหนูแบบนี้!”
“ถ้าบรอคไป ข้าก็ไปด้วย” ไครอส นักดาบหนุ่มกล่าวเสริม ดวงตาของเขามีความมุ่งมั่น “ข้าอยากจะทดสอบฝีมือที่เหลืออยู่ของตัวเอง และถ้ามันจะช่วยให้เราเข้าใกล้การแก้แค้นพวก ‘เงาพิฆาต’ ได้เร็วขึ้น ข้าก็พร้อมจะเสี่ยง”
วัลคัสพยักหน้าช้าๆ “ข้าเห็นด้วยว่าเราต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่เราต้องมีแผนที่รัดกุม สุสานเรืออับปางไม่ใช่สนามเด็กเล่น โดยเฉพาะกับสภาพของพวกเราตอนนี้”
สองวันต่อมา ณ โรงเตี๊ยมจันทร์แรม เวลาพลบค่ำ
ภายในห้องพักเดิม บรรยากาศเต็มไปด้วยความขะมักเขม้นและกลิ่นอับของไม้เก่าผสมกับกลิ่นยาจางๆ สมาชิกของ “พันธสัญญาผู้ถูกล้างแค้น” กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับภารกิจแรกที่สุสานเรืออับปาง เวลาสองวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ลีอาน่าและวัลคัสใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตระเวนหาซื้อยุทโธปกรณ์ที่พอจะหาได้ในตลาดมืดของไซฟาร์ด้วยเงินทุนอันน้อยนิดที่รวบรวมกันมาได้ ทุกเหรียญทุกชิ้นถูกใช้อย่างระมัดระวัง
บนพื้นห้องมีอาวุธและชุดเกราะสภาพพอใช้ที่เพิ่งซื้อมาวางเรียงรายอยู่ ลีอาน่ากำลังตรวจสอบลูกธนูแต่ละดอกอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีดอกไหนชำรุด ธนูไม้ธรรมดาๆ ของเธอวางอยู่ข้างกาย มันเทียบไม่ได้เลยกับคันธนูเวทมนตร์ที่เธอเคยใช้ แต่ตอนนี้มันคือสิ่งเดียวที่เธอมี “อย่างน้อยก็หวังว่าความชำนาญในการใช้ธนูที่เคยมี จะพอช่วยชดเชยคุณภาพของมันได้บ้าง” เธอพึมพำกับตัวเอง
“ดาบเล่มนี้ดูพอใช้ได้นะไครอส” ลีอาน่าส่งดาบเหล็กกล้าธรรมดาๆ เล่มหนึ่งให้กับนักดาบหนุ่ม ด้ามจับพันด้วยผ้าหยาบๆ แต่คมดาบก็ยังพอมีความวาวอยู่บ้าง “อาจจะไม่ดีเท่าของเดิมของเจ้า แต่น่าจะทนทานกว่าไอ้ดาบขึ้นสนิมที่เจ้าใช้อยู่ตอนนี้ ข้าต่อรองราคามาสุดๆ แล้ว”
ไครอสรับดาบมาทดลองเหวี่ยงดูสองสามครั้ง น้ำหนักของมันต่างจากดาบคู่ใจที่เขาเคยใช้ลิบลับ แต่เขาก็พยายามปรับตัว “ขอบคุณมาก ลีอาน่า อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่ามือเปล่า ข้าจะใช้มันทวงแค้นให้เพื่อนเราให้ได้” แม้ใบหน้าจะยังคงเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงดาบคู่ใจที่สูญเสียไป แต่แววตาของเขาก็มีความหวังและประกายแห่งความแค้นลุกโชนขึ้นมาบ้าง เขาเริ่มตรวจสอบความสมดุลของดาบและลองฟันลมดูสองสามท่าเพื่อสร้างความคุ้นเคย
บรอคกำลังนั่งขัดขวานเหล็กคู่ใหม่ที่เขาเพิ่งได้มาอย่างหงุดหงิด มันดูเทอะทะและหนักอึ้งกว่าขวานเดิมของเขามาก แต่เขาก็พยายามทำความคุ้นเคยกับมัน เสียงเหล็กเสียดสีกันดังเป็นจังหวะ “ให้ตายสิ! ขวานคู่นี้มันหนักเป็นบ้า! ไม่คล่องมือเหมือน ‘ราชสีห์คำราม’ ของข้าเลยสักนิด หวังว่าไอ้ขวานบ้านี่มันจะผ่ากะโหลกพวกอสูรกลายพันธุ์ได้นะโว้ย ถ้ามันหักกลางคันอีกล่ะก็ ข้าจะเอาด้ามมันไปฟาดคนขายให้หัวแตกเลยคอยดู!” เขาสบถเบาๆ พลางเหลือบมองเรเวนที่นั่งลับดาบยาวสีเงินของตนเองอย่างสงบนิ่งอยู่มุมห้อง แสงจากตะเกียงสะท้อนบนคมดาบนั้นวูบวาบราวกับมีชีวิต ดาบของเรเวนดูแตกต่างจากอาวุธของคนอื่นๆ มันดูมีระดับและได้รับการดูแลอย่างดี
วัลคัสกำลังตรวจสอบความแข็งแรงของโล่ไม้เสริมเหล็กอันใหม่ของเขาอย่างละเอียด เขาเคาะเบาๆ ที่ผิวโล่ ฟังเสียงสะท้อนเพื่อดูว่ามีรอยร้าวหรือจุดอ่อนตรงไหนหรือไม่ “โล่นี่พอจะรับแรงกระแทกได้บ้าง แต่คงไม่เท่า ‘กำแพงศิลา’ ที่เคยใช้ หวังว่ามันจะไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ กลางคันนะ” เขากล่าวกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะลองยกโล่ขึ้นตั้งท่าป้องกัน สลับกับการหยิบดาบสั้นธรรมดาๆ ขึ้นมาลองโจมตีดู “สกิลป้องกันส่วนใหญ่ของเราก็ถูกจำกัดไปเยอะ ตอนนี้คงต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของไอเทมกับการอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูเป็นหลัก”
กริฟฟิน ชายร่างใหญ่ผู้ใช้ค้อน กำลังตรวจเช็คหัวค้อนเหล็กขนาดใหญ่ของเขา มันเป็นค้อนที่เรียบง่ายแต่ดูทรงพลัง เขาลองเหวี่ยงมันเบาๆ เพื่อทดสอบน้ำหนักและแรงเหวี่ยง “อย่างน้อยแรงกระแทกของมันก็น่าจะพอทำให้พวกเปลือกแข็งๆ มึนได้บ้างล่ะน่า”
ในขณะเดียวกัน เอลาร่าก็เพิ่งกลับมาจากการไปห้องสมุดของสมาคมนักปราชญ์ในเมือง ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ดวงตาหลังกรอบแว่นกลับเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เธอกางม้วนกระดาษเก่าๆ หลายแผ่นลงบนโต๊ะเล็กๆ กลางห้อง “ข้าใช้เวลาเกือบทั้งวันที่ห้องสมุด การเข้าถึงบันทึกเก่าๆ พวกนั้นมันไม่ง่ายเลยนะ ต้องอาศัยการอ้างอิงและค้นคว้าจากหลายแหล่งกว่าจะได้ข้อมูลที่พอจะเชื่อถือได้” เธอกล่าวพลางชี้ไปยังภาพวาดลายเส้นหยาบๆ ของสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายปูยักษ์ที่มีก้ามใหญ่โตน่ากลัว “จากบันทึกของนักเดินเรือที่เคยรอดชีวิตออกมาได้เมื่อหลายสิบปีก่อน และตำราอสูรวิทยาทั่วไป ที่นั่นมีอสูรกลายพันธุ์ที่เรียกกันว่า ‘ครัสเตเซียนศิลา (Stone Crusteceans)’ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พวกมันมีเปลือกแข็งเหมือนหิน ก้ามทรงพลัง และมักจะซ่อนตัวอยู่ตามซากเรือหรือแอ่งน้ำโคลน ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่าจุดอ่อนของมันคือข้อต่อระหว่างเปลือกและส่วนท้องที่ค่อนข้างเปราะบาง แต่ก็เข้าถึงได้ยากเพราะก้ามของมัน นอกจากนี้ บริเวณนั้นยังมีกระแสน้ำแปรปรวนและแนวหินโสโครกที่อันตรายมาก การเดินเรือต้องอาศัยผู้ชำนาญทางจริงๆ”
“แล้ว ‘ผู้พิทักษ์’ ประภาคารล่ะ? มีข้อมูลอะไรบ้างไหม?” เรเวนที่นั่งเงียบอยู่ในมุมห้องถามขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยความสนใจ
เอลาร่าส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีบันทึกใดกล่าวถึง ‘ผู้พิทักษ์’ โดยตรงเลย ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าปากต่อปากที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน บางคนก็ว่าเป็นอสูรทะเลโบราณที่ถูกปลุกขึ้นจากการหลับใหล บางคนก็ว่าเป็นวิญญาณของกะลาสีนับพันที่ตายในภัยพิบัติและรวมตัวกันเป็นผู้พิทักษ์ หรืออาจจะเป็นกับดักที่กลุ่มนักสำรวจชุดก่อนวางไว้เองก็ได้ เราคงต้องไปดูให้เห็นกับตา และเตรียมพร้อมสำหรับทุกความเป็นไปได้”
“ดูเหมือนว่างานนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิดสินะ” วัลคัสถอนหายใจ “พวกเรามีโพชั่นฟื้นฟูอยู่จำกัดมาก ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด และการหาเรือที่ไว้ใจได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” เขามองไปยังสมาชิกทีมบุก “กัปตันบอกว่าจะรอเราสองวัน หมายความว่าพวกเจ้าอาจจะต้องเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา หรือถ้าจะล็อกเอาท์ ก็ต้องหาที่ที่ปลอดภัยจริงๆ และต้องมั่นใจว่าจะกลับมาทันเวลา ทุกคนไหวแน่นะ? อย่าฝืนร่างกายตัวเองจนเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอในโลกจริงมันส่งผลต่อสมาธิและความเร็วในการตอบสนองในนี้โดยตรงนะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง” บรอคยืดอก ตบไปที่กล้ามแขนของตัวเอง “ข้าอยู่ได้เป็นอาทิตย์ถ้าจำเป็น! ยิ่งได้อาละวาด ยิ่งมีแรง!”
ไครอสพยักหน้า “ข้าก็ไม่มีปัญหา ข้าเตรียมตัวมาแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจ” แววตาของเขาแน่วแน่
กริฟฟินเพียงแค่พยักหน้าเงียบๆ แต่กำหมัดแน่น ส่วนเรเวนกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “สุสานเรืออับปางไม่ใช่ที่ที่จะล็อกเอาท์ได้อย่างปลอดภัย เมื่อเข้าไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือทำภารกิจให้สำเร็จและออกมาให้เร็วที่สุด การเสียสมาธิเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความตาย”
“ข้าเตรียมสมุนไพรพื้นฐานสำหรับห้ามเลือดและบรรเทาพิษไว้บ้างแล้ว” ลีอาน่ากล่าวพลางชูถุงผ้าเล็กๆ หลายถุงขึ้น กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยออกมา “อาจจะไม่ดีเท่าโพชั่น แต่ก็น่าจะพอช่วยประทังได้ในยามฉุกเฉิน ส่วนเรื่องเรือ… เรเวน ท่านพอจะมีช่องทางไหม?”
เรเวนพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้จักคนคนหนึ่งที่ท่าเรือเก่าทางใต้ของไซฟาร์ เขาชื่อ ‘กัปตันฟินน์ (Captain Finn)’ เป็นคนเดินเรือเก่าแก่ที่รู้เส้นทางแถบนั้นดีเหมือนลายมือตัวเอง แต่เขาก็ขึ้นชื่อเรื่องความเขี้ยวลากดินและไม่ค่อยรับงานจากคนแปลกหน้าเท่าไหร่ โดยเฉพาะงานที่เสี่ยงอันตรายและไม่คุ้มค่า”
การวางแผนดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดตลอดคืนนั้น พวกเขาตัดสินใจที่จะแบ่งกลุ่มออกเป็นสองทีม ทีมแรกนำโดยเรเวนและบรอค พร้อมด้วยไครอสและกริฟฟิน จะทำหน้าที่บุกเข้าไปในสุสานเรืออับปางเพื่อค้นหาประภาคารและแผนที่ดาว ทีมที่สองนำโดยลีอาน่า วัลคัส และเอลาร่า จะคอยเป็นหน่วยสนับสนุน รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมในเมือง และเตรียมเส้นทางหลบหนีหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ท่าเรือเก่าทางใต้ของเมืองไซฟาร์
กลิ่นเค็มของทะเลและกลิ่นคาวปลาผสมกับกลิ่นเหล้าถูกๆ คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ท่าเรือเก่าแห่งนี้ดูซบเซาและสกปรกกว่าท่าเรือหลักของเมืองมาก มีเพียงเรือประมงโทรมๆ ไม่กี่ลำจอดเทียบท่าอยู่ และเหล่ากะลาสีหน้าตาถมึงทึงที่เนื้อตัวมอมแมมกำลังทำงานหรือนั่งจับกลุ่มดื่มเหล้ากันตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงทะเลาะวิวาทและเสียงหัวเราะหยาบคายดังขึ้นเป็นระยะ
เรเวนนำทีมของเขาเดินลัดเลาะไปตามท่าเรือไม้ที่ผุพังและลื่นเพราะเมือกปลา จนมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือลำหนึ่งซึ่งมีขนาดกลางๆ สภาพดูเก่าแก่แต่ก็ยังดูแข็งแรงทนทานอย่างน่าประหลาด ชื่อเรือ “นางเงือกหลงทาง (Lost Mermaid)” ถูกสลักไว้อย่างหยาบๆ ที่หัวเรือ บนดาดฟ้าเรือมีชายชราผมสีดอกเลา หนวดเคราขาวยาวรุงรัง ใบหน้ากร้านแดดเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ดวงตาข้างหนึ่งปิดสนิทมีรอยแผลเป็นยาวพาดผ่าน กำลังนั่งขัดถูสมอเรือเก่าคร่ำคร่าอยู่ เขาคือ กัปตันฟินน์ นอกจากกัปตันและลูกเรืออีกสองสามคนที่ดูเหมือนจะตื่นไม่เต็มตาแล้ว บนเรือยังมีนักเดินทางอีกกลุ่มเล็กๆ ราวสี่ห้าคน บางคนดูเหมือนพ่อค้าเร่ท่าทางตื่นกลัวที่กำลังจะเดินทางไปขายของที่เกาะใกล้ๆ และมีนักผจญภัยหน้าใหม่สองสามคนที่ดูตื่นเต้นระคนประหม่ากับการออกทะเลครั้งแรก พวกเขากำลังพูดคุยเสียงดังโอ้อวดถึงความสามารถของตนเองอย่างไม่รู้ประสา ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดคลุมสีเข้มที่ดูตัดขาดจากคนอื่นๆ เธอนั่งอยู่เงียบๆ ที่หัวเรือ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนด้ามมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างเอวอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาภายใต้เงาหมวกคลุมมองออกไปในทะเลด้วยแววตาที่นิ่งสงบและอ่านไม่ออก ราวกับว่าเธอคุ้นเคยกับความอันตรายของท้องทะเลเป็นอย่างดี
ลีอาน่าเหลือบมองหญิงสาวคนนั้นแวบหนึ่ง รู้สึกถึงบรรยากาศบางอย่างที่แตกต่างจากผู้โดยสารคนอื่น ท่าทางของเธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใดๆ
“กัปตันฟินน์” เรเวนเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ทุกคนบนเรือหันมามอง
ชายชราเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเรเวนและกลุ่มคนที่ตามมา “เรเวน… ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงนี่ได้? ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้หนุ่ม หรือว่าหนีใครมาอีกแล้ว? แล้วนี่พาใครมาด้วยล่ะเนี่ย หน้าตาไม่คุ้นเลย ท่าทางจะไปหาเรื่องใส่ตัวกันอีกแล้วสินะ” เขาเหลือบมองไปยังกลุ่มนักเดินทางคนอื่นๆ แวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะหันกลับมา
“พวกเขามีธุระที่สุสานเรืออับปาง และต้องการคนนำทางที่ชำนาญที่สุด” เรเวนตอบตรงประเด็น ไม่สนใจคำทักทายที่กวนประสาท
กัปตันฟินน์หัวเราะเสียงแหบดังลั่น “สุสานเรืออับปางรึ? ฮะๆๆ! สถานที่อัปมงคลแบบนั้น พวกเจ้าจะไปหาอะไรกัน? สมบัติ? หรือว่าอยากจะไปนอนเล่นกับพวกผีทะเล? ข้าไม่ได้รับจ้างไปส่งคนที่นั่นพร่ำเพรื่อหรอกนะ มันอันตรายเกินไปสำหรับผู้โดยสารคนอื่น และเรือข้าก็ไม่ใช่เรือทัศนาจรสำหรับพวกอยากลองของ” เขาปรายตาไปยังกลุ่มนักเดินทางอีกครั้งอย่างมีความหมาย
“เรามีข้อเสนอ” เรเวนกล่าวพลางส่งถุงเงินเล็กๆ ใบหนึ่งให้กัปตันฟินน์ ถุงเงินนั้นดูหนักพอสมควรสำหรับขนาดของมัน ภายในบรรจุเหรียญ “ซิลเวอร์เครเซนต์ (Silver Crescent)” สกุลเงินหลักที่ใช้กันในเมืองท่าไซฟาร์แห่งนี้
กัปตันฟินน์รับถุงเงินไปเปิดดูคร่าวๆ นิ้วที่หยาบกร้านของเขานับเหรียญในถุงอย่างรวดเร็วก่อนจะโยนกลับมาให้เรเวนอย่างไม่ไยดี “แค่ยี่สิบซิลเวอร์เครเซนต์นี่น่ะรึ? แค่นี้ยังไม่พอจะจ่ายค่าเหล้าข้าคืนนี้เลยด้วยซ้ำพ่อหนุ่ม ถ้าจะไปที่นั่น… มันต้องมากกว่านี้เยอะ และข้าต้องมั่นใจว่าพวกเจ้าจะไม่สร้างปัญหาให้ผู้โดยสารคนอื่นของข้าเดือดร้อนจนข้าต้องเสียชื่อ”
การเจรจาต่อรองเป็นไปอย่างตึงเครียด บรอคแทบจะอดรนทนไม่ไหวหลายครั้ง เขาอยากจะชักขวานออกมาข่มขู่เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่สายตาเย็นชาของเรเวนที่ปรามไว้ทำให้เขาต้องข่มใจ ไครอสและกริฟฟินยืนมองอย่างเงียบๆ แต่ก็พร้อมที่จะเข้าสมทบหากเกิดเรื่อง ในที่สุด เรเวนก็ใช้คารมที่เฉียบคมและข้อเสนอเพิ่มเติมที่ “น่าสนใจ” (ซึ่งเขาไม่ได้บอกรายละเอียดกับคนอื่น) จนกัปตันฟินน์ยอมตกลงในราคาที่พวกเขาพอจะจ่ายไหว แม้ว่าจะต้องเสีย “ของมีค่า” บางอย่างที่ลีอาน่าพกติดตัวมาเป็นค่ามัดจำเพิ่มเติม และให้คำมั่นว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายบนเรือ
ไม่นานนัก เรือ “นางเงือกหลงทาง (Lost Mermaid)” ของกัปตันฟินน์ก็ออกจากท่า มุ่งหน้าสู่หมู่เกาะสุสานเรืออับปาง ทีมของเรเวนนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่ท้ายเรือ พยายามไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของนักเดินทางคนอื่นๆ ไครอสผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าใครในกลุ่ม พยายามชวนคุยกับลูกเรือคนหนึ่งของกัปตันฟินน์ที่กำลังขัดถูดาดฟ้าเรืออยู่ใกล้ๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
“ขอโทษนะครับ” ไครอสเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ “พวกท่านเคยไปแถวสุสานเรืออับปางบ่อยหรือเปล่า? พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าที่นั่นมันเป็นยังไงบ้าง? พวกเราเตรียมตัวมาบ้างแล้ว แต่ฟังจากคนมีประสบการณ์โดยตรงย่อมดีกว่าเสมอ”
ลูกเรือคนนั้น ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรงแต่ใบหน้าดูเหนื่อยอ่อนและมีรอยแผลเป็นจากคมมีดจางๆ ที่แก้ม ชะงักมือเล็กน้อย เหลือบมองกัปตันฟินน์ที่กำลังคุมหางเสืออยู่แวบหนึ่งก่อนจะหันมาตอบเสียงเบา “สุสานเรือรึ? ไม่ค่อยมีใครอยากไปแถวนั้นหรอกพ่อหนุ่ม มันเป็นที่ต้องสาป ว่ากันว่าวิญญาณของคนที่ตายในทะเลยังวนเวียนอยู่ที่นั่น ส่งเสียงโหยหวนในคืนเดือนมืด แถมยังมีพวกอสูรปูยักษ์ที่เอลาร่าของพวกเจ้าว่าไว้นั่นแหละ ตัวมันใหญ่ยังกับเกวียน เปลือกแข็งโป๊ก แล้วก็… พวกโจรสลัด” เขาพูดเสียงเบาลงอีกตอนท้าย ราวกับกลัวว่าใครบางคนจะได้ยิน “พวก ‘อสรพิษทะเลคลั่ง’ ชอบใช้แถวนั้นเป็นที่ซ่อนตัว ใครหลงเข้าไปก็ไม่ค่อยได้กลับออกมาอย่างครบสามสิบสองหรอก”
“โจรสลัดรึ?” บรอคที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ หูผึ่งขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาวาวโรจน์ “พวกมันเก่งแค่ไหนกันเชียว? หรือก็แค่พวกกระจอกที่ชอบลอบกัด?”
“อย่าประมาทพวกมันเชียวนะพ่อหนุ่มร่างใหญ่” ลูกเรือคนนั้นส่ายหน้าอย่างจริงจัง “หัวหน้าของมันชื่อ ‘กัปตันเขี้ยวอสรพิษ (Serpentfang)’ ว่ากันว่าฝีมือดาบฉกาจฉกรรจ์และมีเวทมนตร์ประหลาดติดตัว ค่าหัวของมันก็สูงลิ่วติดอันดับต้นๆ ของแถบนี้เลย พวกมันปล้นฆ่ามานับไม่ถ้วนแล้ว ไม่เลือกหน้าว่าจะเป็นเรือสินค้าหรือเรือนักผจญภัย”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างออกรส และเริ่มจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับจุดอ่อนของพวกโจรสลัดหรือเส้นทางที่พวกมันมักจะปรากฏตัว ท้องฟ้าที่เคยเริ่มมืดครึ้ม บัดนี้กลับยิ่งมืดทะมึนลงอย่างรวดเร็ว คลื่นลมเริ่มปั่นป่วนอย่างกะทันหัน
“ดูเหมือนพายุกำลังจะมาจริงๆ แฮะ” กัปตันฟินน์ตะโกนแข่งกับเสียงลม พลางพยายามบังคับหางเสือที่เริ่มจะส่ายไปมา “พวกเจ้าคงไม่ได้เอาเรื่องซวยมาให้ข้าด้วยใช่ไหมวะ!”
ทันใดนั้นเอง! ยังไม่ทันที่ใครจะได้สนใจเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้า ลูกเรือคนหนึ่งที่อยู่บนยอดเสากระโดงก็ตะโกนลงมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกสุดขีด “กัปตัน! ทางกราบซ้าย! มีเรือ! พวกมัน… พวกมันกำลังตรงมาทางเรา! ธง… ธงอสรพิษทะเลคลั่ง!!!”
ทุกคนบนเรือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ความตึงเครียดพุ่งสูงขึ้นในทันที! หมอกหนาทึบเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ อย่างรวดเรวจนน่าประหลาด ราวกับถูกอัญเชิญมา ทัศนียภาพเลวร้ายลงจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเกินกว่าห้าเมตร เสียงคลื่นซัดกระแทกโขดหินที่อยู่ใกล้ๆ ดังน่าหวาดหวั่น นักเดินทางคนอื่นๆ เริ่มส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ พวกพ่อค้าเร่หน้าซีดเผือด นักผจญภัยหน้าใหม่ที่เคยโอ้อวดเมื่อครู่ถึงกับตัวสั่นงันงก
“บ้าเอ๊ย! พวกมันมาได้ยังไงวะ!” กัปตันฟินน์สบถอย่างหัวเสีย พลางตะโกนสั่งลูกเรือ “เตรียมพร้อมรับมือ! ทุกคนจับให้มั่น!”
เรือโคลงเคลงอย่างหนักตามแรงคลื่นที่มองไม่เห็น ทีมของเรเวนต่างชักอาวุธออกมาทันที บรรยากาศแห่งการสนทนาเมื่อครู่หายวับไป ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตัวเต็มพิกัด บรอคและกริฟฟินกระโจนไปช่วยกะลาสีของกัปตันฟินน์ป้องกันแนวกราบเรือ ส่วนไครอสยืนอยู่กลางดาดฟ้า ดาบในมือเตรียมพร้อม หญิงสาวลึกลับที่นั่งอยู่หัวเรือก่อนหน้านี้ บัดนี้ยืนขึ้นอย่างมั่นคง ดวงตาของเธอภายใต้หมวกคลุมสอดส่ายไปมาในม่านหมอกอย่างระแวดระวัง ท่าทางของเธอดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดเมื่อเทียบกับความโกลาหลรอบข้าง
ยังไม่ทันที่กัปตันฟินน์จะได้สั่งการใดๆ เพิ่มเติม ลูกดอกอาบยาพิษหลายดอกก็พุ่งแหวกม่านหมอกออกมาจากทิศทางที่มองไม่เห็น! “ระวัง!” เรเวนตะโกนเตือนพร้อมกับปัดดาบในมือออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงเคร้งๆ ดังขึ้นเมื่อดาบของเขากระทบกับลูกดอกสองสามดอกจนเบนทิศทางไป แต่ก็ยังมีบางดอกที่พุ่งทะลุไปได้ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นจากหนึ่งในนักเดินทางที่โชคร้าย แถบ HP สีแดงเรืองรองปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของเขา (และอาจจะของเพื่อนร่วมทีมหาก Scan Gear ของพวกเขามีระบบแชร์ข้อมูลพื้นฐานในปาร์ตี้) ครู่หนึ่งก่อนจะจางหายไปพร้อมกับสถานะ [ติดพิษรุนแรง] ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นทันที
“พวกมันมาแล้ว! ‘อสรพิษทะเลคลั่ง’!” เรเวนคำรามเสียงต่ำ แสงสีเงินของดาบเขาสะท้อนกับม่านหมอกอย่างน่ากลัว “ค่าหัวพวกมันแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าจัดการได้หมด อาจจะได้ทุนเพิ่มอีกพอสมควร และถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนเจอของจริง” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะตะโกนสั่ง “พันธสัญญาผู้ถูกล้างแค้น! เตรียมตัวต่อสู้! อย่าให้พวกมันขึ้นเรือมาได้! ปกป้องผู้โดยสารคนอื่นด้วย!”
เสียงตะขอเหล็กหลายอันถูกเหวี่ยงเข้ามาเกี่ยวกกับกราบเรือดังเคร้งคร้าง! เงาร่างของกลุ่มคนในชุดผ้าคลุมมอซอพร้อมอาวุธครบมือกำลังพยายามปีนขึ้นมาบนเรืออย่างรวดเร็วราวกับฝูงปลิงทะเล!
“พวกแกมาผิดที่ผิดเวลาแล้วไอ้พวกเวร!” บรอคตะโกนลั่น ใช้สกิลพื้นฐาน [เสียงคำรามข่มขวัญ (Intimidating Roar)] ทำให้พวกโจรสลัดที่กำลังปีนขึ้นมาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหวี่ยงขวานเหล็กคู่ใจที่เพิ่งได้มาเข้าใส่ร่างแรกที่โผล่ขึ้นมาบนดาดฟ้าอย่างเต็มแรง!
ฉัวะ! เสียงขวานปะทะเข้ากับเกราะหนังบางๆ ของโจรสลัดอย่างจัง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น โจรสลัดคนนั้นร้องโหยหวนก่อนจะร่วงตกลงไปในทะเล แถบ HP ของมันที่ปรากฏในขอบเขตการมองเห็นของบรอคลดวูบไปกว่าครึ่งในพริบตา เขารู้สึกถึงค่าประสบการณ์เล็กน้อยที่ไหลเข้ามา พร้อมกับข้อความระบบที่ผสานเข้ากับการรับรู้ของเขาว่า [สังหาร: โจรสลัดอสรพิษทะเลคลั่ง – สมาชิกระดับล่าง, ค่าหัว: 50 ซิลเวอร์เครเซนต์] มันเป็นการยืนยันว่าการสังหารศัตรูที่เป็นมนุษย์ (หรือคนท้องถิ่น) ก็ให้ผลตอบแทนเช่นกัน
“จัดการมันให้หมด!” เรเวนสั่งเสียงเฉียบขาด ร่างของเขาพุ่งเข้าใส่กลุ่มโจรสลัดที่ปีนขึ้นมาได้สำเร็จ ดาบในมือของเขารวดเร็วและแม่นยำ ทุกครั้งที่ตวัดออกไปจะมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดตามมา เขาสลับใช้การโจมตีปกติกับการใช้สกิล [แทงทะลวงจุดตาย (Vital Point Thrust)] ที่แม้จะเป็นสกิลระดับต่ำ แต่ด้วยความชำนาญของเขา มันก็สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับศัตรูที่สวมเกราะเบาได้เป็นอย่างดี โจรสลัดคนหนึ่งถูกดาบของเขาแทงเข้าที่ช่องว่างระหว่างเกราะอก ล้มลงสิ้นใจทันที ค่าประสบการณ์จำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นในระบบของเรเวน พร้อมกับข้อความ [สังหาร: โจรสลัดอสรพิษทะเลคลั่ง – สมาชิกระดับกลาง, ค่าหัว: 120 ซิลเวอร์เครเซนต์]
ไครอสและกริฟฟินก็เข้าร่วมการต่อสู้อย่างไม่ลังเล ไครอสใช้ดาบเหล็กกล้าเล่มใหม่ของเขาปัดป้องการโจมตีของโจรสลัดสองคนที่รุมเข้ามา ก่อนจะหาจังหวะสวนกลับด้วยสกิล [ดาบกวัดแกว่ง (Sweeping Blade)] ทำให้พวกมันเสียหลักและเปิดโอกาสให้กริฟฟินใช้ค้อนขนาดใหญ่ของเขาทุบเข้าที่หัวของโจรสลัดคนหนึ่งอย่างเต็มแรง! เสียงกระดูกแตกดังกร๊อบ! ร่างนั้นทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที
การต่อสู้บนเรือเป็นไปอย่างดุเดือดและชุลมุน เสียงอาวุธปะทะกัน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด และเสียงตะโกนสั่งการดังผสมปนเปไปกับเสียงคลื่นลมและเสียงหวีดร้องของผู้โดยสารคนอื่นๆ กัปตันฟินน์และลูกเรือของเขาก็ช่วยป้องกันเรืออย่างสุดกำลัง แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าของพวกโจรสลัด ทำให้สถานการณ์เริ่มคับขัน
หญิงสาวลึกลับที่เคยนั่งอยู่หัวเรือ บัดนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ เธอไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ แต่ใช้ทักษะการต่อสู้มือเปล่าที่ดูแปลกตาและอันตราย ทุกครั้งที่เธอปัดป้องหรือโจมตี จะเห็นประกายแสงสีฟ้าอ่อนๆ วาบขึ้นที่ฝ่ามือของเธอ โจรสลัดที่พยายามจะเข้าใกล้เธอต่างถูกซัดกระเด็นไปอย่างง่ายดาย บางคนถึงกับหมดสติไปในทันที การเคลื่อนไหวของเธองดงามแต่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว เรเวนที่กำลังต่อสู้อยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวและพลังงานสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากหญิงสาวคนนั้น “พลังปราณสีคราม… ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในแถบนี้” เขาคิดในใจอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า
“ย๊ากกก! ตายซะเถอะไอ้พวกหนอนทะเล!” บรอคคำรามลั่น ขวานในมือของเขาสาดใส่กลุ่มโจรสลัดอย่างต่อเนื่อง เลือดและค่าประสบการณ์หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด แม้จะเหนื่อยหอบแต่แววตาของเขากลับลุกเป็นไฟด้วยความสะใจ “ค่าหัวพวกแกมันต้องเป็นของข้าเฟ้ย!”
ในที่สุด ด้วยความร่วมมือของทีมเรเวน กัปตันฟินน์ และหญิงสาวลึกลับ พวกเขาก็สามารถขับไล่กลุ่มโจรสลัดอสรพิษทะเลคลั่งไปได้สำเร็จ แม้จะมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายและเรือ “นางเงือกหลงทาง” ก็เสียหายไปบ้าง แต่พวกเขาก็รอดมาได้
กัปตันฟินน์มองไปยังกลุ่มของเรเวนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พวกเจ้า… ไม่เลวเลยนี่หว่า โดยเฉพาะเจ้าหนุ่มผมดำนั่นกับแม่สาวน้อยคนนั้น” เขาพยักพเยิดไปทางเรเวนและหญิงสาวลึกลับ “ข้าไม่เคยเห็นใครใช้ ‘พลังปราณสีคราม’ ได้คล่องแคล่วแบบนั้นมาก่อนแถวนี้เลยนะแม่หนู” เขาเอ่ยกับหญิงสาวที่กลับไปนั่งเงียบๆ ที่หัวเรือเหมือนเดิมหลังจากสถานการณ์สงบลง “ข้าเริ่มจะเชื่อแล้วว่าพวกเจ้าอาจจะเอาชีวิตรอดจากสุสานเรืออับปางได้จริงๆ ว่าแต่… พวกเจ้าจะเอาหัวพวกโจรสลัดไปขึ้นเงินที่ไหนกันล่ะ?” เขาถามอย่างมีเลศนัย
เรเวนเพียงแค่ยิ้มบางๆ “นั่นเป็นเรื่องของพวกเรา กัปตัน”
ลีอาน่าเดินเข้าไปหาหญิงสาวลึกลับอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยพวกเราเมื่อครู่ ไม่ทราบว่าคุณ…”
หญิงสาวเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่หันมามอง “ไม่เป็นไร” เสียงของเธอราบเรียบและเย็นชา ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง
หลังจากขับไล่กลุ่มโจรสลัดหรือนักปล้นสะดมที่ไม่ทราบฝ่ายไปได้อย่างทุลักทุเล เรือ “นางเงือกหลงทาง” ก็บอบช้ำเล็กน้อย และมีผู้โดยสารบาดเจ็บสองสามคน แต่ยังคงสามารถเดินทางต่อไปได้ กัปตันฟินน์นำเรือลัดเลาะไปตามร่องน้ำที่อันตรายและเต็มไปด้วยหินโสโครก จนในที่สุดก็มาถึงอ่าวเล็กๆ ที่ค่อนข้างลับตาคนบนเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสุสานเรืออับปาง
“ถึงแล้ว… นี่คือทางเข้าที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ข้ารู้จัก” กัปตันฟินน์กล่าวพลางทอดสมอเรือ “จากนี้ไปพวกเจ้าต้องดูแลตัวเอง ข้าจะรออยู่ที่นี่ไม่เกินสองวัน ถ้าพวกเจ้าไม่กลับมา… ข้าถือว่าพวกเจ้าเป็นอาหารปลาไปแล้ว”
ทีมของเรเวนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า พวกเขากระโดดลงจากเรือ ลุยน้ำทะเลตื้นๆ ขึ้นไปยังชายหาดที่เต็มไปด้วยเศษซากไม้และเปลือกหอย กลิ่นอับชื้นและกลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
“ที่นี่มัน… เหม็นบรรลัยเลยว่ะ” บรอคบ่นอุบพลางใช้แขนเสื้อปิดจมูก
“เงียบเสียงหน่อย บรอค” เรเวนเตือนเสียงต่ำ “อย่าลืมว่าเราไม่ได้มาเดินเล่น”
ทันใดนั้น เสียงคำรามแหบโหยก็ดังขึ้นจากทางด้านข้าง! อสูรกลายพันธุ์รูปร่างคล้ายปูยักษ์แต่มีเปลือกเป็นหินตะปุ่มตะป่ำและก้ามขนาดมหึมาที่แหลมคมราวกับใบมีดหลายตัวโผล่ออกมาจากกองซากเรือ ดวงตาสีเหลืองขุ่นของพวกมันจับจ้องมาที่กลุ่มผู้บุกรุกอย่างกระหายเลือด
“ครัสเตเซียนศิลา (Stone Crusteceans)!” กริฟฟินร้องเสียงหลง เขารีบใช้ทักษะ [วิเคราะห์สิ่งมีชีวิตเบื้องต้น (Basic Creature Analysis)] ที่เขาได้มาจาก “คัมภีร์นักสำรวจ” ซึ่งเป็นไอเทมที่ลีอาน่าซื้อมาให้จากตลาดมืด แสงสีฟ้าจางๆ สแกนผ่านร่างของอสูรปูตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว ข้อมูลพื้นฐานปรากฏขึ้นในขอบเขตการรับรู้ของเขาและสมาชิกในทีมที่อยู่ในระยะ ราวกับเป็นภาพซ้อนทับบนความเป็นจริง “ข้อมูลมาแล้ว! ตรงกับที่เอลาร่าบอกไว้เลย! ระบบแจ้งว่าพวกมันมีพลังป้องกันกายภาพสูงมาก แต่ดูเหมือนจะต้านทานเวทมนตร์ธาตุสายฟ้าต่ำ! ข้อมูลเพิ่มเติมอาจจะปรากฏขึ้นเมื่อพวกมันเริ่มโจมตีหรือใช้ความสามารถพิเศษ!”
ข้อมูลที่กริฟฟินตะโกนออกมา และที่ปรากฏขึ้นในการรับรู้ของแต่ละคน (หากมีการเชื่อมต่อข้อมูลในปาร์ตี้ หรือกริฟฟินแชร์ข้อมูลผ่านระบบ) ทำให้ทุกคนในทีมปรับกลยุทธ์เล็กน้อย
[ข้อมูลมอนสเตอร์เบื้องต้น – จากทักษะวิเคราะห์ผ่านคัมภีร์]
ชื่อ: ครัสเตเซียนศิลา (Stone Crustecean)
ระดับ: ประมาณ 28-35 (อันตรายสำหรับผู้เล่นที่ระดับพลังใกล้เคียงและอุปกรณ์ไม่พร้อม)
ประเภท: อสูรกลายพันธุ์ / ธาตุดิน
จุดเด่น: พลังป้องกันกายภาพสูงมาก, พลังโจมตีสูง
จุดอ่อนที่สังเกตได้: การเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า, (ข้อมูลจากเอลาร่า: ข้อต่อใต้ท้อง, แพ้ธาตุสายฟ้า)
ความสามารถที่รับรู้ได้: ก้ามเหล็ก, การพุ่งชน
หมายเหตุ: ข้อมูลเพิ่มเติมจะปรากฏเมื่อมีการปะทะหรือมอนสเตอร์ใช้ความสามารถอื่น
“กระจายกำลัง! อย่าให้มันล้อมได้! ใครมีสกิลธาตุสายฟ้าเตรียมไว้! ถึงเราจะไม่มี แต่ถ้ามีอาวุธหรือไอเทมที่พอจะเสริมธาตุได้ก็ใช้ซะ!” เรเวนออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด ดาบยาวสีเงินวาววับปรากฏในมือของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งเข้าปะทะกับครัสเตเซียนศิลาตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนแรก
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างดุเดือด! บรอคคำรามลั่น เหวี่ยงขวานคู่ในมือเข้าใส่ก้ามของอสูรปูอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงโลหะกระทบหินดังสนั่น ประกายไฟแตกกระจาย ไครอสและกริฟฟินพยายามเข้าโจมตีจากด้านข้างและด้านหลัง แต่เปลือกหินที่หนาเตอะของพวกมันก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
เรเวนเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วราวกับเงา ดาบในมือของเขาวาดลวดลายสังหารที่งดงามแต่แฝงไว้ด้วยอันตรายถึงชีวิต เขาไม่ได้เน้นการโจมตีที่รุนแรง แต่เล็งไปที่ข้อต่อระหว่างเปลือกหรือดวงตาของพวกมันอย่างแม่นยำ ทุกครั้งที่ดาบของเขาตวัดผ่าน จะมีเสียงเปลือกแตกหรือเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของอสูรปูดังขึ้น
บรอคเริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาแทบจะทำอะไรพวกมันไม่ได้ “โธ่เว้ย! แข็งเป็นบ้า!”
“เล็งที่ข้อต่อใต้ท้องมัน บรอค! หรือใช้แรงกระแทกให้มันหงายท้อง!” เรเวนตะโกนบอกโดยที่ยังคงต่อสู้อย่างต่อเนื่อง “เปลือกตรงนั้นเปราะบางที่สุด!”
บรอคได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที เขาม้วนตัวหลบก้ามที่ฟาดลงมาอย่างเฉียดฉิว ก่อนจะใช้สกิล [กระแทกโล่ (Shield Bash)] (แม้จะไม่มีโล่ แต่ใช้แรงจากขวานกระแทก) เข้าที่ข้างลำตัวของครัสเตเซียนศิลาตัวหนึ่งอย่างเต็มแรง! อสูรปูเสียหลักเล็กน้อย เปิดโอกาสให้เขาใช้ขวานสอดเข้าไปใต้ท้องของมันแล้วงัดขึ้นสุดแรง!
“อ๊ากกก!” อสูรปูร้องเสียงแหลม ร่างของมันพลิกหงายท้อง เผยให้เห็นส่วนท้องที่อ่อนนุ่มและไม่มีเปลือกป้องกัน บรอคไม่รอช้า กระโจนตามเข้าไปสับขวานลงบนจุดอ่อนนั้นอย่างไม่ยั้ง!
เมื่อครัสเตเซียนศิลาตัวนั้นเริ่มใช้ก้ามของมันพยายามจะหนีบเขา ข้อมูลที่กริฟฟินเห็นก็อัปเดตขึ้น: [อัปเดตความสามารถ: ก้ามเหล็ก (Steel Pincers) – โจมตีด้วยก้ามที่แข็งแกร่ง สร้างความเสียหายกายภาพสูง]
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างชุลมุน แม้กลุ่มของเรเวนจะมีฝีมือ แต่จำนวนของครัสเตเซียนศิลาก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันโผล่ออกมาจากซากเรือและแอ่งน้ำโคลนอย่างไม่หยุดหย่อน
“พวกมันเยอะเกินไปแล้ว! เราต้องหาทางไปต่อ!” ไครอสตะโกนขึ้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อเห็นกริฟฟินถูกก้ามของอสูรปูหนีบเข้าที่แขนจนเลือดสาด
“ตามข้ามา!” เรเวนตะโกนสั่ง ก่อนจะใช้ทักษะบางอย่างที่ทำให้ร่างของเขาเคลื่อนไหวได้เร็วจนแทบมองไม่ทัน เขาวิ่งทะลวงฝ่าวงล้อมของอสูรปู มุ่งหน้าไปยังซากเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในสุสานเรือ
บรอคและคนที่เหลือรีบวิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล พลางคอยปัดป้องการโจมตีของอสูรปูที่ไล่ตามมาไม่ลดละ
เมื่อพวกเขาเข้าไปในซากเรือลำนั้นได้สำเร็จ เรเวนก็ใช้ดาบฟันเสากระโดงเรือที่ผุพังจนมันล้มลงมาปิดทางเข้าไว้ชั่วคราว เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของอสูรปูยังคงดังอยู่ด้านนอก แต่พวกมันไม่สามารถตามเข้ามาได้
ทุกคนทรุดลงนั่งหอบหายใจอย่างหนัก ความเหนื่อยล้าและบาดแผลเริ่มส่งผล
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” บรอคพูดพลางเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “ถ้าไม่ได้ท่านนำทาง และข้อมูลของเอลาร่ากับกริฟฟิน พวกเราคงได้กลายเป็นอาหารปูไปแล้ว” แม้จะยังคงไม่ค่อยชอบหน้าเรเวน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับในความสามารถของชายคนนี้และประโยชน์ของข้อมูล
เรเวนไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่เก็บดาบเข้าฝักแล้วมองออกไปนอกช่องหน้าต่างที่แตกหักของซากเรือ “นี่เป็นแค่การเริ่มต้น อย่าเพิ่งดีใจไป ประภาคารยังอยู่อีกไกล และอันตรายที่แท้จริง… มันยังรอเราอยู่ข้างหน้า”
แววตาของเขามองออกไปยังใจกลางของสุสานเรืออับปาง ที่ซึ่งเงาตะคุ่มของประภาคารโบราณตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางม่านหมอกหนาทึบ ราวกับหอคอยแห่งความสิ้นหวังที่รอคอยเหยื่อรายต่อไป…
Chapters
Comments
- ตอนที่ 21 แสงยามค่ำคืนและเงื่อนงำในความทรงจำ 2 วัน ago
- ตอนที่ 20 เสียงสะท้อนในหอศิลป์ลอยฟ้า 2 วัน ago
- ตอนที่ 19 รอยแผลในความทรงจำ 2 วัน ago
- ตอนที่ 18 ราชโองการ เปลวสงคราม และพันธมิตรใหม่ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 17 ตัวตนของเรเวน พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 16 สังเวยเลือดอัญเชิญอสูร พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 15 สามก๊กสังหาร ณ สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 14 ร่องรอยเลือด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 13 เทียบท่า...สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 12 การเดินทางอันตรายสู่เกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 11 คำเตือนจากเงามืด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 10 ฝ่าคมเขี้ยวอสูรแมงมุม พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 9 เสียงเพรียกจากเกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 8 เสียงกระซิบจากซากเรือรบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 7 เงื่อนงำในม่านหมอก พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 6 พันธสัญญาแห่งการเริ่มต้น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 5 เมื่อความตายไม่ใช่จุดจบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 4 อเวจีในเศษซากวิญญาณ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 3 ก้นบึ้งแห่งความมืดมิด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 2 การทรยศกลางเปลวเพลิง พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 1 เงาในหมู่ผู้เล่น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำการแตกสลาย (Rewrite) พฤษภาคม 30, 2025
MANGA DISCUSSION