ตอนที่ 13 เทียบท่า...สุสานเรือ
หลังจากพายุแห่งการต่อสู้และเสียงกรีดร้องโหยหวนของเลเวียธานแห่งห้วงลึกจางหายไป ท้องทะเลที่เคยบ้าคลั่งก็เริ่มสงบลงอย่างช้าๆ เหลือเพียงเสียงคลื่นที่ซัดสาดกระทบกราบเรือ “วายุคำรณ” ที่บอบช้ำเป็นระยะ และเสียงลมหายใจหอบหนักของเหล่าผู้รอดชีวิต แสงจันทร์อ่อนแรงที่ลอดผ่านช่องว่างของหมู่เมฆ ส่องให้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือใบขนาดใหญ่ลำนี้อย่างชัดเจน เสากระโดงหลักที่เคยสูงตระหง่านบัดนี้หักโค่นลงมาพาดกับดาดฟ้า ใบเรือหลักขาดวิ่นเป็นริ้วๆ และร่องรอยการปะทะจากหนวดอสูรปรากฏอยู่ทั่วลำเรือราวกับบาดแผลของผู้รอดชีวิต
บรรยากาศบนเรือ “วายุคำรณ” ซึ่งเป็นเรือธงและฐานที่มั่นของกิลด์ “ปีกอัคคี” เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความเหนื่อยล้า เรือลำนี้มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับสมาชิกกิลด์ที่เป็นผู้เล่นได้หลายสิบคน รวมถึงลูกเรือที่เป็นคนของโลกนี้อีกจำนวนหนึ่ง กัปตันเฟียร์ยืนนิ่งอยู่ที่หางเสือ ดวงตาสีมรกตของเธอมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่มืดมิด ใบหน้าเคร่งขรึมและแฝงแววความสูญเสียจากการเสียสละของ ‘โทมัส’ หนึ่งในลูกเรือคนสำคัญที่เป็นชาวโลกนี้ไปในการต่อสู้ บาร์นาบี้ ต้นหนคู่ใจและรองหัวหน้ากิลด์ กำลังสั่งการให้สมาชิกกิลด์ปีกอัคคีที่เป็นผู้เล่นราวสิบกว่าคน และลูกเรือที่เป็นคนของโลกนี้ที่เหลืออยู่ ช่วยกันซ่อมแซมส่วนที่เสียหายอย่างเร่งด่วนที่สุด
กลุ่มของลีอาน่า, วัลคัส, และเอลาร่า ก็ไม่ได้นิ่งดูดาย พวกเขาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พละกำลังที่เหลืออยู่จะอำนวย วัลคัสช่วยผู้เล่นของปีกอัคคีบางคนขนย้ายเศษซากไม้ที่หักพัง ลีอาน่าคอยทำแผลให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนเอลาร่าพยายามใช้ความรู้ของเธอในการประเมินความเสียหายของโครงสร้างเรือและเสนอแนะแนวทางการซ่อมแซมเบื้องต้นให้กับบาร์นาบี้และทีมช่างของเรือ
“เราเสียโทมัสไป…” บาร์นาบี้พูดขึ้นเบาๆ ขณะตรวจดูเชือกโยงใบเรือที่ขาดสะบั้น น้ำเสียงของเขาแฝงความเศร้า “เขาเป็นนักสู้ที่ดีคนหนึ่ง… ซื่อสัตย์และกล้าหาญเสมอ แม้จะไม่ใช่ผู้เล่น แต่ใจสู้ไม่แพ้ใคร”
เฟียร์พยักหน้ารับรู้โดยไม่หันมามอง “การสูญเสียเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเดินทางแบบนี้… แต่เราจะทำให้การตายของเขาไม่สูญเปล่า” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ก็แฝงความเหนื่อยล้า “เราต้องไปให้ถึงสุสานเรืออับปางให้ได้ และทำภารกิจของเราให้สำเร็จ”
การเดินทางที่เหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เรือ “วายุคำรณ” เคลื่อนที่ได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดจากความเสียหาย และทุกคนก็ต้องคอยระแวดระวังภัยจากทะเลที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกตลอดเวลา โชคดีที่หลังจากนั้นคลื่นลมก็สงบลง และไม่มีวี่แววของอสูรทะเลตัวอื่นปรากฏขึ้นอีก
หลายชั่วโมงผ่านไปในความเงียบและความเหนื่อยล้า ในที่สุด เมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณเริ่มจับขอบฟ้า เสียงของซิลวี่ มือธนูเอลฟ์ (คนของโลกนี้ สังกัดปีกอัคคี) ที่ปีนขึ้นไปสังเกตการณ์บนเสากระโดงที่ยังเหลืออยู่ ก็ตะโกนลงมาอย่างตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น
“กัปตัน! ข้างหน้า… ข้าเห็นหมู่เกาะแล้ว! น่าจะเป็น… สุสานเรืออับปาง!”
ทุกคนบนเรือต่างพากันไปรวมอยู่ที่หัวเรือเพื่อมองไปยังทิศทางนั้น ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือหมู่เกาะหินปูนสีดำทะมึนรูปร่างแปลกตาหลายสิบเกาะ โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำทะเลสีครามเข้มราวกับกรงเล็บของอสูรกายยักษ์ ซากเรือไม้ผุพังจำนวนนับไม่ถ้วนเกยตื้นอยู่ตามชายฝั่งและโขดหิน บางลำยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ส่วนใหญ่แตกหักเสียหายจนเหลือแต่โครงสร้างที่ดูน่าสะพรึงกลัว หมอกสีขาวจางๆ ลอยปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศยิ่งดูวังเวงและลึกลับ เสียงคลื่นซัดเข้ากับโขดหินและซากเรือดังสะท้อนไปมา ราวกับเสียงคร่ำครวญของเหล่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“ถึงแล้วสินะ… สุสานเรืออับปาง” ลีอาน่าพึมพำ ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังภาพอันน่าขนลุกเบื้องหน้า
“ดูไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด” วัลคัสกล่าว พลางกระชับโล่ในมือแน่น
เอลาร่าเปิดหน้าต่างข้อมูลแผนที่ที่เธอได้มาจากคอร์วัสขึ้นมาดูอีกครั้ง “ตามข้อมูล… เราควรจะหาอ่าวเล็กๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะที่ใหญ่ที่สุด ที่นั่นน่าจะมีจุดที่พอจะจอดเรือและซ่อมแซมได้โดยไม่เป็นที่สังเกตมากนัก”
“ดีมาก” เฟียร์พยักหน้า “บาร์นาบี้ นำเรือไปตามนั้น ระมัดระวังแนวหินโสโครกให้ดีด้วย”
เรือ “วายุคำรณ” ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในเขาวงกตของหมู่เกาะและซากเรืออย่างช้าๆ ทุกคนต่างตื่นตัวและเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายที่อาจจะซุ่มซ่อนอยู่ ในที่สุด พวกเขาก็พบอ่าวเล็กๆ ที่ถูกบดบังด้วยโขดหินสูงชันตามที่เอลาร่าบอก ที่นี่ดูค่อนข้างจะปลอดภัยและลับตาคนพอสมควร
หลังจากทอดสมอและส่งผู้เล่นบางคนของปีกอัคคีและคนของกิลด์ที่เป็นชาวโลกนี้สองสามคนไปตรวจสอบความปลอดภัยรอบๆ อ่าวอย่างคร่าวๆ แล้ว เฟียร์ก็หันไปสั่งการคนของกิลด์ปีกอัคคีที่อยู่บนเรือ “กริซซ์, ฟินเนียส, ซิลวี่ และคนที่เหลือที่เป็นชาวโลกนี้! เริ่มซ่อมแซมเรือส่วนที่เสียหายหนักที่สุดก่อน โดยเฉพาะหางเสือและใบเรือสำรอง! ส่วนผู้เล่นปีกอัคคีที่เหลือ แบ่งกำลังกันช่วยซ่อมและคอยระวังภัยรอบเรือ ทำให้มันพร้อมออกเดินทางได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! เราไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน หรือต้องหนีอีกเมื่อไหร่!”
เมื่อสมาชิกกิลด์ส่วนใหญ่และลูกเรือชาวโลกนี้เริ่มลงมือทำงานกันอย่างขะมักเขม้น เฟียร์ก็เดินมาหาบาร์นาบี้ที่กำลังตรวจสอบความเสียหายบริเวณกราบเรืออย่างเงียบๆ “บาร์นาบี้” เธอเอ่ยเสียงเบา แววตาฉายความครุ่นคิด “เห็นร่องรอยของ ‘คนของเรา’ บ้างไหม? หรือสัญญาณอะไรก็ได้ที่บ่งบอกว่าเขามาถึงแล้ว หรือทิ้งอะไรไว้ให้เราบ้าง” (บุคคลลึกลับที่เฟียร์กล่าวถึงนี้ อาจเป็นสายข่าวหรือสมาชิกกิลด์คนสำคัญที่ถูกส่งมาล่วงหน้า หรืออาจจะเป็นใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับ “วัตถุโบราณ” ที่กิลด์ปีกอัคคีกำลังตามหา)
บาร์นาบี้ส่ายหน้าช้าๆ “ยังเลยกัปตัน ที่นี่มันเงียบผิดปกติ เงียบจนน่าขนลุก ไม่มีร่องรอยการขึ้นฝั่งที่ชัดเจนในบริเวณนี้ บางที ‘เขา’ อาจจะใช้เส้นทางอื่น หรือยังมาไม่ถึง… หรืออาจจะเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ได้” แววตาของเขาฉายความกังวลไม่แพ้กัน “ข้อมูลจากคอร์วัสก็บอกว่าพวกเร็กซ์มันมาถึงแถวนี้แล้วด้วย อย่าลืมว่า ‘คนของเรา’ ก็อาจจะกำลังถูกพวกมันตามล่าอยู่เหมือนกัน”
เฟียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว คอยสังเกตการณ์ต่อไป อย่าประมาท” เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางกลุ่มของลีอาน่าที่ยืนรออยู่ไม่ไกล สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลไม่ต่างกัน
“เอาล่ะ” เฟียร์กล่าวกับลีอาน่า, วัลคัส, และเอลาร่า “บาร์นาบี้และผู้เล่นส่วนใหญ่ของปีกอัคคี (อีกประมาณ 15-17 คน) จะอยู่ที่นี่คุมการซ่อมเรือ ป้องกัน ‘วายุคำรณ’ และเตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางได้ทุกเมื่อ พวกคุณสามคน และข้าจะคัดเลือกผู้เล่นฝีมือดีอีกสองสามคนจากกิลด์เรา (เช่น ไทร่า, ลูคัส) ไปเป็นทีมสำรวจ เราจะขึ้นฝั่งไปสำรวจเบื้องต้น หาข่าวเกี่ยวกับทีมของพวกคุณ และดูลาดเลาเกี่ยวกับ ‘วัตถุโบราณ’ ที่เราตามหาด้วย ที่นี่ไม่ปลอดภัยนัก อย่าแยกกลุ่ม และคอยระวังตัวตลอดเวลา”
กลุ่มของลีอาน่าพยักหน้ารับ พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้ากับอันตรายที่แท้จริงในสุสานเรืออับปางแห่งนี้
“พวกเราพร้อมค่ะ กัปตัน” ลีอาน่าตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เฟียร์พยักหน้า จากนั้นเธอก็เปิด หน้าต่างข้อมูลแผนที่ ขึ้นมาในการรับรู้ของเธอ ภาพแผนที่โฮโลแกรม 3 มิติของหมู่เกาะสุสานเรืออับปางปรากฏลอยขึ้นกลางอากาศ แสงสีฟ้าอ่อนๆ ของมันแสดงรายละเอียดของเกาะต่างๆ ช่องแคบ และแนวหินโสโครกได้อย่างชัดเจน รวมถึงตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาที่กะพริบเป็นจุดสีแดง และจุดเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นประภาคารโบราณซึ่งเป็นหมุดหมายของทีมเรเวน ก็ถูกปักหมุดไว้ทางทิศเหนือของเกาะใหญ่ที่พวกเขาเพิ่งเทียบท่า (ข้อมูลแผนที่นี้เป็นข้อมูลที่กิลด์ปีกอัคคีรวบรวมและซื้อขายมา ซึ่งอาจมีบางส่วนที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบัน เนื่องจากพลังงานประหลาดที่ปะทุขึ้นอาจทำให้ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไป)
“เอาล่ะ” เฟียร์กล่าวพลางชี้ไปยังจุดบนแผนที่โฮโลแกรม “ดูเหมือนว่าประภาคารจะอยู่ลึกเข้าไปทางทิศเหนือของเกาะนี้ เราจะเริ่มจากตรงนั้น” ก่อนจะหันไปเรียกชื่อผู้เล่นสองคนจากกิลด์ปีกอัคคีที่เธอเลือกให้ร่วมทีม (นักรบหญิงแกร่งนาม ‘ไทร่า’ และนักเวทหนุ่มผู้เชี่ยวชาญธาตุลม ‘ลูคัส’) และสั่งการให้คนของกิลด์ที่เป็นชาวโลกนี้อีกสองสามคนเตรียมเรือบดขนาดเล็กสำหรับขึ้นฝั่ง “เตรียมอาวุธให้พร้อม เราจะไม่อยู่นาน แค่ไปดูลาดเลาเท่านั้น”
เรือบดขนาดเล็กถูกหย่อนลงน้ำ ทีมสำรวจซึ่งประกอบด้วยเฟียร์, ลีอาน่า, วัลคัส, เอลาร่า, ไทร่า, และลูคัส ก้าวลงเรืออย่างระมัดระวังพร้อมกับอาวุธประจำกายครบมือ บรรยากาศบนเกาะที่พวกเขาเหยียบย่างลงไปนั้นเงียบสงัดจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงคลื่นซัดสาดชายฝั่งและเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านซากเรือผุพังเท่านั้น กลิ่นอับชื้นของไม้เก่า เกลือทะเล และกลิ่นคาวจางๆ ของสาหร่ายลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เต็มไปด้วยเศษซากเรือและหินแหลมคม มุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของเกาะตามเส้นทางที่เฟียร์ได้วางแผนไว้จากแผนที่โฮโลแกรม
“จากข้อมูลที่ข้ามี” เฟียร์เริ่มพูดขึ้นขณะที่พวกเขากำลังปีนป่ายข้ามซากเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งที่ขวางทาง “บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวประมงเก่าแก่ ก่อนที่จะถูกภัยพิบัติกลืนกิน ว่ากันว่ายังมีโครงสร้างบางอย่างหลงเหลืออยู่ และอาจจะเป็นแหล่งที่พวกอสูรกลายพันธุ์หรือวิญญาณชอบมาสิงสถิต” เธอมองไปยังเอลาร่า “ข้อมูลจากคัมภีร์ของเจ้า หรือจากคอร์วัส มีอะไรที่ระบุถึงมอนสเตอร์เฉพาะถิ่นในแถบนี้บ้างไหม?”
เอลาร่าเปิดหน้าต่างข้อมูล “บัญชีข้อมูลอสูร” ของเธอขึ้นมาดูอีกครั้ง พร้อมกับทบทวนข้อมูลที่ได้จากคอร์วัส “คอร์วัสไม่ได้ระบุชื่อมอนสเตอร์เฉพาะเจาะจงในบริเวณนี้มากนักค่ะ แต่เขาเตือนว่าพลังงานที่ปะทุขึ้นอาจจะทำให้พวกมัน ‘กลายพันธุ์’ หรือ ‘ดุร้าย’ กว่าปกติ ส่วนคัมภีร์ของข้า… ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่นี้ค่อนข้างจำกัดมากค่ะ แต่มีบันทึกเลือนรางถึง ‘ครัสเตเซียนศิลา’ ที่อาจจะพบได้ตามชายฝั่ง และ ‘วิญญาณกะลาสี’ ที่มักจะปรากฏตัวในซากเรือขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเรือรบโบราณ”
“ครัสเตเซียนศิลา…” วัลคัสพึมพำ พลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง “ถ้าพวกมันมีเยอะ หรือดุร้ายกว่าที่เคยเจอกันมาตอนนั้นก็น่าจะลำบากอยู่เหมือนกัน” (กลุ่มของลีอาน่ายังไม่ทราบว่าทีมของเรเวนได้ปะทะกับครัสเตเซียนศิลาและอารัคโนมอร์ฟไปแล้ว)
“ส่วนวิญญาณกะลาสี… ถ้าเป็นพวกที่ชอบสิงสถิตตามซากเรือจริงๆ ก็น่าจะรับมือได้ไม่ยากนัก ตราบใดที่เรามีสมาธิและไม่ประมาท” ลีอาน่ากล่าวเสริม เธอพยายามสร้างความมั่นใจให้ตัวเองและเพื่อนๆ (เธอเองก็ไม่รู้ว่าทีมของเรเวนเจองานหนักกับวิญญาณเหล่านั้นมาแล้ว)
“อย่าเพิ่งวางใจไป” เฟียร์เตือน “ข้อมูลที่เรามีอาจจะเก่าไปแล้ว พลังงานที่ปะทุขึ้นนั่นอาจจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง” เธอมองไปยังแผนที่โฮโลแกรมอีกครั้ง “เส้นทางที่เราจะไปสู่ประภาคาร ต้องผ่านบริเวณที่ราบสูงใจกลางเกาะ ซึ่งตามบันทึกเก่าๆ ของกิลด์ระบุว่าเป็นที่อยู่อาศัยของพวก ‘ฮาร์ปี้คลั่ง (Frenzied Harpy)’ หรืออสูรจำพวกนกกินเนื้อขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากพลังงานประหลาด และอาจจะมีพวก ‘กริฟฟินทมิฬ (Shadow Griffin)’ ที่ดุร้ายกว่าปกติด้วย”
“ฮาร์ปี้คลั่งกับกริฟฟินทมิฬรึ…” เอลาร่าขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เส้นทางนี้จะอันตรายกว่าที่เราคิดไว้มากนะคะ ฮาร์ปี้มักจะโจมตีเป็นฝูงจากท้องฟ้า ส่วนกริฟฟินก็ทั้งแข็งแกร่งและรวดเร็ว”
“นั่นคือเหตุผลที่เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” เฟียร์กล่าว “และถ้าเป็นไปได้ เราควรจะหลีกเลี่ยงการปะทะโดยไม่จำเป็น เป้าหมายหลักของเราคือตามหาทีมของพวกคุณ และสืบหา ‘วัตถุโบราณ’ นั่น”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยและวางแผนกันอยู่นั้นเอง เสียงร้องแหลมสูงที่ฟังดูโหยหวนและเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งก็ดังขึ้นจากยอดหน้าผาที่อยู่ไม่ไกล! ก่อนที่เงาร่างของสิ่งมีชีวิตมีปีกขนาดใหญ่หลายตัวจะบินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัวพวกเขา!
“ดูเหมือนว่า… แขกที่ไม่ได้รับเชิญจะมาถึงแล้วสินะ” เฟียร์พึมพำ ดาบโค้งในมือของเธอถูกชักออกมาเตรียมพร้อม! “ทุกคน! เตรียมรับมือ! พวกมันคือ ‘ฮาร์ปี้คลั่ง’ แน่ๆ! จำนวนประมาณหกตัว!”
เสียงกระพือปีกดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่แหลมเสียดแก้วหู ฝูงฮาร์ปี้คลั่งกำลังบินวนอยู่เหนือหัวพวกเขา รูปร่างของพวกมันบิดเบี้ยวกว่าฮาร์ปี้ทั่วไป ดวงตาแดงก่ำ ปีกดูแข็งแกร่งและกรงเล็บยาวแหลมคมกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“พวกมันกำลังจะโฉบลงมา!” วัลคัสตะโกนเตือน พลางยกโล่ขึ้นสูงเตรียมป้องกัน [วัลคัส HP: 2500/2500 (100%) MP: 750/750 (100%)]
ลีอาน่าเล็งธนูขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว “เอลาร่า! ข้อมูลพวกมัน!” [ลีอาน่า HP: 1950/1950 (100%) MP: 950/950 (100%)]
เอลาร่ารีบเปิดหน้าต่าง “บัญชีข้อมูลอสูร” ของเธอ “ฮาร์ปี้คลั่ง… ข้อมูลจากคัมภีร์ระบุว่าพวกมันได้รับผลจากพลังงานประหลาด ทำให้ดุร้ายและแข็งแกร่งกว่าฮาร์ปี้ทั่วไป! อาจมีทักษะใหม่หรือความต้านทานที่เพิ่มขึ้น! จุดอ่อนยังคงเป็นปีกและลำตัว! แพ้ธาตุลม!” [เอลาร่า HP: 1600/1600 (100%) MP: 1800/1800 (100%)]
“ระวังการโจมตีจากหลายทิศทาง!” เฟียร์ตะโกนสั่ง “ไทร่า! ลูคัส! เตรียมสนับสนุน!” [เฟียร์ HP: 17000/17000 (100%) MP: 11000/11000 (100%)]
สิ้นเสียงของเฟียร์ ฮาร์ปี้คลั่งตัวแรกก็ดิ่งลงมาด้วยความเร็วสูง กรงเล็บของมันพุ่งเข้าใส่ลีอาน่า! ลีอาน่าเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดพร้อมกับยิงสวนกลับไปทันที! “[ศรเจาะเกราะ (Armor Piercing Arrow)]!”
“ฟิ้ว! ฉึก!” ลูกศรอาบพลังงานของเธอปักเข้าที่ปีกของฮาร์ปี้คลั่งตัวนั้นอย่างแม่นยำ! [DMG: 350] [ฮาร์ปี้คลั่ง #1 HP: 2650/3000 (88%)] มันร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ยังคงบินประคองตัวได้!
“มันยังบินได้อยู่! แต่ช้าลงนิดหน่อย!” ลีอาน่าตะโกน [ลีอาน่า MP: 925/950 (97%)]
วัลคัสคำรามลั่น พุ่งเข้าใส่ฮาร์ปี้คลั่งอีกตัวที่กำลังจะโจมตีเอลาร่าจากด้านหลัง เขาใช้โล่กระแทกมันอย่างแรง! “[โล่กระแทก (Shield Bash)]!” [DMG: 180 – Blocked by Harpy’s agility, minimal effect] ฮาร์ปี้คลั่งตัวนั้นเสียหลักเซถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนจะกรีดร้องแล้วใช้กรงเล็บตบเข้าที่โล่ของวัลคัสอย่างรุนแรง! [วัลคัส HP: 2050/2500 (82%)] [วัลคัส MP: 730/750 (97%)]
“พวกมันเร็วมาก! แถมยังตีแรงกว่าเดิม!” วัลคัสกัดฟัน
เฟียร์ตวัดดาบโค้งในมือเข้าใส่ฮาร์ปี้คลั่งที่กำลังบินวนอยู่ใกล้ๆ ดาบของเธอเปล่งประกายแสงสีแดงฉาน “[เพลงดาบเปลวอัคคี: สะบั้นปีก (Crimson Blade: Wing Sever)]!” คมดาบอาบเปลวไฟฟันเข้าที่ปีกของมันอย่างจัง! [DMG: 650] [CRITICAL HIT!] [ฮาร์ปี้คลั่ง #2 HP: 1700/3000 (56%) – สถานะ: ปีกไหม้, บินไม่ได้!] ฮาร์ปี้ตัวนั้นร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรง! [เฟียร์ MP: 10960/11000 (99%)]
[ฮาร์ปี้คลั่ง #2 ถูกกำจัด! ข้อมูลใหม่ถูกเพิ่มในบัญชีข้อมูลอสูร!]
หน้าต่าง “บัญชีข้อมูลอสูร” ของทุกคนในทีมสำรวจปรากฏข้อมูลใหม่:
[อัปเดตข้อมูลมอนสเตอร์ – จากการปะทะ]
ชื่อ: ฮาร์ปี้คลั่งแห่งสุสาน (Frenzied Harpy of the Sepulchre)
ประเภท: อสูรบินได้/ครึ่งคนครึ่งนก (กลายพันธุ์)
ระดับ: ประมาณ 110-125
HP: ประมาณ 3000-3500
จุดเด่น: โจมตีจากอากาศ, ความเร็วสูงมาก, กรงเล็บอาบพิษ (อ่อนๆ), เสียงกรีดร้องทำให้มึนงงและลดพลังป้องกันชั่วขณะ
จุดอ่อน: ปีก (ลดความสามารถในการบินอย่างมาก), ลำตัว (หากไม่มีเกราะป้องกัน), แพ้ธาตุลมรุนแรง, แพ้ธาตุไฟปานกลาง
ความสามารถที่รับรู้ได้: [โฉบพิษ (Venomous Dive)], [เสียงกรีดร้องสะท้าน (Deafening Shriek)], [ขนนกเหล็ก (Steel Feathers) – ยิงขนนกโจมตีระยะกลาง]
ความต้านทาน: ต้านทานธาตุดินสูง, ต้านทานสถานะผิดปกติบางชนิด
“ข้อมูลอัปเดตแล้ว!” เอลาร่าตะโกน “พวกมันมีพิษอ่อนๆ ที่กรงเล็บ! และยิงขนนกได้ด้วย! แพ้ลมกับไฟ!”
ลูคัส นักเวทจากกิลด์ปีกอัคคีพยักหน้ารับ เขาร่ายเวทอย่างรวดเร็ว วงเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นที่ปลายไม้เท้า “[พายุใบมีด (Blade Tempest)]!” ลำแสงลมคมกริบจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ฝูงฮาร์ปี้คลั่งที่เหลือ! [DMG: 450 x5 ต่อตัวที่โดน] ฮาร์ปี้สองตัวที่บินอยู่ใกล้กันโดนเข้าไปเต็มๆ ร้องเสียงหลง! [ลูคัส MP: 8940/9000 (99%)] [ฮาร์ปี้คลั่ง #1 HP: 350/3000 (11%)] [ฮาร์ปี้คลั่ง #4 HP: 750/3000 (25%)]
ไทร่า นักรบหญิงผมสั้นจากปีกอัคคี ใช้ดาบใหญ่ของเธอฟาดฟันฮาร์ปี้คลั่งที่พยายามจะเข้ามาใกล้พื้นอย่างดุดัน “พวกแกมันน่ารำคาญจริง!” เธอใช้ทักษะ [ดาบผ่าปฐพี (Earth Cleaver)] ฟาดเข้าใส่ฮาร์ปี้ที่เพิ่งร่วงลงมาแต่ยังไม่ตายสนิท! [DMG: 580] [ฮาร์ปี้คลั่ง #2 สิ้นใจ!] [ไทร่า MP: 700/800 (87%)]
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างชุลมุน ฮาร์ปี้คลั่งที่เหลืออีกสามตัวยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการประสานงานของทีมสำรวจ พวกเขาก็ค่อยๆ ได้เปรียบ ลีอาน่าใช้ [ศรติดตาม (Homing Arrow)] ยิงสกัดปีกของฮาร์ปี้ตัวที่กำลังจะโจมตีลูคัส [DMG: 320] [ฮาร์ปี้คลั่ง #4 HP: 110/3000 (3%)] [ลีอาน่า MP: 895/950 (94%)] วัลคัสใช้ [ยั่วยุ (Taunt)] ดึงความสนใจของฮาร์ปี้อีกตัวไว้ได้สำเร็จ เฟียร์กับไทร่าคอยจัดการตัวที่เข้ามาใกล้ ส่วนเอลาร่าร่าย [เกราะพลังจิต (Psionic Barrier)] ป้องกันตัวเองและลูคัสเป็นระยะ [เอลาร่า MP: 1730/1800 (96%)]
หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกพักใหญ่ ในที่สุดฮาร์ปี้คลั่งตัวสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ทุกคนต่างหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“จบ… จบแล้วจริงๆ ใช่ไหม” ลีอาน่าพึมพำ พลางลดคันธนูลง
[ลีอาน่า HP: 1770/1950 (90%)] [ลีอาน่า MP: 890/950 (93%)]
[วัลคัส HP: 1850/2500 (74%)] [วัลคัส MP: 700/750 (93%)]
[เอลาร่า HP: 1500/1600 (93%)] [เอลาร่า MP: 1680/1800 (93%)]
[เฟียร์ HP: 16200/17000 (95%)] [เฟียร์ MP: 10850/11000 (98%)]
[ไทร่า HP: 13000/14000 (92%)] [ไทร่า MP: 650/800 (81%)]
[ลูคัส HP: 9500/10000 (95%)] [ลูคัส MP: 8800/9000 (97%)]
“น่าจะนะ… อย่างน้อยก็สำหรับฝูงนี้” เฟียร์ตอบพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “พวกนี้แข็งแกร่งกว่าที่ข้อมูลเก่าบอกไว้เยอะ ถ้าเจอพวกกริฟฟินทมิฬจริงๆ คงจะหนักกว่านี้” เธอมองไปรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยซากฮาร์ปี้ “เก็บของที่พอจะมีประโยชน์ แล้วไปกันต่อ เราต้องรีบไปให้ถึงประภาคารก่อนที่อะไรๆ มันจะแย่ไปกว่านี้”
ทีมสำรวจเริ่มตรวจสอบซากฮาร์ปี้คลั่ง พวกมันดรอปขนนกสีดำทมิฬ, กรงเล็บอาบพิษ, และ ‘แก่นอสูรลมหายใจ (Harpy’s Breath Core)’ ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ดูมีราคากว่าขนนกธรรมดา หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งหน้าลึกเข้าไปในเกาะร้างแห่งนี้ โดยมีเป้าหมายคือประภาคารโบราณ และความหวังที่จะพบร่องรอยของเพื่อนร่วมทีมที่หายไป…
พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ ที่ขนาบข้างด้วยโขดหินสูงชันและซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณ บางครั้งก็ต้องปีนป่ายข้ามซากเรือที่เกยตื้นขวางทาง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมและเสียงคลื่นที่ดังอยู่ไกลๆ เฟียร์ยังคงเปิดหน้าต่างข้อมูลแผนที่โฮโลแกรมเป็นระยะเพื่อตรวจสอบเส้นทาง
“จากตรงนี้ ถ้าเราเดินตัดผ่านที่ราบสูงนั่นไป น่าจะประหยัดเวลาได้พอสมควร” เฟียร์ชี้ไปยังบริเวณหนึ่งบนแผนที่ “แต่ก็อย่างที่บอก แถวนั้นอาจจะมีพวกกริฟฟินทมิฬ”
“ถ้าเราอ้อมไปทางชายฝั่งจะปลอดภัยกว่าไหมคะ?” เอลาร่าเสนอ “ถึงจะไกลกว่า แต่ก็อาจจะเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็นได้”
“ก็อาจจะใช่” เฟียร์ครุ่นคิด “แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรซุ่มอยู่ตามชายฝั่งบ้างเหมือนกัน และเวลาของเราก็มีจำกัด”
ขณะที่กำลังตัดสินใจเลือกเส้นทาง วัลคัสที่เดินนำหน้าอยู่ก็ชะงัก “เดี๋ยวก่อน… นั่นมัน…” เขาชี้ไปยังร่องรอยบางอย่างบนพื้นดินที่ค่อนข้างอ่อนนุ่ม มันเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่… ใหญ่กว่ารอยเท้ามนุษย์ทั่วไปมาก และดูเหมือนจะเป็นรอยเท้าของสัตว์สี่เท้าที่มีกรงเล็บแหลมคม
“รอยเท้านี่มัน…” ลีอาน่าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ดูยังใหม่อยู่เลยนะ เหมือนเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน”
เฟียร์เข้ามาตรวจสอบรอยเท้านั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ผิดแน่… นี่มันรอยเท้าของกริฟฟิน… และดูจากขนาดแล้ว ไม่ใช่กริฟฟินธรรมดาแน่ๆ น่าจะเป็น ‘กริฟฟินทมิฬ’ อย่างที่ข้อมูลบอก” เธอมองไปยังทิศทางที่รอยเท้านั้นมุ่งหน้าไป “มันตรงไปยังเส้นทางที่เราจะไปประภาคารพอดี”
“หมายความว่ายังไงคะกัปตัน?” เอลาร่าถาม
“หมายความว่า… เราอาจจะเลี่ยงการปะทะกับมันไม่ได้แล้วล่ะ” เฟียร์ตอบพลางกระชับดาบในมือ “เตรียมตัวให้พร้อม บางทีเราอาจจะต้องเจองานหนักกว่าที่คิด”
Chapters
Comments
- ตอนที่ 21 แสงยามค่ำคืนและเงื่อนงำในความทรงจำ 2 วัน ago
- ตอนที่ 20 เสียงสะท้อนในหอศิลป์ลอยฟ้า 2 วัน ago
- ตอนที่ 19 รอยแผลในความทรงจำ 2 วัน ago
- ตอนที่ 18 ราชโองการ เปลวสงคราม และพันธมิตรใหม่ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 17 ตัวตนของเรเวน พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 16 สังเวยเลือดอัญเชิญอสูร พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 15 สามก๊กสังหาร ณ สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 14 ร่องรอยเลือด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 13 เทียบท่า...สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 12 การเดินทางอันตรายสู่เกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 11 คำเตือนจากเงามืด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 10 ฝ่าคมเขี้ยวอสูรแมงมุม พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 9 เสียงเพรียกจากเกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 8 เสียงกระซิบจากซากเรือรบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 7 เงื่อนงำในม่านหมอก พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 6 พันธสัญญาแห่งการเริ่มต้น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 5 เมื่อความตายไม่ใช่จุดจบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 4 อเวจีในเศษซากวิญญาณ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 3 ก้นบึ้งแห่งความมืดมิด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 2 การทรยศกลางเปลวเพลิง พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 1 เงาในหมู่ผู้เล่น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำการแตกสลาย (Rewrite) พฤษภาคม 30, 2025
MANGA DISCUSSION