ตอนที่ 8 เสียงกระซิบจากซากเรือรบ
บทที่ 8: เสียงกระซิบจากซากเรือรบ
ภายในซากเรือลำมหึมาที่เอียงกระเท่เร่ ความมืดและความอับชื้นคือสิ่งที่ต้อนรับทีมของเรเวน แสงสลัวๆ จากภายนอกที่ลอดผ่านรูโหว่และรอยแตกของลำเรือส่องให้เห็นเพียงภาพเลือนรางของโครงสร้างไม้ที่ผุพังและเต็มไปด้วยเพรียงทะเล เสียงคำรามของพวกครัสเตเซียนศิลาจากด้านนอกยังคงดังแว่วมาเป็นระยะ แต่ก็ค่อยๆ เบาลงเมื่อพวกมันไม่สามารถตามเข้ามาได้
ทุกคนทรุดลงนั่งกับพื้นไม้อันเย็นเฉียบและลื่นเหนียวด้วยเมือกบางอย่าง หอบหายใจอย่างหนัก เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวผสมกับคราบเลือดและฝุ่นดิน กลิ่นเค็มของทะเล กลิ่นสนิมเหล็ก และกลิ่นเหม็นอับของไม้ผุพังคละคลุ้งจนแทบสำลัก
“แฮ่ก…แฮ่ก…เกือบไปแล้วไหมล่ะ” บรอคเป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากปรับลมหายใจได้บ้าง เขาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยแขนเสื้อที่เปรอะเปื้อน “ไอ้ปูบ้านั่น…แข็งกว่าที่คิดไว้เยอะ ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากเอลาร่ากับทักษะวิเคราะห์ของเจ้ากริฟฟิน พวกเราคงได้กลายเป็นปุ๋ยให้ปะการังแถวนี้ไปแล้ว” แม้จะยังคงมีท่าทีหงุดหงิด แต่ในน้ำเสียงของเขาก็แฝงไปด้วยความโล่งอกและความยอมรับในตัวเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น
กริฟฟินพยักหน้ารับ พลางใช้เศษผ้าที่พอหาได้พันแผลที่แขนซึ่งถูกก้ามของอสูรปูหนีบจนเป็นรอยช้ำเลือด “คัมภีร์นักสำรวจที่ลีอาน่าให้มาพอจะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานได้บ้าง แต่รายละเอียดส่วนใหญ่จะชัดเจนขึ้นก็ต่อเมื่อเราเห็นมันใช้ความสามารถจริงๆ หรือไม่ก็ต้องมีคนที่มีทักษะวิเคราะห์เฉพาะทางสูงกว่านี้ หรือไม่ก็…ต้องจ่ายหนักเพื่อซื้อข้อมูลจากพวกนักวิเคราะห์มอนสเตอร์มืออาชีพ”
“อย่างน้อยข้อมูลเรื่องการแพ้ธาตุสายฟ้ากับจุดอ่อนที่ท้องก็ยังพอใช้ได้” ไครอสพูดพลางตรวจดูคมดาบเหล็กกล้าเล่มใหม่ของเขา มันมีรอยบิ่นเล็กน้อยจากการปะทะกับเปลือกแข็งของครัสเตเซียนศิลา “แต่ด้วยอาวุธและพลังที่เรามีตอนนี้ การจะเจาะเกราะพวกมันตรงๆ หรือหาจังหวะโจมตีจุดอ่อนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” เขานึกถึงอดีตที่เคยสามารถใช้ดาบคู่ทะลวงเกราะมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้อย่างง่ายดายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
เรเวนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยืนพิงผนังเรือที่ผุพัง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ ซากเรืออย่างระมัดระวัง ประสบการณ์จากการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนสอนให้เขารู้ว่าสถานที่ที่ดูเหมือนปลอดภัยที่สุดมักจะซ่อนอันตรายที่ไม่คาดคิดไว้เสมอ “อย่าเพิ่งวางใจไป” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ที่นี่อาจจะมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น ตรวจสอบรอบๆ หาอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์หรือเป็นอันตราย”
ทุกคนพยักหน้ารับ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็ไม่มีใครกล้าประมาท พวกเขาเริ่มแยกย้ายกันสำรวจภายในซากเรืออย่างเงียบเชียบ ซากเรือลำนี้ดูเหมือนจะเป็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ในอดีต อาจจะเป็นเรือแกลเลียนหรือเรือคาราเวลที่ใช้ในการเดินทางข้ามทะเลลึก ผนังไม้โอ๊คหนาที่เคยแข็งแกร่งบัดนี้ผุกร่อนและมีรูพรุนจากกาลเวลาและการกัดเซาะของน้ำเค็ม มีร่องรอยของการต่อสู้หรือภัยพิบัติปรากฏอยู่ทั่วไป เสากระโดงเรือหักโค่นระเกะระกะ เชือกขาดวิ่นห้อยต่องแต่งเหมือนใยแมงมุมยักษ์
บรอคเดินเตะถังไม้เก่าๆ ที่วางขวางทางอย่างหัวเสีย “มีแต่ของเน่าๆ ทั้งนั้น!” เขาบ่น แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นหีบเหล็กใบหนึ่งซ่อนอยู่ใต้กองผ้าใบที่เปื่อยยุ่ย “เฮ้ย! ลองดูนี่สิ!” เขารีบเข้าไปงัดแงะหีบใบนั้นด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อเปิดออกก็พบเพียงเหรียญทองแดงขึ้นสนิมไม่กี่เหรียญและเศษกระดาษที่เปียกชื้นจนอ่านไม่ออก “ให้ตายเถอะ! นึกว่าจะเจอของดีซะอีก”
ไครอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆ ที่เคยเป็นส่วนของห้องพักลูกเรือ เขาพบโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตบางอย่างนอนกองอยู่ตามมุมมืด บางโครงยังคงสวมใส่เศษชุดเกราะหนังที่ขาดวิ่น “ดูเหมือนที่นี่จะเคยมีคนพยายามจะสู้หรือหนีอะไรบางอย่าง” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางสังเกตเห็นรอยดาบและรอยข่วนขนาดใหญ่บนผนัง
กริฟฟินเดินไปอีกทางหนึ่ง เขาพบห้องที่น่าจะเป็นห้องเก็บเสบียง มีถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่หลายใบ แต่ส่วนใหญ่ก็ว่างเปล่าหรือมีเพียงน้ำทะเลเน่าๆ ขังอยู่ข้างใน ทว่าในถังใบสุดท้ายที่เขาลองเปิดดู เขากลับพบถุงหนังเล็กๆ ที่ยังปิดผนึกอย่างดี เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็น “เนื้อแดดเดียวหมักเกลือ” จำนวนหนึ่ง แม้จะดูเก่าเก็บแต่ก็ยังไม่เน่าเสีย “อย่างน้อยก็มีอะไรให้กินบ้างล่ะนะ!” เขาร้องออกมาอย่างดีใจ
ขณะเดียวกัน เรเวนเดินสำรวจไปยังส่วนท้ายของเรือที่ดูเหมือนจะเป็นห้องกัปตัน สภาพของมันยังค่อนข้างสมบูรณ์กว่าส่วนอื่น มีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มคว่ำอยู่ และชั้นหนังสือที่ว่างเปล่า บนผนังมีรอยขีดเขียนบางอย่างจางๆ “นั่นมัน…” เขาเดินเข้าไปใกล้ ใช้มือปัดคราบตะไคร่น้ำและสิ่งสกปรกออก เผยให้เห็นสัญลักษณ์แปลกๆ ที่ถูกสลักไว้บนเนื้อไม้
“สัญลักษณ์อะไรน่ะ?” บรอคที่เดินตามมาสมทบถามอย่างสงสัย
“ข้าไม่แน่ใจ” เรเวนขมวดคิ้ว “แต่ดูเหมือนจะเป็นภาษาโบราณบางชนิด หรือไม่ก็เป็นรหัสลับ” เขาลองใช้ทักษะ [อ่านอักขระโบราณ (Decipher Ancient Script)] ที่เขาเคยเรียนรู้มาบ้าง พลันข้อมูลบางอย่างก็ผุดขึ้นในการรับรู้ของเขา, เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ “ระบบ” แสดงผล, แต่ก็ยังคลุมเครือ: [วิเคราะห์อักขระ: ภาษาโบราณไม่ทราบที่มา – ข้อมูลไม่เพียงพอ – ต้องการความชำนาญหรือตำราเฉพาะทางเพิ่มเติม]
“บางทีเอลาร่าอาจจะพอรู้เรื่องนี้” ไครอสเสนอ “เธอน่าจะมีความรู้ด้านภาษาโบราณมากกว่าพวกเรา”
“เก็บข้อมูลไว้ก่อน” เรเวนตัดสินใจ “ตอนนี้เราต้องหาทางไปยังประภาคารให้ได้”
หลังจากรวบรวมเสบียงเล็กน้อยที่พอหาได้และตรวจสอบว่าไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ในซากเรือลำนี้แล้ว พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันเพื่อวางแผนการเดินทางต่อไป
“จากตรงนี้ เราจะไปยังประภาคารได้ยังไง?” เสียงของลีอาน่าดังขึ้นผ่านระบบสื่อสารของปาร์ตี้, การเชื่อมต่อที่ยังคงทำงานได้แม้ในสภาพที่อ่อนแอ, หรืออาจเป็นเพียงความคิดของเรเวนที่กำลังประมวลผลข้อมูลจากแผนที่คร่าวๆ ของหมู่เกาะสุสานเรืออับปางที่เอลาร่าพอจะร่างขึ้นมา ซึ่งเขากำลังพิจารณาอยู่บนฝ่ามือราวกับเป็นภาพโฮโลแกรมขนาดเล็กที่ฉายออกมาจากการรับรู้ของเขาเอง
“ถ้าตามแผนที่นี้ ประภาคารน่าจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะนี้” เสียงของเอลาร่าตอบกลับมา (หรือเป็นข้อมูลที่เรเวนกำลังวิเคราะห์) “แต่เส้นทางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยซากเรือที่หนาแน่นและแนวปะการังที่อันตราย อาจจะต้องอ้อมไปทางใต้ก่อนแล้วค่อยหาทางตัดขึ้นไป”
“อ้อมไปทางใต้รึ?” บรอคทำหน้าเบ้ “เสียเวลาชะมัด ทำไมเราไม่ลุยตรงไปเลยล่ะ?”
“เพราะถ้าเราลุยตรงไป เราอาจจะไปเจอกับดักหรือศัตรูที่เรายังไม่พร้อมจะรับมือก็ได้” เสียงของวัลคัสแทรกขึ้น “อย่าลืมว่าเราอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ การเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยกว่า แม้จะอ้อมหน่อย ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”
“ข้าเห็นด้วยกับวัลคัส” เรเวนกล่าว “การบุ่มบ่ามเข้าไปมีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง เราควรจะเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังและพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด”
หลังจากปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เอลาร่าเสนอ คือการอ้อมไปทางใต้ของเกาะก่อน แล้วค่อยหาทางลัดเลาะผ่านซากเรือไปยังประภาคาร
การเดินทางออกจากซากเรือลำที่พวกเขาใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวเป็นไปด้วยความยากลำบากกว่าเดิม พวกครัสเตเซียนศิลาที่ยังคงวนเวียนอยู่ด้านนอกดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และพวกมันก็ดูกระตือรือร้นที่จะขย้ำผู้บุกรุกมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ทีมของเรเวนต้องอาศัยจังหวะและการทำงานเป็นทีมอย่างสูงในการหลบหลีกและต่อสู้เพื่อเปิดทาง บรอคและกริฟฟินรับหน้าที่เป็นหน่วยทะลวงคอยดึงดูดความสนใจและรับการโจมตี ส่วนเรเวนและไครอสคอยโจมตีจากด้านข้างและจัดการกับตัวที่หลุดเข้ามา ประสบการณ์จากการเป็นผู้เล่นระดับสูงทำให้พวกเขารู้จังหวะในการหลบหลีก การป้องกัน และการสวนกลับได้ดีกว่าผู้เล่นทั่วไป แม้พลังโจมตีและพลังป้องกันจะลดลงไปมาก แต่สัญชาตญาณในการต่อสู้ยังคงเฉียบคม
“ทางนี้!” เรเวนตะโกนพลางชี้ไปยังช่องว่างระหว่างซากเรือสองลำที่พอจะใช้เป็นทางผ่านได้
ทุกคนรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฝูงครัสเตเซียนศิลาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอยู่เบื้องหลัง
เส้นทางที่พวกเขาเลือกเต็มไปด้วยอุปสรรค ซากเรือที่ผุพังพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ พื้นดินที่เต็มไปด้วยโคลนเลนดูดเท้า และแอ่งน้ำเค็มที่ซ่อนอันตรายบางอย่างไว้เบื้องล่าง หมอกยังคงลงจัดทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่ และเสียงคลื่นที่ซัดสาดกระทบซากเรือก็สร้างบรรยากาศที่กดดันและน่าหวาดหวั่น
ขณะที่พวกเขากำลังลัดเลาะผ่านซากเรือรบโบราณลำหนึ่งที่ผุพังจนเหลือแต่โครงเหล็กขึ้นสนิมขนาดใหญ่ ซึ่งดูเหมือนจะเคยเป็นเรือธงของกองทัพเรือในอดีต บรรยากาศรอบตัวก็พลันเย็นเยียบลงอย่างประหลาด เสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านช่องโหว่ของซากเรือราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ
“ข้ารู้สึกไม่ดีเลยว่ะ” บรอคพูดเสียงเบา พลางกระชับขวานในมือแน่น สัญชาตญาณของนักรบกำลังเตือนภัย
ทันใดนั้น! เงาร่างโปร่งแสงหลายสายก็พุ่งออกมาจากเงามืดของซากเรือ! พวกมันคือ “วิญญาณกะลาสีคลั่ง (Frenzied Mariner Spirits)” ดวงตาของพวกมันลุกเป็นไฟสีฟ้าเย็นเยียบ มือที่โปร่งแสงของพวกมันถือดาบกะลาสีที่ขึ้นสนิมแต่ยังคงความคมกริบ
กริฟฟินพยายามใช้ทักษะ [วิเคราะห์สิ่งมีชีวิตเบื้องต้น] ข้อมูลที่ปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเขานั้นน่าขนลุก:
[ข้อมูลมอนสเตอร์เบื้องต้น – จากทักษะวิเคราะห์ผ่านคัมภีร์]
ชื่อ: วิญญาณกะลาสีคลั่ง (Frenzied Mariner Spirit)
ระดับ: ประมาณ 32-38
ประเภท: อันเดด / วิญญาณ
HP: ??? (แถบพลังชีวิตปรากฏเป็นสีม่วงคล้ำ บ่งบอกถึงพลังงานวิญญาณที่ยากจะวัดค่าได้ชัดเจน)
จุดเด่น: ต้านทานการโจมตีกายภาพสูง, เคลื่อนไหวไร้เสียง, สามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางบางชนิดได้
จุดอ่อนที่สังเกตได้: แพ้การโจมตีธาตุแสงหรือเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์, อาจจะถูกขับไล่ด้วยไอเทมบางชนิด
ความสามารถที่รับรู้ได้: [ดาบวิญญาณ (Spirit Blade)], [เสียงคร่ำครวญ (Wailing Cry) – ลดขวัญกำลังใจ]
“พวกมันเป็นวิญญาณ! การโจมตีกายภาพปกติอาจจะไม่ได้ผล!” กริฟฟินตะโกนเตือน
“ให้ตายสิ! แล้วพวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับมันวะ!” บรอคสบถอย่างหัวเสียเมื่อขวานของเขาฟันผ่านร่างโปร่งแสงของวิญญาณตนหนึ่งไปโดยแทบไม่สร้างความเสียหาย ตัวเลขความเสียหายสีเทาจางๆ ที่ผุดขึ้นในการรับรู้ของเขาแสดงค่าเพียง DMG: 3 ซึ่งน้อยนิดจนน่าหัวเราะ
เรเวนขมวดคิ้ว เขาไม่มีอาวุธหรือสกิลธาตุแสงติดตัวมา “ไครอส! กริฟฟิน! พยายามดึงความสนใจพวกมันไว้! บรอค! คอยป้องกัน! ข้าจะลองดูว่าจะพอทำอะไรได้บ้าง!”
เรเวนหลับตาลงครู่หนึ่ง พยายามรวบรวมพลังงานที่เหลืออยู่น้อยนิดในร่างกายของเขา ประสบการณ์จากการต่อสู้กับศัตรูประเภทวิญญาณในอดีตผุดขึ้นมาในหัว เขานึกถึงหลักการที่ว่าพลังงานชีวิตหรือ “เจตจำนง” ที่แข็งแกร่งอาจจะสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปร่างได้ เขาเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ดาบในมือของเขาเริ่มมีประกายแสงสีเงินจางๆ ห่อหุ้ม มันไม่ใช่พลังธาตุแสงโดยตรง แต่เป็น “เจตจำนงสังหาร” ที่เข้มข้นจนสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานที่สัมผัสได้
“ลองนี่ดู!” เรเวนพุ่งเข้าใส่วิญญาณตนหนึ่ง ดาบที่อาบด้วยเจตจำนงของเขาฟันเข้าใส่ร่างโปร่งแสงนั้น!
“อ๊าาา!” วิญญาณตนนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันสั่นสะเทือนและดูเหมือนจะเลือนรางลงเล็กน้อย! ตัวเลขความเสียหายสีขาวสว่างวาบขึ้นในการรับรู้ของเรเวน DMG: 45 แม้จะไม่มากนักเมื่อเทียบกับพลังชีวิตของวิญญาณ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันสร้างความเสียหายได้จริง แถบพลังชีวิตสีม่วงคล้ำของวิญญาณตนนั้นลดลงเล็กน้อย
“ได้ผล! เจตจำนงของเราสามารถทำร้ายพวกมันได้!” ไครอสตะโกนอย่างมีความหวัง เขาเริ่มรวบรวมสมาธิและความมุ่งมั่นทั้งหมดลงไปในดาบเหล็กกล้าของเขา เมื่อเขาฟันเข้าใส่วิญญาณอีกตน ตัวเลขความเสียหาย DMG: 38 ก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
การต่อสู้กับฝูงวิญญาณกะลาสีคลั่งเป็นไปอย่างยากลำบากและตึงเครียด พวกเขาต้องอาศัยความมุ่งมั่นและเจตจำนงที่แข็งแกร่งในการสร้างความเสียหายให้กับศัตรูที่จับต้องได้ยากเหล่านี้ เสียงคร่ำครวญของพวกวิญญาณส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้สมาธิของพวกเขาไขว้เขวอยู่ตลอดเวลา การโจมตีแต่ละครั้งต้องใช้สมาธิอย่างสูงเพื่อส่ง “เจตจำนง” เข้าไปในอาวุธ ทำให้พลังกายและพลังใจลดลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถปัดเป่าวิญญาณกะลาสีคลั่งฝูงสุดท้ายให้สลายไปได้ แต่ทุกคนก็อยู่ในสภาพที่อิดโรยทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“ให้ตายเถอะ… นี่มันยังไม่ถึงครึ่งทางเลยใช่ไหม” บรอคพูดพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง หายใจหอบหนัก
เรเวนมองไปยังทิศที่คาดว่าประภาคารจะตั้งอยู่ ม่านหมอกยังคงบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า “ยังอีกไกล” เขาตอบเสียงเรียบ “และดูเหมือนว่า… ยิ่งเราเข้าใกล้ อันตรายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น”
แววตาของเขามองออกไปยังใจกลางของสุสานเรืออับปาง ที่ซึ่งเงาตะคุ่มของประภาคารโบราณตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางม่านหมอกหนาทึบ ราวกับหอคอยแห่งความสิ้นหวังที่รอคอยเหยื่อรายต่อไป…
ยังไม่ทันที่เรเวนจะกล่าวอะไรต่อ เสียงคำรามอันกึกก้องและทรงพลังยิ่งกว่าครั้งใดๆ ก็ดังสะท้านขึ้นจากใจกลางของสุสานเรืออับปาง! มันไม่ใช่เสียงของครัสเตเซียนศิลาหรือวิญญาณกะลาสี แต่เป็นเสียงของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวกว่านั้นมากนัก พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ซากเรือที่พวกเขาใช้เป็นจุดพักพิงเริ่มส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดราวกับกำลังจะพังทลายลงมา
“ดูเหมือน ‘ผู้พิทักษ์’ จะตื่นแล้ว!” เรเวนกัดฟันพูด ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “พลังงานแบบนี้… มันกำลังทำให้ทั้งเกาะไม่เสถียร!”
ครืนนน! ครืนนนน!
เสียงโครงสร้างของซากเรือต่างๆ รอบตัวเริ่มบิดเบี้ยวและถล่มลงมาอย่างต่อเนื่อง พื้นดินที่พวกเขาเหยียบอยู่เริ่มแยกออกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ น้ำทะเลทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วสร้างกระแสน้ำวนที่รุนแรง!
“แย่แล้ว! ที่นี่กำลังจะถล่ม!” ไครอสตะโกนลั่น พยายามทรงตัวบนพื้นที่สั่นคลอน
“ทุกคน! หาที่ยึดเกาะไว้! พยายามอยู่รวมกัน!” เรเวนตะโกนสั่ง แต่เสียงของเขาแทบจะถูกกลืนหายไปกับเสียงครืนๆ ของซากเรือที่พังทลายและเสียงคลื่นที่บ้าคลั่ง
บรอคพยายามจะคว้าแขนของกริฟฟินไว้ แต่พื้นใต้เท้าของพวกเขาก็ยุบตัวลงกะทันหัน! ร่างของทั้งสองคนถูกกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกรากดูดกลืนหายไปในความมืดมิดใต้ซากปรักหักพัง
“บรอค! กริฟฟิน!” ไครอสตะโกนเรียกด้วยความตกใจสุดขีด เขาพยายามจะเอื้อมมือไปช่วย แต่ก็ถูกเศษซากเรือขนาดใหญ่ที่ถล่มลงมาซัดจนกระเด็นไปอีกทาง
เรเวนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความตกใจ ความโกรธ และความรู้สึกผิดที่พาพวกเขามาเจอกับอันตรายเช่นนี้ เขากำลังจะหันไปหาไครอส แต่แล้วซากเสากระโดงเรือขนาดมหึมาก็หักโค่นลงมาตรงหน้าเขาพอดี!
ตูมมมม!
แรงกระแทกและเศษซากที่ปลิวกระจายทำให้ทุกอย่างพร่าเลือน ความมืดมิดเข้าครอบงำอีกครั้ง เสียงสุดท้ายที่ไครอสได้ยินก่อนที่สติจะดับวูบไปคือเสียงคำรามอันกึกก้องของผู้พิทักษ์ที่ดังมาจากที่ห่างไกล และเสียงเรียกชื่อของเขาที่แผ่วเบา…
เมื่อไครอสรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็นอนอยู่บนชายหาดเล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง มองไม่เห็นใครเลยรอบตัว มีเพียงซากเรือที่แตกกระจายและเสียงคลื่นที่ซัดสาดอย่างไม่หยุดหย่อน “ทุกคน… เรเวน… บรอค… กริฟฟิน…” เขาพยายามตะโกนเรียก แต่ก็มีเพียงเสียงลมและเสียงคลื่นที่ตอบกลับมา
Chapters
Comments
- ตอนที่ 21 แสงยามค่ำคืนและเงื่อนงำในความทรงจำ มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 20 เสียงสะท้อนในหอศิลป์ลอยฟ้า มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 19 รอยแผลในความทรงจำ มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 18 ราชโองการ เปลวสงคราม และพันธมิตรใหม่ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 17 ตัวตนของเรเวน พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 16 สังเวยเลือดอัญเชิญอสูร พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 15 สามก๊กสังหาร ณ สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 14 ร่องรอยเลือด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 13 เทียบท่า...สุสานเรือ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 12 การเดินทางอันตรายสู่เกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 11 คำเตือนจากเงามืด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 10 ฝ่าคมเขี้ยวอสูรแมงมุม พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 9 เสียงเพรียกจากเกาะมรณะ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 8 เสียงกระซิบจากซากเรือรบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 7 เงื่อนงำในม่านหมอก พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 6 พันธสัญญาแห่งการเริ่มต้น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 5 เมื่อความตายไม่ใช่จุดจบ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 4 อเวจีในเศษซากวิญญาณ พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 3 ก้นบึ้งแห่งความมืดมิด พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 2 การทรยศกลางเปลวเพลิง พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 1 เงาในหมู่ผู้เล่น พฤษภาคม 30, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำการแตกสลาย (Rewrite) พฤษภาคม 30, 2025
MANGA DISCUSSION