“โมโกะ! ได้ยินฉันมั้ย!? อย่าเพิ่งหลับนะโมโกะ!!”
“อย่าให้เด็กคนนั้นหลับเด็ดขาดนะ!!!”
“เร็วเข้าสิด็อค!!”
ในขณะที่นัวร์กำลังจะเริ่มทำการลงมือรักษาให้กับอัลเปียอยู่นั้นเอง ทางด้านสนามเด็กเล่นโบราณของเมืองมาร์นาร์ฟเก่าเองก็ได้มีเสียงร้องโวยวายของนากาและสองทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงดังขึ้นมาเมื่ออยู่ๆ โมโกะก็ล้มพับลงไปในระหว่างการต่อสู้และพูดพึมพำออกมาเหมือนกับว่าเธอเห็นอะไรบางอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านด็อกที่รีบเข้ามาช่วยดูอาการของโมโกะก็กลับขมวดคิ้วแน่นเมื่อเขาหยิบเอาหลอดยาออกมาหนึ่งหลอดและจ้องมองมันสลับกับร่างของโมโกะที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของนาการาวกับว่าลังเลที่จะใช้มันให้กับเด็กสาว
“อาการแบบนี้มันน่าจะเกินกว่าที่ยาดมสำหรับฟื้นฟูวิซจะช่วยได้แล้วมั้ง…”
“จะเป็นอะไรก็รีบๆ ใช้ไปก่อนเถอะน่าด็อก!! หรือนายคิดจะปล่อยให้เด็กนี่ชักดิ้นชักงออยู่อย่างนี้หรือไง!?”
“ขอร้องล่ะ!!”
“……….”
คำพูดของเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่างยุยและเด็กหนุ่มที่เขาเคยติดหนี้บุญคุณที่เมืองรีมินัสนั้นได้ทำให้ด็อคต้องเผยสีหน้าลำบากใจออกมา เพราะว่าสำหรับเขาที่มีความรู้เรื่องการแพทย์แล้วเขารู้ดีว่ายาดมในมือของเขามันไม่สามารถช่วยเหลือเด็กสาวเบื้องหน้าได้และคงจะเสียของไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน
แต่ว่าเมื่อเขาได้เห็นท่าทางร้อนรนของยุยและสีหน้าขอร้องของนากาแล้วเขาก็ได้แต่ต้องยอมตัดใจและยอมเปิดฝาขวดยาในมือแต่โดยดี
“ถ้าเกิดว่าเอายายัดตามอาการแล้วมันรักษาได้ทุกอย่างพวกหมอตามโรงบาลก็คงไม่ต้องมานั่งปวดหัวกันแล้วล่ะ… แต่เอาก็เอา!”
ป๊อก!!
“อย่าเอายานั่นเข้าไปใกล้เด็กคนนั้นนะ!!”
ปัง!!
“—!?”
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่ด็อคจะได้ยื่นขวดยาในมือเข้าไปใกล้โมโกะ อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงร้องห้ามของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่มีเสียงปืนที่ดังก้องกว่าปืนวิซตามปกติดังขึ้นมาหนึ่งนัดก่อนที่แขนของด็อคข้างที่ถือขวดยาเอาไว้จะสะบัดปลิวไปตามแรงกระแทกที่รุนแรงจนทำให้ขวดยาที่เขาถือเอาไว้ปลิวกระเด็นตกลงพื้นจนแตกกระจายไป
ซึ่งถึงแม้ว่าตัวของด็อคในเวลานี้ที่ถูกนาร์เซียฟื้นคืนชีวิตกลับมาให้เหมือนกับไมเคิลจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดสักเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เขาและยุยต้องรีบผละตัวถอยห่างออกจากโมโกะและนากาเสียก่อน เนื่องจากว่าเมื่อสักครู่นี้พวกเขาไม่สามารถตอบสนองต่อหัวกระสุนโลหะนัดเล็กๆ ที่ถูกยิงเข้ามาใส่ด้วยความเร็วมากกว่ากระสุนวิซทั่วๆ ไปได้เลยแม้แต่น้อย
และเมื่อด็อคผละตัวออกไปแล้วเขาก็รีบหันไปมองดูผู้ที่เข้ามาขัดขวางการรักษาที่น่าจะไม่ได้ผลของเขาและได้พบว่าอีกฝ่ายก็คือหญิงสาวผมสีแดงทรงทวินเทลในชุดเสื้อกาวน์ หรือก็คือเอริกะยอดนักประดิษฐ์แห่งเมืองรีมินัสที่เพิ่งจะโยนปืนพกสีเงินในมือทิ้งออกไปจนมันค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวนั่นเอง
“คุณเอริกะ?”
“ทำอะไรของเธอเนี่ยเอริกะ!? พวกเขากำลังพยายามจะช่วยโมโกะอยู่นะ—”
“แต่ว่ามันผิดวิธี! สิ่งที่โมโกะต้องการตอนนี้ไม่ใช่ยาสำหรับช่วยกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นฟูวิซเร็วขึ้นแต่ว่าต้องเป็นยาที่ช่วยยับยั้งการฟื้นฟูวิซของร่างกายต่างหากล่ะ!”
ฉึก—
เอริกะที่ร้องตอบด็อคและนากากลับไปนั้นได้รีบวิ่งตรงเข้าไปหาโมโกะและแทงเข็มฉีดยาที่เธอถือเอาไว้ตั้งแต่ต้นเข้าไปที่ต้นคอของโมโกะอย่างแม่นยำ
และเมื่อเอริกะฉีดของเหลวที่บรรจุเอาไว้ในเข็มฉีดยาเข้าใส่ร่างของโมโกะแล้ว ร่างกายของเด็กสาวที่ดูกระสับกระส่ายเหมือนกับกำลังทรมาณอยู่ก็ค่อยๆ สงบลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเอริกะก็ได้ใช้เวลาอีกสักพักหนึ่งในการตรวจสอบอาการของโมโกะจนกระทั่งเธอวางใจแล้วว่าโมโกะคงจะไม่เป็นอะไรไปในเร็วๆ นี้แน่ๆ เธอจึงค่อยเงยหน้ากลับมาพูดอธิบายให้คนอื่นๆ ได้ฟัง
“เรื่องนี้พวกเธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก เพราะขนาดพวกหมอในโรงพยาบาลประจำเมืองก็มีแค่ไม่กี่คนเองที่จะรู้น่ะ… ปกติแล้วถ้าใช้วิซจนเกินตัวสิ่งที่ต้องรีบทำก็คือช่วยให้คนไข้ฟื้นฟูวิซกลับขึ้นมาใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าในกรณีของโมโกะน่ะ ร่างกายของเธอพยายามจะฟื้นฟูวิซด้วยตัวเองจนเกินขีดความสามารถแล้ว เพราะงั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือการปล่อยให้ร่างกายพักผ่อนด้วยการให้ยาที่ช่วยหยุดยั้งกระบวนการฟื้นฟูวิซของร่างกายแล้วก็ปล่อยให้ร่างกายดูดซับวิซจากภายนอกเข้าไปแทนยังไงล่ะ”
“เหมือนกับตอนที่มีไข้จนตัวร้อนจัด แต่แทนที่จะรีบหาทางลดไข้ลงแต่เลือกที่จะปล่อยให้เหงื่อออกเพิ่มเพื่อลดความร้อนแทนอะไรประมาณนั้นงั้นหรอครับ?”
“เปรียบเทียบได้แปลกดีแต่มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะ…”
เอริกะพูดตอบด็อคกลับไปพลางมองดูด็อกที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการเจ็บปวดตรงแขนข้างที่ถูกเธอยิงเข้าใส่เลยแม้แต่น้อยอยู่ชั่วขณะแล้วจึงก้มลงไปตรวจสอบอาการของโมโกะอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งเมื่อเธอได้พบว่าถึงแม้อาการของโมโกะจะดูสงบไปบ้างแล้ว แต่ว่าเด็กสาวก็ยังคงหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ดีอีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นกลับขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เธอจึงได้เงยหน้ากลับขึ้นไปหานากาและพูดบอกเขาไปตรงๆ
“นากา ถึงตอนนี้อาการของโมโกะเขาจะค่อนข้างปลอดภัยแล้ว แต่ว่ายาที่ฉันให้ไปน่ะก็ช่วยได้แค่ระงับอาการของเขาเอาไว้ชั่วคราว นายรีบพาโมโกะกลับไปหายัยนัวร์… ผู้หญิงผมสีดำๆ ใส่เสื้อกาวน์คล้ายๆ กับฉันน่ะ ตอนนี้เขาน่าจะกำลังรักษาอัลเปียอยู่ในห้องควบคุมหรือไม่ก็ในห้องไหนสักห้องในโถงทางเดินนั่นแหล่ะ”
“เธอรักษาเองไม่ได้หรอเอริกะ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้พูดถามหญิงสาวนักประดิษฐ์กลับไปด้วยท่าทางกังวลเล็กน้อยเพราะเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องคุณแม่ของโมโกะที่เสียชีวิตไปเพราะหมอเจ้าของคนไข้มีความสามารถไม่พอมาอยู่บ้าง อีกทั้งด้วยความที่เขารู้จักกับอารอนที่เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ราวกับหมอเทวดามาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วมันก็เลยทำให้เขาไม่ค่อยจะไว้ใจหมอหรือนายแพทย์พยาบาลคนอื่นมากสักเท่าไหร่นัก ซึ่งเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในจุดนี้จึงได้พูดอธิบายออกมาให้นากาได้ฟังเพิ่ม
“ยัยนัวร์นั่นเป็นเพื่อนเก่าของฉันเหมือนกับอารอนนั่นแหล่ะ เรื่องฝีมือด้านการแพทย์ของยัยนั่นก็ไม่แพ้อารอนหรอก ติดแค่ว่ายัยนั่นทำงานกันคนละสายเท่านั้นเอง… แล้วถึงฉันจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่ว่าสำหรับตอนนี้แล้วไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องร่างกายของมนุษย์มากกว่ายัยนั่นแล้วล่ะ”
“อ–อ่า เข้าใจแล้ว!”
นากาพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะอุ้มร่างของโมโกะขึ้นมาและรีบวิ่งตรงกลับไปยังทางขึ้นลงเมืองใต้ดินที่อยู่เบื้องหลัง
ส่วนทางด้านเอริกะเองก็ได้หันไปมองยุยและด็อคที่กำลังมองไล่หลังพวกนากาไปราวกับว่าพวกเขาเองก็เป็นห่วงเด็กหนุ่มและเด็กสาวด้วยเช่นกันก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าสองหนุ่มสาวจากกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนาร์เซียเหมือนดั่งเช่นฟรีมอนด์ อดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ผู้เป็นพี่ชายของอัลเปีย
“ส่วนพวกเธอ… สภาพแบบนั้นคงจะถูกนาร์เซียเขาฆ่าตายไปแล้วแต่ไม่ได้ถูกควบคุมไปซะทีเดียวสินะ ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดพวกเธอคือกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมสีแดงที่ทีเอร่าเขาพูดถึงใช่หรือเปล่า?”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ…”
“ต้องบอกว่าเพราะเป้าหมายของยุยเขาไม่ได้ไปขัดกับแผนการของคุณนาร์เซียเขาน่ะครับ คุณนาร์เซียเขาก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ได้ควบคุมพวกเราขนาดนั้น”
ในขณะที่ยุยพูดตอบเอริกะผู้ที่เป็นอดีตนายจ้างของพวกเธอด้วยท่าทางเกร็งๆ นั้น ทางด้านด็อคก็ได้พูดอธิบายออกมาให้เอริกะได้ฟังตรงๆ และเมื่อเอริกะได้ยินดั่งนั้นเธอก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ก็สมกับที่เป็นเด็กคนนั้นดีล่ะนะ… ถ้าอย่างงั้นเอาเป็นว่าตอนนี้พวกฉันจะถอนกำลังออกจากเมืองใต้ดินกันแล้ว พวกเธอจะเอายังไงล่ะ จะลงมือขัดขวางกันหรือเปล่า?”
ในขณะที่เอริกะกำลังเอ่ยปากพูดออกมาอยู่นั้น เธอก็ได้หยิบเอาปืนพกสีเงินกระบอกหนึ่งออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์สีหม่นๆ ของเธอไปด้วยบ่งบอกว่าถ้าพวกเขาคิดจะลงมือขัดขวางเธอล่ะก็ เธอก็ไม่ลังเลที่จะขัดขืนเช่นเดียวกัน
ซึ่งภาพของเอริกะที่หยิบเอาปืนพกกระบอกที่ด็อคเห็นกับตาว่ามันแตกสลายกลายเป็นละอองแสงไปแล้วออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์ได้อีกครั้งนั้นก็ทำให้ด็อคต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะจะถอนกำลังแล้วพวกผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขัดขวางหรอกครับ เพราะว่าหน้าที่ของพวกผมคือให้ขับไล่ผู้บุกรุกที่บุกลงมาที่นี่เท่านั้นเอง”
“หืม… งั้นหรอ ถ้างั้นฉันขอตัวเลยก็แล้วกันนะ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณเอริกะ! ถึงเรื่องทั้งหมดนี่จะเป็นเพราะพวกฉันแอบลงมาที่เมืองใต้ดินก็เถอะ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยยกโทษให้รัซเซลเขาด้วยเถอะค่ะ! เขาแค่พยายามหาทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดให้พวกฉันเท่านั้นเอง!”
แต่แล้วในขณะที่เอริกะกำลังจะหันหลังจากไปนั้นเอง อยู่ๆ ยุยก็ได้ก้าวออกมาเบื้องหน้าเพื่อก้มหัวให้กับเอริกะพร้อมกับเอ่ยปากพูดขอร้องหญิงสาวนักประดิษฐ์ขึ้นมาจนทำให้เธอชะงักไปและหันกลับไปมองดูเหล่าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงด้วยความแปลกใจ
ส่วนทางด้านด็อคที่เห็นแบบนั้นเองก็ไม่รอช้าที่จะก้มหัวและพูดขอร้องเอริกะขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง
“ผมเองก็ขอร้องด้วยคนครับ! ได้โปรดอย่าลงโทษเคนเลยนะครับ รายนั้นเขาไม่ได้ลงมาข้างล่างนี่ซะด้วยซ้ำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกผมทำลงไปเลยสักนิดเดียวครับ!”
“……..”
คำพูดของสองชายหญิงทำให้เอริกะนึกขึ้นมาได้ว่าเหล่ากลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสี่คนนั้นจะเรียกว่าเป็นทหารรับจ้างในสังกัดของเธอก็ว่าได้ เนื่องจากว่าพวกเขาถูกเธอจ้างมาผ่านสัญญาว่าจ้างอย่างเป็นทางการ และการที่พวกเขาหายตัวไปโดยไม่ได้แจ้งเหตุผลก่อนและกลับมาพร้อมกับการก่อเรื่องใหญ่อย่างการบุกรุกเมืองใต้ดินของเมืองแพนเทร่านั้นการที่พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างการปรับเงินหรือถูกส่งมอบตัวให้กับทางเมืองจนเสื่อมเสียชื่อเสียส่งผลต่อไปในอนาคตก็ไม่ใช่อะไรที่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ทางด้านเอริกะที่ได้ยินคำพูดของสองหนุ่มสาวก็กลับนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อแล้วจึงหันหลังเดินจากไปในทันที
“ถึงตอนนี้พวกเธอจะยังไม่รู้ตัวก็เถอะ แต่ว่าการที่พวกเธอสองคนต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้มันก็ไม่ต่างการที่พวกเธอทั้งกลุ่มถูกลงโทษไปแล้วล่ะ…”
“เอาล่ะ~ รักษาคอให้หนูจิ้งจอกสีทองเสร็จแล้วแถมเอริกะก็ยังไม่กลับมาด้วย ทีนี้ก็ได้เวลาอู้—”
ปิ๊ง—ครืดดดดด
“คนที่ชื่อว่านัวร์อยู่ที่นี่หรือเปล่า!?”
“อ่าาาา งานเข้าอีกแล้วสิ~”
ในขณะที่นัวร์กำลังพึมพำอย่างอารมณ์ดีออกมาในโถงทางเดินเหล็กที่ตั้งอยู่ระหว่างห้องควบคุมกับทางขึ้นลงอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ประตูของทางขึ้นลงก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมๆ กับที่มีเสียงร้องของนากาดังขึ้นมาให้เธอได้ยิน และเมื่อเป็นแบบนั้นเธอก็จึงได้แต่ต้องโบกมือที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้เสื้อกาวน์ไปมาและร้องเรียกนากาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโถงทางเดินขึ้นมา
“ทางนี้จ้ะพ่อรูปหล่อ~ มีธุระอะไรหรือเปล่าเอ่ย?”
“ช่วยรักษาเพื่อนของผมให้ทีครับ! ขอร้องล่ะครับ!!”
“หมายถึงเด็กคนที่เธออุ้มอยู่นั่นน่ะหรอ? แต่ก็ไม่เห็นจะมีบาดแผลอะไร–โอ๋ะโอ๋…”
ถึงแม้ว่าในทีแรกนัวร์ที่ไม่เห็นว่าตามร่างกายของโมโกะจะมีบาดแผลอะไรแตกต่างจากอัลเปียที่มีบาดแผลเป็นลวดลายวงจรวิซแบบโบราณลามไปแทบจะครึ่งตัวจนทำให้เธอเผยรอยยิ้มที่ดูร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ออกมาก็ตามที
แต่ทว่าเมื่อเธอสังเกตเห็นรอยของเข็มฉีดยาที่ต้นคอของโมโกะแล้วรอยยิ้มของเธอก็กลับเลือนหายไปและกลายเป็นท่าทางแปลกใจอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ จากปิศาจตัวน้อยอย่างนัวร์เสียแทน
“นั่นมันรอยของเข็มฉีดยาที่ฉันให้เอริกะไป… อาการตกผลึกงั้นหรอ…?”
ทันทีที่นัวร์พูดมาถึงตอนนี้เธอก็ได้ยกแขนเสื้อกาวน์ขึ้นมาปิดปากของตนเองด้วยท่าทางเหมือนกับว่าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นแววตาของเธอก็กลับประกายแพรวพราวเหมือนกับว่าเจอเรื่องน่าสนใจเสียกว่าจนทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความไม่มั่นใจนัก
“เอ่อ… คือว่า–”
“เดี๋ยวฉันรับช่วงต่อเองจ้ะ ส่วนเธอน่ะตามไปก็เกะกะเปล่าๆ เพราะงั้นเข้าไปนั่งรอข้างในห้องใหญ่นู้นไปก่อนนะ~”
นัวร์ที่สังเกตเห็นท่าทางของนากาได้ลดแขนเสื้อของเธอลงเลยเผยรอยยิ้มให้กับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่เธอจะรับร่างของโมโกะไปจากนากาแล้วโบกมือไล่ให้เขาไปนั่งรอที่อื่นก่อนจากนั้นจึงอุ้มร่างของโมโกะหายเข้าไปด้านในห้องที่เธอเพิ่งจะเดินออกมา
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนากาที่ถูกเอ่ยปากไล่ก็กลับไม่ได้เดินเข้าไปนั่งพักในห้องควบคุมและเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องที่นัวร์เดินหายเข้าไปอยู่อีกสักพักใหญ่ด้วยความกังวลโดยมีอีฟที่เดินออกมาจากห้องควบคุมคอยมองตามเขาอยู่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ประตูของทางขึ้นลงเมืองใต้ดินได้ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้งโดยมีเอริกะเดินออกมา
“เป็นยังไงบ้างนากาคุง? เจอยัยนัวร์หรือเปล่า?”
“อื้อ… เขาพาโมโกะเข้าไปข้างในห้องนั้นแล้วน่ะ”
“ถ้าเกิดว่าถึงมือยัยนัวน์แล้วอย่างน้อยๆ อาการก็น่าจะไม่แย่ไปลงกว่านั้นแล้วล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอกลับขึ้นไปรับพวกคอนแนลเขาก่อนก็แล้วกันนะ”
เอริกะพยักหน้าพูดตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่ทำหน้าที่เป็นทางขึ้นลงเมืองใต้ดินอีกครั้งและสั่งให้ประตูเลื่อนของมันปิดลง
และหลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งประตูของทางขึ้นลงก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้มีคอนแนลและเวก้าเดินตามหลังเธอออกมาด้วย
ซึ่งในทันทีที่คอนแนลสังเกตเห็นว่านากากำลังยืนอยู่คนเดียวเขาก็ได้รีบพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมา
“แล้วโมโกะล่ะครับนากา?”
“………”
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะสรุปสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ให้ฟังเอง ยัยนัวร์เล่าเรื่องของนาร์เซียให้นายฟังแล้วหรือยังน่ะเวก้า?”
เอริกะที่เห็นว่านากาเหมือนจะลำบากใจที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คอนแนลฟังได้อาสาที่จะเป็นคนพูดอธิบายออกมาให้คอนแนลได้ฟังและหันไปถามเวก้าดูว่าเขาทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองแพนเทร่าบ้างแล้วหรือไม่ และนั่นก็ทำให้เวก้าพยักหน้าพูดตอบอดีตเพื่อนร่วมงานของเขากลับไปแต่โดยดี
“ก่อนหน้านี้คุณนัวร์เขาอธิบายให้ผมฟังคร่าวๆ แล้วล่ะครับ”
“ดีล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ตัดเรื่องที่ต้องอธิบายไปได้สักเรื่องนึงแล้วล่ะนะ…”
“หมายความว่าตอนนี้โมโกะเขาอาการสาหัสเลยงั้นหรอครับ…?”
“การใช้วิซจนเป็นลมแบบนั้นผมเคยได้เห็นมาจากรายงานของทางกองทัพรีมินัสอยู่บ้างเหมือนกันแต่ก็ไม่เคยได้ยินว่า—”
“นายเงียบไปเลยนะเวก้า ตอนนี้โมโกะเขาอยู่ในมือของหนึ่งในสองหมอที่เก่งที่สุดที่ฉันรู้จักแล้ว อย่างน้อยๆ อาการเขาก็ทรงตัวแล้วแน่ๆ ล่ะ”
“ครับ…”
คำพูดตัดบทของเอริกะได้ทำให้เวก้าต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยโดยไม่คิดที่จะพูดเถียงอะไรกลับไปในขณะที่ทางด้านเอริกะที่เห็นว่าเวก้าไม่มีอะไรจะพูดเถียงกลับมาแล้วก็ได้เอ่ยปากถามข้อมูลจากทางฝั่งคอนแนลขึ้นมาบ้าง
“แล้วสรุปว่าหลังจากที่เธอแยกตัวออกไปจากกลุ่มแล้วก็ได้ไปคุยกับนาร์เซียมา… ตอนแรกก็ได้คุยกันดีๆ แต่ว่าอยู่ดีๆ เขาก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาสินะ”
“ครับ”
“แล้วจากสภาพที่เธอเห็นตอนนั้นคิดว่ายังมีความเป็นไปได้หรือเปล่าที่จะยังสามารถกลับไปคุยกันได้ดีๆ อีกครั้งน่ะ?”
“……….”
คำถามของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้ทั้งคอนแนลและเวก้านิ่งเงียบไปด้วยความลำบากใจ ซึ่งความเงียบของทั้งสองคนที่เป็นคำตอบกลายๆ นั้นก็ได้ทำให้เอริกะสามารถเข้าใจได้ในทันที
“งั้นหรอ… ถ้าเกิดว่าเป็นไปถึงขนาดนั้นแล้วมันก็คงจะสายเกินไปแล้วจริงๆ ล่ะมั้ง”
“ต–แต่ถ้าเกิดว่าได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกันอีกครั้งนึงเธอคนนั้นอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะครับคุณเอริกะ…”
คอนแนลที่ได้ยินเอริกะพูดเหมือนกับว่าเธอได้ตัดใจในเรื่องของการทดลองเข้าไปพูดคุยเจรจากับนาร์เซียอีกครั้งหนึ่งแล้วนั้นได้พยายามที่จะพูดเกลี้ยกล่อมนักประดิษฐ์สาวขึ้นมา เนื่องจากตัวเขาที่ได้มีโอกาสเข้าไปข้างในวังแห่งมาร์นาร์ฟมาแล้วนั้นได้พบเห็นกับตาของตัวเองว่าที่จริงแล้วหญิงสาวในชุดแม่ชีคนนั้นก็ดูเหมือนจะมีจิตใจเมตตาไม่ได้เป็นคนโหดเหี้ยมที่ต้องการจะสังหารคนไม่เลือกหน้าเลยแม้แต่น้อย และถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายสงบสติได้แล้วและพวกเขาได้มีโอกาสพูดคุยกันดีๆ อีกครั้งหนึ่งเรื่องทั้งหมดก็อาจจะสามารถจบลงได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อมากไปกว่านี้ก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องของนาร์เซียมากกว่าคอนแนลก็กลับส่ายหน้าไปมากลับมาให้กับเขาก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมา
“ไม่หรอกคอนแนลคุง ถ้าเกิดว่ามันถึงขั้นที่เด็กคนนั้นคิดจะกวาดล้างเมืองจริงๆ โดยไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้วแบบนั้นล่ะก็ ต่อให้พวกเราจะพยายามยังไงก็คงจะพูดให้เขาเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วล่ะ…”
วืดดดดด—
“แหม่~ ก็ถ้าเกิดว่าแค่พูดคุยกันมันจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้พวกเราก็คงจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวอยู่อย่างนี้หรอกใช่มั้ยล่ะเอริกะจัง~”
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ประตูที่ตั้งอยู่ริมโถงทางเดินก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมๆ กับที่นัวร์ที่น่าจะทำการรักษาโมโกะอยู่ข้างในได้เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มร่าบนใบหน้า
ซึ่งเมื่อนากาเห็นนัวร์เดินออกมาจากห้องนั้นเอง เขาก็รีบอุ้มอีฟขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนและเดินตรงเข้าไปหานัวร์เพื่อที่จะได้พูดสอบถามอาการของโมโกะขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เขาช้าไปหนึ่งก้าวเมื่อคอนแนลที่เมื่อสักครู่นี้กำลังพูดคุยกับเอริกะอยู่ได้รีบวิ่งตรงเข้าไปสอบถามอาการของโมโกะกับนัวร์ขึ้นมาเสียก่อน
“อาการของโมโกะเป็นยังไงบ้างหรอครับคุณหมอ?”
“โอ๊ะโอ๋ เธอคงจะเป็นเพื่อนของแม่หนูหูแมวคนนั้นสินะ~ ก็คงจะต้องบอกว่าโชคดีที่คู่ต่อสู้ของแม่หนูคนนั้นดูเหมือนจะไม่เอางานเอาการกันสักเท่าไหร่จนเอริกะจังเขามีเวลาเอายาหลอดนั้นไปฉีดให้ได้ทันไม่งั้นคงจะหัวใจล้มเหลวแล้วก็ตายไปแล้วแน่ๆ ล่ะ~”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่นัวร์พูดออกมานั้นจะฟังดูเหมือนกับสิ่งที่คุณหมอตามโรงพยาบาลหรือคลินิกใช้พูดเวลาบอกอาการของคนไข้ให้ญาติๆ หรือเพื่อนๆ ของผู้ป่วยฟังก็ตามที แต่ว่าด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่าเริงที่ดูขัดกับคำพูดอันตรายของเธอเป็นคนละเรื่องนั้นก็ได้ทำให้เพื่อนๆ ของโมโกะอย่างนากาและคอนแนลผงะไปเล็กน้อย จนทำให้เอริกะต้องหันไปจ้องมองนัวร์ด้วยสายตาดุๆ ปิศาจน้อยในร่างของหญิงสาวผมสีดำจึงค่อยตีหน้าขรึมพูดจาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการขึ้นมาบ้าง
“เอาล่ะๆ ว่าแต่เท่าที่ฉันดูนี่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คนไข้ใช้วิซจนเป็นลมล้มพับไปแบบนี้สินะ”
“เอ่อ… ผมได้ยินมาว่าโมโกะเขาเหมือนจะล้มพับไปทุกรอบที่ออกไปสู้เลยหรือเปล่าน่ะครับนากา?”
“มันก็ใช่นั่นแหล่ะ… ก็อย่างที่รู้ว่ายัยพรีมูล่าก็มีวิซธาตุน้ำแข็งส่วนฉันก็ใช้ดาบเป็น โมโกะเขาก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นตัวแถมมาโดยตลอดนั่นล่ะ พอมีโอกาสจะแสดงความสามารถทีไรก็เลยพยายามจนเกินตัวแบบนั้นตลอดเลยน่ะ…”
“หืม~ แล้วพอมีคนเอาอุปกรณ์ที่สามารถใช้วิซเพื่อเสริมความสามารถในการต่อสู้มาให้ใช้แบบนี้ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่เลยสินะเนี่ย~”
นัวร์ที่ได้ยินคำพูดอธิบายของนากาได้เลิกคิ้วมองตรงไปทางเอริกะและนั่นก็ทำให้นักประดิษฐ์สาวต้องขมวดคิ้วก่อนที่เธอจะพูดขึ้นเสียงตอบกลับไป
“ไม่ต้องมามองฉันแบบนั้นเลยยัยตัวแสบ! ถึงฉันจะเป็นคนเอายูนิตให้โมโกะเขาใช้ก็จริงแต่ฉันก็เคยเตือนเด็กคนนั้นไปตั้งหลายรอบแล้ว!”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกน่าเอริกะ เพราะฉันเองก็เคยเตือนโมโกะไปแล้วเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ดีนั่นล่ะ…”
นากาพูดบอกเอริกะขึ้นมาด้วยความเข้าใจ เพราะมันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพูดเตือนโมโกะเกี่ยวกับเรื่องการฝืนใช้วิซแบบนี้ แต่ว่าในทุกๆ ครั้งที่มีคนพูดเตือนเด็กสาวก็ไม่ค่อยจะยอมรับฟังเสียมากกว่า แล้วยิ่งหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านโมริโกะมันก็ยิ่งทำให้โมโกะไม่ฟังคำเตือนของคนอื่นไปใหญ่
ส่วนทางด้านคอนแนลที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มที่จะตึงเครียดขึ้นมาก็ได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการพูดถามนัวร์เกี่ยวกับอาการของโมโกะขึ้นมาแทน
“แต่ว่าถ้าคุณนัวร์ออกมาได้แบบนี้หมายความว่าอาการของโมโกะเขาปลอดภัยดีแล้วใช่หรือเปล่าน่ะครับ?”
“เอ่อ… จะว่ายังไงดีล่ะเนี่ย…”
คำถามของคอนแนลได้ทำให้นัวชะงักไปเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาเขี่ยแก้มของตัวเองด้วยท่าทางลำบากใจ และนั่นก็ทำให้เวก้าที่เพิ่งจะโดนนาร์เซียทำอะไรบางอย่างจนกระดูกแขนแหลกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็ได้นัวร์ช่วยรักษาให้จนหายดีเป็นปลิดทิ้งต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“แต่ก่อนหน้านี้คุณนัวร์เองก็ยังรักษาแขนของผมจนหายดีได้เลยไม่ใช่หรอครับ? หรือว่าอาการของเด็กคนที่ชื่อว่าโมโกะรุนแรงขนาดนั้นเลยงั้นหรอครับ?”
“ก็ถึงจะบอกว่าอาการทรงตัวแล้วแต่ว่าถ้าเกิดว่าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องล่ะก็คงจะไม่ดีขึ้นหรอก แต่ว่าฉันก็ทำเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ไปแล้ว… เพราะว่าจะให้ทำการผ่าตัดหัวใจในห้องพยาบาลข้างล่างนี่ก็คงจะไม่ไหวหรอกนะ~”
“อ–เอ๋? ผ—ผ่าตัดหัวใจ?”
คำพูดสุดอันตรายที่ดังออกมาจากปากของนัวร์นั้นได้ทำให้พวกเด็กๆ ชะงักไปด้วยความตกใจ และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่เห็นแบบนั้นต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปหาเอริกะและพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“อ่าว จะตกใจอะไรกันล่ะ ไม่ใช่ว่าเอริกะจังน่าจะเคยเตือนพวกเธอเอาไว้แล้วไม่ใช่หรอกหรอ?”
“ฉันเคยอธิบายไปแล้วก็จริงแต่ว่าไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่หัวใจจะล้มเหลวน่ะ แล้วเธอก็อย่าลืมสิว่าตอนนี้มันยุคไหนน่ะ”
เอริกะที่กำลังยกมือขึ้นมากุมหน้าผากด้วยความยุ่งยากใจได้พูดตอบนัวกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยใจไม่แพ้ท่าทางของเธอ
ส่วนทางด้านนัวร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าทางเหมือนกับคิดขึ้นได้ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาบ้าง
“อ๋อ~ ฉันก็ลืมไปเลยว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยจะมีคนที่ใช้วิซเกินตัวขนาดนั้นแล้วรอดชีวิตไปได้นานพอจนถึงมือหมอเลยนี่เนอะ แล้วพอหาตัวอย่างไม่ได้เยอะพอเขาก็เลยปกปิดข้อมูลกันเอาไว้ก่อนเป็นปกติแหล่ะเนอะ~”
“ปกปิดข้อมูลงั้นหรอครับ?”
คำพูดของนัวร์ได้ทำให้เวก้าที่เคยทำงานทดลองและวิจัยให้กับวังหลวงของรีมินัสมานานนับสิบปีเอ่ยปากพูดถมขึ้นมาด้วยความสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่นัวร์จะได้พูดตอบถามของเวก้ากลับไป นากาที่ได้ยินคำพูดของนัวร์จนนิ่งไปสักพักก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจเสียก่อนเมื่อเขาตั้งสติได้
“ด–เดี๋ยวสิ! แล้วถ้าเกิดว่ารักษาที่นี่ไม่ได้แล้วจะต้องไปรักษาที่ไหนกันล่ะ!?”
“อื้ม… ถ้าคิดว่านาร์เซียเขาสามารถใช้นาโนแมชชีนเพื่อควบคุมศพได้ล่ะแล้วก็ที่โรงพยาบาลที่มีคนเสียชีวิตอยู่เรื่อยๆ ก็น่าจะไม่ปลอดภัยขนาดนั้นซะด้วยสิ เธอคิดว่ายังไงล่ะนัวร์?”
เอริกะที่ได้ยินคำถามของนากานั้นได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนที่เธอจะหันไปพูดถามนัวร์ที่เมื่อตอนนั้นเป็นคนดูแลโครงการย้ายเมืองมาร์นาฟเก่าลงใต้ดินขึ้นมา ซึ่งทางด้านนัวร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำได้ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ก็ไม่รู้สิ~ ถึงฉันจะมั่นใจว่าตัวเองเคยสอนนาร์เซียจังมาดีจนเขาไม่น่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานที่อย่างโรงพยาบาลแล้วก็เถอะนะ แต่ว่าในสภาพที่เขาพร้อมจะออกอาละวาดแบบนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน~”
“นั่นสินะ ส่วนที่ปราสาทแพนเทร่าก็ยิ่งไม่ปลอดภัยเข้าไปใหญ่… ถ้าอย่างงั้นการปล่อยโมโกะเอาไว้ที่นี่ก่อน แล้วพอจบเรื่องก็ค่อยมาเริ่มผ่าตัดกันก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง..”
“เดี๋ยวสิครับคุณเอริกะ แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้นี้ทางฝั่งคุณนาร์เซียเขาก็ยังส่งอัศวินคนนึงมาบุกที่นี่อยู่เลยไม่ใช่หรอครับ?”
คอนแนลพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เขา นากาและโมโกะกำลังเดินทางไปที่วังแห่งมาร์นาฟกันนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นอัศวินคนหนึ่งวิ่งตรงสวนทางมาแทนที่จะมุ่งไปยังจุดที่เกิดการต่อสู้กันอยู่ด้วย
ซึ่งทางด้านนัวร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มร่าออกมาแบบที่ไม่เข้ากับสถานการณ์เคร่งเครียดเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับพูดตอบคอนแนลกลับมาด้วยท่าทางร่าเริงไม่แพ้กัน
“แหม่~ ก็ตอนนี้นาร์เซียจังเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องบุกมายึดที่นี่แล้วยังไงล่ะ~”
“ไม่มีเหตุผลงั้นหรอ?”
“เธอ… ‘นากามูระคุง’ สินะ ใช่แล้วล่ะจ้ะ~ ก็อย่างที่เธอเห็นว่าเมื่อตะกี้นี้นาร์เซียจังเขาพยายามจะเปิดเพดานด้านบนออกเพื่อขนปราสาทขึ้นไปถล่มเมืองแพนเทร่าโดยตรงแล้วน่ะสิ เพราะงั้นห้องควบคุมที่สามารถควบคุมได้แค่ระบบของด้านล่างนี่อย่างการส่องไฟหรือควบคุมสภาพอากาศมันก็ไม่จำเป็นแล้วยังไงล่ะ”
“เอ่อ… เรียกว่านากาเฉยๆ ก็พอแล้วล่ะครับ”
นากาที่ได้ยินนัวร์พูดชื่อเต็มของเขาขึ้นมาโดยที่เขายังไม่เคยแนะนำตัวให้อีกฝ่ายฟังเลยแม้แต่น้อยได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปด้วยคำพูดประจำ ส่วนทางด้านเอริกะเองก็ได้ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยแล้วจึงค่อยพูดอธิบายออกมาให้เด็กหนุ่มได้ฟังเพิ่มเติม
“นั่นก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ฉันบอกว่าให้พวกเธอปล่อยอีฟเอาไว้กับฉันที่ห้องนี้เนี่ยแหล่ะ อ่ะ–-ไม่มีอะไรหรอกจ้ะอีฟ แค่พูดถึงเธอเฉยๆ น่ะ”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง อีฟที่ได้ยินชื่อของตัวเองดังขึ้นมาก็ได้ผละตัวเองออกมาจากนากาที่ยืนจับมือของเธอเอาไว้เพื่อเดินตรงเข้าไปหาเอริกะแทนจนทำให้เอริกะต้องย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อลูบหัวของเด็กสาวที่มักจะเดินเข้าหาคนที่เอ่ยปากพูดชื่อของเธอขึ้นมาเสมอๆ
ส่วนทางด้านนากาเองก็ได้พูดถามถึงเรื่องดวงแสงที่บินผ่านม่านหมอกลงมายังเมืองใต้ดินที่เขาสังเกตเห็นในตอนที่กำลังวิ่งพาโมโกะกลับมาที่ห้องควบคุมขึ้นมาบ้าง
“ว่าแต่เมื่อตะกี้นี้ฉันเห็นมีคนใช้ยูนิตบินลงมาพร้อมกับเวก้าเขาด้วยไม่ใช่หรอเอริกะ คนที่ใช้ยูนิตที่ปล่อยไอพ่นสีฟ้าๆ น่ะ”
“เอ๋ะ? ไอพ่นสีฟ้าๆ …? อ๋อ คงจะหมายถึง—”
ปิ๊ง~ ครื่ดดดดดด—
“…กลับมาแล้วค่ะท่านนัวร์”
ยังไม่ทันที่เอริกะจะได้พูดตอบนากากลับไปดี อยู่ๆ ประตูทางขึ้นลงก็ได้ขยับเปิดออกอีกครั้งและตามมาด้วยร่างของเด็กสาวผมสีเทาที่ถูกมัดเป็นทรงหางม้าด้วยริบบี้สีขาวคาดลายเล็กๆ สีแดงในชุดเครื่องแบบสาวใช้สีน้ำตาล ที่ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเขม่าควันสีดำอีกทั้งยังมีเลือดสีแดงไหลหยดออกมาเป็นระยะๆ ตามแขนขาอีกต่างหาก
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเป็นห่วงบาดแผลของสาวใช้ผมสีเทาตัวน้อยเลยแม้แต่น้อยและชี้ตรงไปทางนูลิสก่อนที่เธอเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“อ่ะ คนนั้นไง พูดถึงก็มาพอดีเลยน่ะ”
“ด–เดี๋ยวสิ แล้วทำไมถึงบาดเจ็บขนาดนั้นล่ะ!?”
“ป–เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!? คุณนัวร์รีบไปดูอาการของเด็กคนนั้นก่อนสิครับ!”
ถึงแม้ว่าเอริกะจะไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจสักเท่าไหร่นักกับสภาพบาดแผลของนูลิสก็ตามที แต่ว่าทางด้านนากากับคอนแนลนั้นแทบจะสะดุ้งกับบาดแผลของเด็กสาวตัวน้อยและรีบร้องเรียกให้นัวร์รีบเข้าไปดูอาการของผู้มาใหม่กันเสียงดัง และนั่นก็ทำให้นัวร์เดินดุ่มๆ เข้าไปหานูลิสในทันที
แต่ทว่านัวร์ในร่างของหญิงสาวผมสีดำก็กลับไม่ได้รีบเดินเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของเด็กสาว แต่ว่ากลับเดินเข้าไปใกล้เพื่อใช้ส่วนต่างของความสูงที่มีมากกว่ากันในขณะนี้ในการขยี้ศีรษะของเด็กสาวที่บาดเจ็บอยู่พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“น่าๆ พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ถึงจะเห็นนูลิสเขาตัวเล็กพกพาง่ายแบบนี้แต่จริงๆ ก็ทนทานตายยากกว่าพวกเธอตั้งเยอะเลยนะ แผลแค่นี้แค่ป้ายยาหน่อยๆ ก็หายแล้วเนอะนูลิสจัง~”
“…ถ้าเกิดว่าวันหลังท่านนัวร์เรียกฉันมาแล้วทำอะไรแบบนี้อีก ฉันจะทำให้มั่นใจได้เลยว่าแผลของท่านนัวร์จะไม่ใช่แค่ป้ายยาแล้วหายเหมือนของฉันแน่นอนค่ะ…”
MANGA DISCUSSION