หลังจากที่ เวอร์มอนด์ ได้ใช้เวลาเพียงแค่เล็กน้อยในการรายงานสถานการณ์การต่อสู้ที่เมืองใต้ดินและที่หน้าทางขึ้นลงอันเป็นศูนย์ปฏิบัติการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็ได้ถูกไนน์ฮาร์ทเอ่ยปากไล่ออกมาจากท้องพระโรงของเมืองแพนเทร่าโดยที่แทบจะยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดโอ้อวดแผนการของตนที่ใช้ในการจัดการกับกบฏไมเคิลที่กลับมาก่อความวุ่นวายเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นไนน์ฮาร์ทผู้เป็นราชาแห่งเมืองแพนเทร่าก็ไม่ได้เอ่ยปากไล่เวอร์มอนด์ออกไปส่งๆ แต่ว่ากลับเป็นการสั่งให้เวอร์มอนด์กลับไปพักผ่อนก่อนสักคืนหนึ่งก่อนจะเดินทางไปยังห้องรับรองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนหอคอยของปราสาทแพนเทร่าอันเป็นห้องรับรองที่ถูกกล่าวขานกันในหมู่ขุนนางว่าเป็นห้องรับรองที่งดงามที่สุดเนื่องจากเมื่อมองออกมาจากหน้าต่างบานใหญ่ของห้องรับรองแล้ว พวกเขาจะสามารถมองเห็นเมืองแพนเทร่าที่แสนสวยงามดั่งอัญมณีของพวกเขาได้ทั้งเมือง
ซึ่งการที่ไนน์ฮาร์ทสั่งให้เวอร์มอนด์เดินทางไปยังห้องรับรองนั้นก็ได้ทำให้เขาค่อนข้างจะรู้สึกอิ่มเอมใจไม่ใช่น้อย เนื่องจากว่าโดยปกติแล้วห้องรับรองนี้จะถูกใช้ในการรองรับแขกบ้านแขกเมืองที่มีความสำคัญสูงสุดอย่างเช่นพระราชาหรือเชื้อพระวงศ์ของเมืองต่างๆ เท่านั้น ทำให้แม้แต่เขาที่มีตำแหน่งเป็นท่านเคานต์ของเมืองแพนเทร่าอีกทั้งยังมีสายเลือดของราชวงศ์ก็ยังไม่สามารถขอใช้งานห้องรับรองที่ว่านั่นได้เป็นการบ่งบอกว่าถึงแม้ไนน์ฮาร์ทจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่พระราชาของเมืองแพนเทร่าก็คงจะรู้สึกพึงพอใจกับผลงานของเขาอย่างแน่นอน
และเพราะอย่างนั้น มันก็ทำให้เวอร์มอนด์ไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่า ตลอดเส้นทางที่เขาเดินผ่านมานั้น เขาไม่ได้พบเห็นขุนนาง ข้ารับใช้ หรือแม้แต่ทหารยามสักคนเลยแม้แต่น้อย หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องรับรองและไม่เห็นแม้แต่เงาของทหารยามที่ควรจะยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูห้องสำคัญแห่งนี้แม้แต่สักคนเดียว จะมีก็เพียงแค่เสียงฝีเท้าของเขาเองที่ดังก้องไปตามโถงทางเดินที่เงียบสงัด
“พวกทหารยามไปไหนกันหมด หืม… เสียงนี้…”
แต่ก็ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทันรู้สึกสงสัยซะด้วยซ้ำ เวอร์มอนด์ก็ได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ของเหล่าขุนนางบางคนที่เขารู้จักดังออกมาจากภายในห้องรับรองที่อยู่เบื้องหน้า เขาจึงได้ผลักประตูห้องรับรองให้เปิดออก และนั่นก็ทำให้มีเสียงของขุนนางสองสามคนที่รอเขาอยู่ภายในอยู่ก่อนแล้วดังขึ้นมาต้อนรับเขาในทันที
“ชิ สำเร็จจริงๆ หรอเนี่ย ฉันก็นึกว่าเจ้าคนส่งข่าวนั่นมันพูดผิดซะอีกนะ”
“วู้ ไหนชนแก้วให้กับฮีโร่ประจำเมืองของพวกเราหน่อยสิ~”
“ก็บอกแล้วใช่มั้ยล่ะว่าที่เจ้าหมอนี่มาช้าเพราะว่าโดนเรียกไปรายงานเฉยๆ น่ะ! เอ้า ส่งเงินของนายมาได้แล้ววินสตัน!”
เสียงร้องโหวกเหวกของขุนนางทั้งสามคนที่นั่งรอเวอร์มอนด์อยู่ก่อนแล้วได้ทำให้เขาต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าทั้งสามคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าก็คือเหล่าเพื่อนขุนนางคนสนิทในกลุ่มเดียวกันกับเขา ที่เวลามีอะไรก็มักจะมาปรึกษากัน ช่วยเหลือกันเกื้อกูลกัน หรือแม้แต่ก่อเรื่องวุ่นวายด้วยกันนั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ด้วยความที่บทสนทนาเบื้องหน้ามีคำพูดที่เกี่ยวข้องกับคำว่าเงินมาเกี่ยวข้องด้วยมันก็ได้ทำให้เวอร์มอนด์ต้องหันไปหาขุนนางอีกคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินด้วยขึ้นมา
“นี่สองคนนั้นเขาเอาภารกิจของผมไปพนันกันงั้นหรอครับ ดาร์เรล?”
“จะว่าอย่างงั้นมันก็ใช่ แต่เป็นพนันว่านายจะโดนหามไปห้องพยาบาลเพราะว่าโดนกบฏไมเคิลกระทืบมาหรือว่าจะได้มากินเลี้ยงกับพวกเราในห้องนี้ต่างหากล่ะ เรื่องภารกิจของนายจะสำเร็จหรือเปล่าน่ะพวกฉันไม่สงสัยหรอก เพราะถ้าเกิดว่าพลาดขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็คงจะไม่มีของพวกนี้อยู่ที่นี่หรอกใช่มั้ยล่ะ อ๋อใช่ พวกฉันเริ่มฉลองกันไปก่อนแล้ว ไม่ว่ากันนะ”
ขุนนางหนุ่มผู้มีผมสีเขียวเข้มและนัยน์ตาสีแดงที่ถูกเรียกว่าดาร์เรลได้ยกแก้วไวน์ที่มีของเหลวสีแดงสดในมือของเขาขึ้นและผงกหัวไปบนโต๊ะตัวยาวของห้องรับรองที่ในบัดนี้เรียงรายไปด้วยขวดแก้วสีทึบหรูหราที่บรรจุไปด้วยของเหลวหลากหลายสีสัน และขนมทั้งของหวานของคาวที่เป็นที่โปรดปรานของเหล่าชนชั้นสูงอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งเวอร์มอนด์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มและส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเป็นเชิงบ่งบอกว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนที่ทันใดนั้นเองขุนนางหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงที่แพ้พนันก่อนหน้านี้จะเดินเข้ามาเอาแขนคล้องคอเขาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับยื่นแก้วไวน์อีกแก้วหนึ่งให้เขา
“เอ้าๆ มัวแต่ยืนนิ่งทำไมเหล่าพ่อฮีโร่ มาดื่มให้กับความสำเร็จของนายกันดีกว่าน่า!”
“เอาแบบนั้นก็ได้ล่ะครับ ว่าแต่นี่พวกคุณก็โดนสั่งให้มาที่นี่กันหมดเลยหรอครับ?”
เวอร์มอนด์รับแก้วไวน์มาจากเพื่อนของเขาพร้อมกับเอ่ยปากพูดถามคนอื่นๆ ขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เพื่อนขุนนางคนสุดท้ายของเขาที่เป็นผู้ชายที่มีเส้นผมและนัยน์ตาสีดำที่มีตำแหน่งเป็นเพียงแค่บารอนต้องเอ่ยปากพูดตอบเขากลับมา
“มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะ องค์ราชาส่งคนมาบอกว่าให้พวกฉันมารอนายที่นี่จนกว่านายจะมาน่ะ”
“แล้วถึงองค์ราชาจะไม่ได้แจ้งมาว่าเป็นเรื่องอะไรก็เถอะ แต่พอเห็นพวกสาวใช้ขนของพวกนี้เข้ามาพวกฉันก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่าภารกิจของนายมันสำเร็จแล้วน่ะ”
“แถมยังสำเร็จแบบไร้รอยขีดข่วนอีกต่างหาก สมกับที่เป็นท่านเวอร์มอนด์จริงๆ ฮะฮะ!”
แกร๊ง~!
หลังจากที่เหล่าเพื่อนๆ ของเวอร์มอนด์พูดขึ้นมาจบพวกเขาก็ได้ยกแก้วไวน์ในมือขึ้นมาชนกันเล็กน้อยและยกแก้วไวน์ในมือขึ้นมาดื่มเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับภารกิจที่ประสบความสำเร็จของเพื่อนของตนก่อนที่ขุนนางหนุ่มผมสีแดงที่ชื่อว่าวินสตันจะพ่นลมหายใจออกมาและพูดขึ้นมาเสียงดัง
“ฮ่า~ เหล้าหลังจบภารกิจนี่มันอร่อยจริงๆ ~!”
“ถึงนายจะไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับภารกิจที่ว่านั่นเลยน่ะนะ?”
“เฮ้ยพูดงี้มันหาเรื่องกันนี่หว่าเชสเตอร์ งี้มาแข่งกันเลยดีกว่ามั้ยว่าใครจะดื่มได้เยอะกว่ากันน่ะ!”
ในขณะที่วินสตันและขุนนางผมสีดำที่ชื่อว่าเชสเตอร์ได้หันไปท้าแข่งกันดื่มอยู่นั้น ทางด้านดาร์เรลที่ดูสุขุมกว่าและไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกับเพื่อนๆ ของเขาด้วยนั้นก็ได้ยกแก้วไวน์ของเขาขึ้นมาดื่มเงียบๆ ก่อนที่เขาจะพูดถามเวอร์มอนด์ขึ้นมา
“แต่มีแค่ไวน์กับอาหารแบบนี้รู้สึกไม่ค่อยเหมือนกับการฉลองสักเท่าไหร่เลยนะ… คืนนี้นายจะเรียกยัยอาริสะเข้ามาหรือเปล่าน่ะเวอร์มอนด์? เมื่อวันก่อนที่จับยัยนั่นปิดตาแล้วบอกว่าถ้าไม่รีบล่ะก็จะเรียกพวกทหารเข้ามาด้วยนั่นสุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ คราวนี้ฉันว่าจะใช้มุกเดียวกันแต่ลองสั่งให้ยัยเด็กนั่นลองคิดดูเองบ้างว่าต้องทำอะไรน่ะ หึหึ”
คำพูดด้วยน้ำเสียงหยาบโลนที่ไม่เข้ากับสีหน้านิ่งๆ ของดาร์เรลได้ทำให้เวอร์มอนด์ที่ค่อนข้างจะนิ่งเงียบมาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาข้างในห้องรับรองราวกับว่ากำลังใช้ความคิดอะไรอยู่ต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความหน่ายใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับไม่ได้พูดห้ามปรามอะไรออกมาอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะเห็นดีเห็นงามกับความคิดของอีกฝ่ายอีกด้วย
“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมจะไปตามเคาน์เตสอาริสะมาให้ก็แล้วกันนะครับ แต่เห็นองค์ราชาบอกว่าเขาเพิ่งสั่งให้เคาน์เตสอาริสะหนีออกจากเมืองไปก่อน ไม่รู้ว่าเรื่องจบแล้วแบบนี้เคาน์เตสอาริสะจะกลับมาแล้วหรือยังเหมือนกัน”
“องค์ราชาไนน์ฮาร์ทคนนั้นน่ะนะ? นี่อย่าบอกนะว่าแม้แต่องค์ราชาก็หลงเสน่ห์ยัยเด็กนั่นเหมือนกันน่ะ? แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ใครใช้ให้ร่างกายยัยเด็กนั่นพัฒนาไปเกินวัยแบบนั้นกันล่ะ ติดแค่ส่วนสูงเองล่ะมั้งที่แพ้ยัยอัลเปียนั่นน่ะ ฮะฮะ”
“พูดจาแบบนั้นระวังองค์ราชาจะได้ยินเข้าล่ะครับ ถ้างั้นผมขอตัวไปลองตามหาเคาน์เตสอาริสะก่อนก็แล้วกันนะครับ”
เวอร์มอนด์พูดตอบเพื่อนของเขากลับไปสั้นๆ และวางแก้วไวน์ในมือลงก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงไปทางประตูห้องในทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดเสียดายไวน์เลิศรสที่แม้แต่ตำแหน่งท่านเคานต์แห่งเมืองแพนเทร่าก็หามาลิ้มลองไม่ได้ง่ายๆ เลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าในความคิดของเขาแล้ว การที่องค์ราชาที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีท่าทียินดีสักเท่าไหร่ที่เขาสามารถจัดการกบฏไมเคิลลงได้อีกครั้งหนึ่งตัดสินใจที่จะส่งเขามาฉลองที่ห้องรับรองแห่งนี้มันดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่นัก และยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าไนน์ฮาร์ทได้ส่งคนส่งสารไปตามเพื่อนๆ ของเขาทั้งสามคนมาที่นี่โดยไม่ได้เชิญคนอื่นมาเลยอีกทั้งยังจัดหาอาหารและเครื่องดื่มชั้นดีมาให้พวกเขาด้วย มันทำให้ดูราวกับว่าไนน์ฮาร์ทต้องการที่จะให้พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อที่จะได้รู้ที่อยู่ที่แน่นอนของพวกเขาในช่วงเช้านี้อย่างไรอย่างนั้น
และในขณะที่เวอร์มอนด์กำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเอง เท้าของเขาก็ได้ก้าวมาถึงประตูห้องรับรองและผลักมันให้เปิดออก และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับภาพของปราสาทอีกหลังหนึ่งที่รูปทรงคล้ายกับปราสาทแพนเทร่าแต่กลับดูเก่าแก่โบราณและผุพังกว่าที่ปรากฏให้เห็นผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตู
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้เขาต้องเบิ่งตากว้างก็กลับเป็นสิ่งที่ดูคล้ายกับแท่งเหล็กขนาดยักษ์สองอันที่ตั้งซ้อนกันอยู่ที่ด้านหน้าปราสาทหลังที่ว่าที่ในขณะนี้มีกระแสไฟฟ้าสีม่วงแล่นไปมาอยู่ระหว่างแท่งเหล็กทั้งสองแท่ง และที่สำคัญเจ้าสิ่งที่มีหน้าตาคล้ายกับอาวุธอันนั้นที่ในขณะนี้กำลังรวบรวมพลังวิซหนาแน่นจนส่องแสงสว่างจ้าออกมาก็กำลังหันปลายด้านหนึ่งที่น่าจะเป็นปากกระบอกปืนตรงมาทางเขาอยู่อีกด้วย
“นั่นมันอะไร—”
วี๊~~~~ เปรี๊ยะ—เปรี๊ยะ— เปรี๊ยะ—
“มาแล้วหรอคะคุณเอริกะ…! ตอนนี้พระราชวังของเมืองใต้ดินถูกเลื่อนขึ้นมาข้างบนพร้อมกับอาวุธอย่างที่คาดเอาไว้แล้วค่ะ จะให้เปิดใช้งานระบบฟารั้งเลยมั้ยคะ…!?”
“เข้าใจแล้ว… เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ในจังหวะเดียวกันกับที่เวอร์มอนด์เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องรับรองของปราสาทแพนเทร่าได้ไม่ทันไรนั้นเอง ทางด้านเอริกะก็ได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องควบคุมระบบป้องกันตัวเองของปราสาทแพนเทร่าที่ตั้งอยู่ด้านในตัวกำแพงปราสาทและพยักหน้าตอบอัลเปียที่พูดถามเธอขึ้นมากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปจับที่คันโยกที่ถูกติดตั้งเอาไว้เบื้องหน้า
แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะที่ในขณะนี้กำลังจ้องมองไปที่ภาพที่ถูกฉายอยู่บนเลนส์แว่นตาของเธอก็กลับไม่ได้สับกลไกคันโยกที่เธอจับเอาไว้ในมือลงเพื่อเปิดใช้งานระบบที่ถูกเรียกว่าฟารั้งของอัลเปียราวกับว่าเธอกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งถึงแม้ว่าการกระทำของเอริกะจะตกอยู่ภายใต้การจ้องมองจากภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทของอีฟที่ในบัดนี้นั่งจมอยู่ภายใต้กองตุ๊กตารูปสัตว์ต่างๆ บนเก้าอี้นวมนุ่มนิ่มและนั่งถือสายไฟที่เชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานอยู่อีกจุดหนึ่งของห้องอยู่ก็ตาม แต่ว่าหญิงสาวนักประดิษฐ์ก็กลับไม่ได้เดินเข้าไปเล่นกับอีฟดั่งเช่นทุกทีและทำเพียงแค่จับคันโยกในมือเอาไว้นิ่งอย่างเงียบๆ จนทำให้อัลเปียที่เห็นแบบนั้นต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“คุณเอริกะคะ…?”
“……….”
ซู่มมมมมมมมมม——
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่เอริกะจะได้พูดตอบกลับไป หรืออาจจะเป็นการจงใจที่จะไม่พูดตอบอัลเปียกลับไปนั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งแหวกอากาศดังลั่นขึ้นมาพร้อมๆ กับแรงสั่นสะเทือนที่พวกเธอสามารถรู้สึกได้จนทำให้อีฟที่กำลังจ้องมองไปทางเอริกะอยู่สะดุ้งสุดตัวและปล่อยมือออกจากสายไฟที่เธอถือเอาไว้เพื่อมุดตัวหลบเข้าไปในกองตุ๊กตาที่รายล้อมรอบตัวเธออยู่พร้อมๆ กับที่ประตูห้องได้ถูกกระแทกเปิดออกโดยทหารนายหนึ่งที่รีบพูดรายงานขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ท—ท่านอัลเปียครับ!!! ป—ปราสาทแพนเทร่ามัน—”
“ป—ปราสาทมัน—”
“รายงาน— ใครก็ได้รายงานสถานการณ์มาหน่อย!!!”
“อย่าแตกตื่น!! ชาวเมืองยังต้องการพวกเราอยู่!! รีบส่งคนไปสืบข่าวที่ปราสาท ส่วนคนที่เหลือช่วยกันคุมประชาชนให้อยู่ในความสงบ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แล้วก็รีบอพยพตามแผนเดิม!!”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านเคน ทีเอร่า และคุ๊กกี้ที่ได้เห็นฉากการยิงลำแสงของปราสาทหลังใหม่ที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมากลางเมืองนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายและสั่งการของนายทหารเมืองแพนเทร่าที่กำลังรีบวิ่งมาตามถนนจนทำให้ทีเอร่าที่เห็นแบบนั้นต้องพูดถามเคนขึ้นมา
“พวกเราต้องกลับไปช่วยพวกพี่เขาอพยพชาวเมืองเปล่าอ่ะพี่เคน?”
“รอดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน…”
“เฮ้ อัศวินตรงนั้นน่ะ มีข่าวอะไรมาจากวังหลวงหรือเปล่า!?”
ในขณะที่ทีเอร่าและเคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ทางด้านนายทหารที่พูดสั่งการคนอื่นก็ได้หันไปเห็นอัศวินถือหอกคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาตามถนนที่มุ่งตรงไปยังปราสาทแพนเทร่า เขาจึงได้รีบวิ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับตะโกนสอบถามอีกฝ่ายขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้น อัศวินเบื้องหน้าก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมาและค่อยๆ เดินตรงมาตามถนนพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ดังแว่วๆ ออกมาจากร่างของเขา
กรุ๊งกริ๊ง~
เสียงกระดิ่งที่ดังแว่วๆ ออกมาให้ทีเอร่าได้ยินนั้นได้ทำให้เด็กสาวต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้และรีบวิ่งออกจากที่หลบเพื่อร้องห้ามนายทหารที่กำลังวิ่งเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขึ้นมา
“เสียงกระดิ่งแบบนั้นมัน… พี่ชายอย่าเข้าไปใกล้คนคนนั้นนะ!!”
“ด–เดี๋ยวสิทีเอร่าจัง—”
ฟุ่บ—สวบ!!!
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของทีเอร่าดี อัศวินในชุดเกราะก็ได้พุ่งหอกในมือของเขาเสียบเข้าใส่ร่างของนายทหารแพนเทร่าจนทะลุและยกหอกในมือขึ้นจนทำให้ร่างของนายทหารที่ถูกเสียบคาเอาไว้ลอยสูงขึ้นเหนือพื้นก่อนที่เขาจะสะบัดมันออกไปทางด้านข้างทำให้ร่างของนายทหารปลิวกระเด็นหลุดออกจากปลายหอกของเขาไปไกล
พลั๊ก—
ซึ่งภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ทำให้คุ๊กกี้ที่เป็นเพียงแค่ประชาชนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ฆ่าฟันต้องเบิ่งตากว้างก่อนที่เธอจะหลุดเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“กรี๊ดดดดดด!!?”
“พี่เคนฝากดูแลพี่คุ๊กกี้หน่อย!”
ทีเอร่าที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของคุ๊กกี้ได้หยิบเอาไม้กางเขนโลหะที่ตรงกลางมีคริสตัลวิซสีแดงถูกฝังเอาไว้ออกมาสองชิ้นและโยนมันออกไปคนละทาง
ซึ่งไม้กางเขนโลหะที่ทีเอร่าโยนออกไปนั้นก็ได้หยุดชะงักอยู่กลางอากาศก่อนที่มันจะหมุนตัวเองหันคริสตัลวิซที่กำลังเรืองแสงสีแดงตรงไปทางร่างของอัศวินในชุดเกราะที่ถือหอกและสาดลำแสงสีแดงพุ่งตรงเข้าใส่อีกฝ่าย
ชู่ววววว— ตู้ม!!
แต่ถึงแม้ว่าลำแสงสีแดงจะตกกระทบเข้ากับชุดเกราะของอัศวินเบื้องหน้าเข้าอย่างจังก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อยเมื่อร่างในชุดเกราะอัศวินได้กระโดดถอยหลังเว้นระยะห่างออกไปโดยมีเพียงรอยบุบเล็กน้อยสองรอบบนชุดเกราะของเขาเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น เสียงของระเบิดเล็กๆ ที่เกิดจากลำแสงของทีเอร่าก็ได้เรียกความสนใจจากทหารยามที่แยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งให้กลับมารวมกลุ่มกันได้สำเร็จ
“นั่นเสียงอะไรระเบิดน่ะ!”
“เกิดอะไรขึ้น!?”
“รองหัวหน้า! ยังอยู่หรือเปล่า!?”
“ทางนี้ค่ะ! มีพี่ทหารยามได้รับบาดเจ็บตรงนี้ค่ะ!!”
เสียงของเหล่าทหารยามเมืองแพนเทร่าที่กำลังรีบวิ่งกลับมาได้ทำให้ทีเอร่ารีบร้องบอกพวกเขาขึ้นมา แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่เหล่าทหารจะได้วิ่งมาถึง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่ฝูงคนที่เข้าไปหลบอยู่ตามตรอกซอกซอยและข้างในตัวตึกจะวิ่งกรูกันออกมาเพื่อหลบหนีกันอีกครั้ง
“ฆ-ฆ่ากันแล้ว! กลางถนนนั่น!! รีบหนีเร็ว!!”
“อ๊ากกกกก อ๊ากกกกกกก!!”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ! อย่าเพิ่งผลักกัน! เหวอ—”
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงของเหล่าทหารยามที่พยายามพูดให้ผู้คนสงบสติกันลงก่อนดังขึ้นมาแว่วๆ ให้ทุกคนได้ยินก็ตามที แต่ว่าเสียงกรีดร้องโหวกเหวกด้วยความตื่นตระหนกของประชาชนชาวแพนเทร่าก็ไม่ได้สงบลงเลยแม้แต่น้อยเมื่อพวกเขาต่างพากันออกมาจากที่หลบซ่อนและวิ่งหนีไปตามถนนและลากพาเหล่าทหารที่พยายามจะวิ่งมาดูสถานการณ์ไปกับฝูงคนกันด้วย จนสุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงแค่นายทหารคนหนึ่งที่ถือดาบและโล่ที่หลุดออกมาจากฝูงคนและวิ่งตรงเข้ามาหาทีเอร่าและรองหัวหน้ากองที่นอนจมกองเลือดอยู่ได้เป็นผลสำเร็จ
“รองหัวหน้า!? ฝากเพื่อนของผมด้วยนะครับคุณหนู!”
ฟุ่บ!!!
นายทหารที่ถือดาบโล่พูดบอกทีเอร่าเอาไว้สั้นๆ ก่อนที่เขาจะยกดาบและโล่ในมือขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ร่างของอัศวินที่กำลังเดินลากหอกในมือตรงเข้ามา และนั่นก็ทำให้ร่างในชุดเกราะอัศวินที่ส่งเสียงกระดิ่งออกมาไม่รอช้าที่จะเหวี่ยงหอกในมือของเขาเข้าใส่นายทหารที่ถือดาบโล่ในทันทีที่อีกฝ่ายเข้าสู่ระยะโจมตี
เคร๊ง—!! ครืดดดดด—
“แรงบ้าอะไรเนี่ย…”
แรงกระแทกของปลายหอกที่กระทบเข้ากับโล่ในมือของนายทหารอายุน้อยได้ทำให้เขาต้องหลุดพูดออกมาด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของเขาได้ถูกกระแทกจนปลิวกระเด็นออกไปทางด้านข้างในขณะที่ร่างในชุดเกราะอัศวินเบื้องหน้าก็ได้หันตัวและก้าวเท้าเดินตรงตามเขามาอย่างเชื่องช้าโดยมีเสียงกระดิ่งดังแว่วๆ ออกมาจากร่างของเขาไปด้วย
กรุ๊งกริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~
“ตรงนั้น! รีบเข้าไปเร็ว!”
ในขณะที่นายทหารที่ถือดาบโล่กำลังเดินถอยเว้นระยะห่างออกจากคู่ต่อสู้เพื่อรักษาระยะห่างอยู่นั้น ทางด้านนายทหารคนอื่นๆ ที่ถูกฝูงชนพัดพาไปก็ได้รีบวิ่งกลับมาพร้อมกับชักอาวุธของพวกเขาออกมาเตรียมพร้อม โดยมีนายทหารคนหนึ่งช่วยทีเอร่าดึงร่างของรองหัวหน้ากองที่บาดเจ็บให้หลบเข้าไปในตรอกที่พวกทีเอร่าหลบกันอยู่ทีแรกพร้อมกับพูดบอกเด็กสาวขึ้นมาก่อนที่เขาจะวิ่งกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนในกลุ่มของตน
“ฝากดูอาการของรองหัวหน้าให้หน่อยนะครับคุณหนู”
“เอ๋ะ? เอ่อ… พี่เคน! มาช่วยหนูหน่อยสิ!”
“หา? อะไรอีกเล่า เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งจะสั่งให้ฉันดูอาการของแม่สาวขี้กลัวนี่อยู่เลยไม่ใช่หรือไงหะ?”
เคนที่ได้ยินคำสั่งของทีเอร่าได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญก็ตามที เขาก็ยังแอบเหลือบมองไปทางคุ๊กกี้ที่ดูเหมือนว่าจะขวัญเสียที่เห็นฉากแทงกันเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่น้อยอยู่บ้าง และนั่นก็ทำให้คุ๊กกี้ที่เห็นแบบนั้นต้องรีบพูดบอกเด็กหนุ่มขึ้นมา
“ฉ…ฉ…ฉันไม่เป็นอะไรแล้วนะจ๊ะ— ป..ไปช่วยทีเอร่าเขาเธอจ้ะ…”
“ทำเป็นพูดดีแต่ตัวสั่นเป็นคุ๊กกี้ในเตาอบเลยไม่ใช่หรือไงนั่น เอาเถอะ อยู่ใกล้ๆ พวกฉันเอาไว้ก็แล้วกัน!”
เคนพูดตอบคุ๊กกี้ที่ยังคงตัวสั่นด้วยความตกใจและหวาดกลัวกลับไปก่อนจะก้มลงไปช่วยทีเอร่าถอดชุดเกราะของนายทหารที่บาดเจ็บออกเพื่อตรวจดูบาดแผลของเขาพร้อมกับพูดถามเด็กสาวไปด้วย
“นี่เธอรู้ได้ยังไงว่าอัศวินคนนั้นเป็นศัตรูเนี่ยยัยแมวจิ๋ว ถึงคุณเอริกะจะบอกเอาไว้ว่าฝั่งนั้นควบคุมร่างของคนที่ตายไปแล้วก็เถอะ แต่เจ้านั่นก็ใส่เกราะเต็มตัวอย่างงั้นจะไปรู้ได้ยังไงว่าข้างในมันเน่าไปแล้วน่ะ”
“ก็เสียงกระดิ่งไงพี่เคน นี่พี่ไปอยู่ที่โบสถ์ตั้งนานแล้วยังไม่รู้อีกหรอว่าที่เมืองนี้เขาจะผูกกระดิ่งเอาไว้ที่ข้อเท้าของคนตายเวลาทำศพด้วยน่ะ! เอ้า พูดเสร็จแล้วก็เข้าไปข้างในนั้นหาผ้าสะอาดมาทำผ้าพันแผลให้พี่ทหารเขาหน่อย!”
“ได้ทีใช้ใหญ่เลยนะยัยแมวจิ๋ว…”
เคนพูดบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินตรงไปผลักประตูของร้านค้าข้างๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าพอดิบพอดีและก้าวเท้าเข้าไปภายใน และหลังจากนั้นอีกไม่นานสักเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มก็เดินกลับออกมาพร้อมกับเสียงพูดบ่นเล็กน้อยและผ้าสีขาวสะอาดจำนวนหนึ่งในมือ
“เอ้านี่! ได้แล้วยัยแมวจิ๋ว! ว่าแต่แล้วไหงเมืองนี้ถึงได้มีประเพณีประหลาดๆ อย่างการผูกกระดิ่งเอาไว้ที่ข้อเท้าศพด้วยกันล่ะหะ?”
“ฉ..ฉันเคยเห็นจากในหนังสือว่ามันเป็นเพราะเมื่อสมัยก่อนตอนที่การแพทย์ยังไม่พัฒนามากมันมีการวินิฉัยผิดพลาดว่าผู้ป่วยหรือคนเจ็บเสียชีวิตไปแล้วจนถูกฝังทั้งเป็นอยู่บ่อยๆ น่ะจ้ะ… เพราะงั้นก็เลยมีการผูกกระดิ่งเอาไว้ที่ข้อเท้าเผื่อว่าถ้าเกิดพวกเขายังไม่ตายแล้วเริ่มขยับตัวก็จะได้ได้ยินเสียงกันน่ะ…”
คุ๊กกี้ที่เห็นว่าทีเอร่าที่เพิ่งจะรับผ้าพันแผลไปจากเคนกำลังง่วนอยู่กับการทำแผลให้กับนายทหารที่บาดเจ็บอยู่ได้เอ่ยปากพูดตอบเคนกลับไปแทนให้เด็กสาว และนั่นก็ทำให้เคนที่ได้ยินแบบนั้นต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้กับคุ๊กกี้และหันไปพูดถามทีเอร่าขึ้นมาต่อ
“ว่าแต่นี่เธอรู้แบบนั้นแล้วทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับฉันให้เร็วกว่านี้เล่ายัยแมวจิ๋ว!?”
“หนวกหูน่าพี่เคน! หนูกำลังทำแผลให้พี่เขาอยู่นะ! แล้วอีกอย่างนึงถึงหนูจะรู้ว่าที่เมืองนี้มีประเพณีแบบนี้แต่ใครเขาจะไปรู้ล่ะว่าพวกพี่โจน่าเขาจะเอาศพไปใช้ทั้งอย่างงั้นเลยล่ะ!”
วี๊…
กรุ๊งกริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~
“อ่ะ—”
ในขณะที่ทีเอร่ากำลังพูดเถียงเคนกลับไปอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงแหลมๆ แบบเดียวกับที่พวกเธอได้ยินในตอนก่อนที่จะมีลำแสงถูกยิงเข้าใส่ปราสาทของเมืองแพนเทร่าดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่ได้มีเสียงของกระดิ่งอันเล็กๆ จำนวนมากดังขึ้นมาจากทั่วบริเวณจนทำให้ทีเอร่าและเคนต้องหันไปมองหน้ากันก่อนที่เคนจะหลุดสบถออกมาเสียงดังและชักอาวุธของเขาออกมาเตรียมพร้อมเอาไว้
“ชิ— เจ้าพวกนั้นมันไม่ได้มาแค่จากทางปราสาทหรอกหรอ!?”
MANGA DISCUSSION