ครื่นนนนนนนน—
ครึก—ครึก— ตึ้ง-—!
“นี่คุณกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่น่ะครับคุณนาร์เซีย!?”
เสียงของเพดานเบื้องบนเมืองใต้ดินที่ค่อยๆ ถูกเลื่อนจนเปิดออกและเสียงของเศษหินขนาดใหญ่ที่ดูแล้วน่าจะเป็นเศษซากของอาคารเบื้องบนที่ถูกเลื่อนเบียดกันจนพังทลายและร่วงหล่นลงมาเบื้องล่างนั้นได้ทำให้คอนแนลต้องร้องถามนาร์เซียที่นั่งคุกเข่าอยู่ภายใต้อ้อมกอดของกรงเล็บสีขาวขึ้นมา ซึ่งทางด้านนาร์เซียนั้นก็ได้เอียงคอมองไปทางเด็กหนุ่มอัศวินจากเมืองรีมินัสเล็กน้อยก่อนที่เธอจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
“คิกคิกคิก… ก็เจ้าพวกนั้นมันตราหน้าพวกฉันว่าเป็นปิศาจจากอดีตที่สิงสู่เมืองนี้อยู่ไม่ใช่หรอไง เพราะแบบนั้นฉันจะขึ้นไปแสดงให้พวกมันเห็นเองว่าปิศาจของจริงมันยังไงน่ะ!”
กึก!! ครื่นนนนนนน—
ในทันทีที่สิ้นเสียงของนาร์เซียนั้นเองวังหลวงแห่งเมืองมาร์นาร์ฟเก่าก็ได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้นจากตัวเมืองส่วนอื่นๆ และนั่นก็ทำให้คอนแนลสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าหญิงสาวเบื้องหน้าของเขากำลังสั่งให้ปราสาททั้งหลังเคลื่อนตัวกลับขึ้นไปยังผืนดินด้านบนอย่างแน่นอน
“แล้วแบบนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับประชาชนกับบ้านเรือนที่อยู่ข้างบนนั่นกันล่ะครับ!?”
“ก็ปล่อยให้พวกมันตกลงมาซะสิ… เหมือนกับปราสาทสวยๆ ข้างบนนั่นที่เดี๋ยวก็จะเหลือแต่ซากแล้วนั่นน่ะ…”
“คุณนาร์เซีย!!?”
คำพูดของนาร์เซียที่ฟังดูเย็นชาและเลือดเย็นแตกต่างจากเมื่อตอนที่เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้กลับขึ้นไปช่วยอพยพชาวเมืองเบื้องบนนั้นได้ทำให้คอนแนลหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายที่พยายามจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง
“หยุดเถอะครับคุณนาร์เซีย! เมื่อกี้นี้คุณยังบอกอยู่เลยว่าอยากให้มีคนได้รับผลกระทบน้อยที่สุดไม่ใช่หรอครับ!?”
“แต่ทั้งๆ ที่ฉันพยายามจะเชื่อในสิ่งที่ท่านไมเคิลเชื่อ… แล้วทั้งๆ ที่ท่านไมเคิลเชื่อในตัวพวกมันขนาดนั้น… แต่พวกมันก็ยัง—!!”
ฟุ่บ—ฟุ่บ—
ในขณะที่นาร์เซียกำลังเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีประกายแสงสีเขียวและสีฟ้าพุ่งทะลุม่านหมอกตรงมาจากช่องว่างบนเพดานที่ถูกเปิดออกลงมายังเมืองใต้ดิน ซึ่งในขณะที่แสงสีฟ้าที่ดูนุ่มละมุนและอ่อนโยนกว่านั้นได้บินพุ่งกลับขึ้นไปด้านบนท้องฟ้าและลอยหยุดอยู่นิ่งๆ ที่เบื้องบน แสงสว่างสีเขียวนั้นกลับพุ่งตรงมาทางพวกเขาพร้อมๆ กับที่มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมา
“คุณเจน! หยุดได้แล้วครับ!!”
“คุณเวก้า!?”
“คอนแนล—!?”
“……..”
ในขณะที่เด็กหนุ่มอัศวินและอดีตเจ้านายของเขากำลังแปลกใจที่ได้พบกับอีกฝ่ายในสถานที่และเวลาแบบนี้กันอยู่นั้นเอง ทางด้านนาร์เซียก็กลับเหลือบตามองไปยังอดีตขุนนางหนุ่มที่เธอเคยพบเจอมาก่อนแล้วด้วยสายตาเย็นชาพร้อมๆ กับที่เธอได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
“แกเองก็คิดจะเข้ามาขวางฉันเหมือนกันสินะ…”
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก—
ปังปังปังปังปังปังปังปัง—!!!
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของนาร์เซียนั้นเอง หลังคาของหอคอยที่ตั้งรายล้อมตัวปราสาทเอาไว้ก็๋ได้ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมๆ กับที่ปืนใหญ่วิซที่ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในได้ลั่นฝนกระสุนวิซหลากหลายสีพุ่งตรงเข้าใส่ร่างเวก้าที่กำลังบินตรงเข้ามาด้วยยูนิตสำหรับการบินรุ่นทดลอง
“มาแล้วสินะครับ…!!”
แต่ถึงอย่างนั้นเวก้าที่ตกเป็นเป้าหมายของฝนกระสุนจำนวนมากก็กลับไม่มีท่าทางว่าจะตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องพบเจอกับการต้อนรับแบบนี้เขาจึงได้หยุดการส่งพลังวิซไปที่ไอพ่นข้างหนึ่งของยูนิตจนส่งผลให้ร่างของเขาสะบัดหมุนควงอย่างรุนแรงจนปลิวออกจากวิถีกระสุนวิซทั้งหมดนั่นได้อย่างปลอดภัย
และเมื่อเวก้ารอดพ้นจากวิถีของฝนกระสุนแล้ว เขาก็ได้เริ่มส่งพลังวิซเข้าใส่ตัวยูนิตอีกครั้งจนไอพ่นของมันพ่นไฟสีเขียวออกมาอีกครั้งหนึ่งส่งร่างของตนให้พุ่งตรงไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อยพร้อมๆ กับที่เขาได้เอ่ยปากร้องตะโกนขึ้นมา
“ตอนนี้แหล่ะครับคุณนูลิส!!”
“น–นูลิส–? อย่าบอกนะว่า—”
วี๊~
ชื่อและเสียงของอาวุธบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของสาวใช้ผมสีเทาตัวน้อยนั้นได้ทำให้นาร์เซียต้องผุดลุกขึ้นมาเพื่อมองตรงไปทางแสงสีฟ้าที่ลอยอยู่นิ่งๆ เบื้องบนฟากฟ้าด้วยท่าทางตกใจก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาด้วยความตกใจปนหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อยืนยันตัวตนของเจ้าของแสงสีฟ้านั้นได้แล้ว
“ทำไมท่านนูลิสถึงมาอยู่ที่นี่ได้— ต–ต้องรีบขวางอย่าให้—”
วี๊~~~
ปึ้ง!!
แต่ก็ยังไม่ทันที่นาร์เซียจะได้สั่งให้ปืนใหญ่ของเธอหันตรงไปทางดวงแสงสีฟ้านั้นซะด้วยซ้ำ ก็ได้เกิดเสียงดังสนั่นดังขึ้นมาจากทางดวงแสงสีฟ้านั้นก่อนที่ทันใดนั้นเองพวกเขาจะได้เห็นแท่งเหล็กสีดำถูกส่งตรงไปที่จุดหนึ่งของลานกว้างหน้าปราสาทใต้ดินจนเกิดเสียงดังลั่นขึ้นมา
โคร๊ม!!! ครึก—
ถึงแม้ว่าตัวกระสุนที่เป็นแท่งเหล็กสีดำขนาดพอๆ กับท่อนแขนนั้นจะไม่สามารถพุ่งทะลวงพื้นของปราสาทใต้ดินไปได้และปักคาหยุดนิ่งอยู่กับพื้นเมื่อมันเผชิญเข้ากับแผ่นเหล็กแบบเดียวกับที่ถูกใช้เป็นกำแพงของเมืองใต้ดินแห่งนี้ที่ถูกฝังเอาไว้เบื้องล่าง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะฝังเข้าไปลึกพอที่จะแทรกตัวเองเข้าไปข้างในกลไกการยกตัวของตัวปราสาทเอาไว้ได้จนทำให้ตัวปราสาทที่กำลังค่อยๆ ถูกเลื่อนขึ้นไปยังผืนดินเบื้องบนนั้นชะงักหยุดนิ่งไปและนั่นก็ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวของนาร์เซียดังตามขึ้นมา
“ท่านนูลิสสส!!!”
ปังปังปังปังปังปังปังปัง—!!!
ฟุ๊บ—ฟุ๊บ—ฟุ๊บ—
“ใช้โอกาสยิงทีเผลอได้แค่นัดเดียวจริงๆ ด้วยสิ…”
ถึงแม้ว่านาร์เซียจะสั่งให้ปืนใหญ่วิซของเธอสาดกระสุนเข้าใส่ดวงแสงสีฟ้าที่ลอยอยู่เหนือขึ้นไปเบื้องบนแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ปัญหาของสาวใช้ผู้มีปีกแสงอย่างนูลิสเลยแม้แต่น้อยเมื่อเด็กสาวตัวน้อยสามารถพุ่งไปมาเพื่อหลบฝนกระสุนเหล่านั้นได้อย่างหมดจดทิ้งเอาไว้เพียงแค่เส้นแสงที่พุ่งไปมาราวกับกำลังวาดสัญลักษณ์เรขาคณิตอยู่บนท้องฟ้า
และนั่นก็ทำให้นาร์เซียส่งเสียงกรีดร้องออกมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมๆ กับที่หลังคาของหอคอยอีกห้าแห่งที่ตั้งอยู่รอบๆ จะเปิดออกเผยให้เห็นปืนใหญ่วิซที่ตั้งเรียงรายอัดแน่นอยู่ภายในหอคอยเหล่านั้น
“แม้แต่ท่านนูลิสก็ยังจะมาขัดขวางฉันเหมือนกันงั้นหรอคะ!!”
ปังปังปังปังปังปังปังปัง—!!!
และในขณะที่นาร์เซียกำลังให้ความสนใจกับการยิงขัดขวางนูลิสอยู่นั้นเอง ทางด้านเวก้าก็ได้พุ่งลงมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างคอนแนลและยื่นมือให้กับเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“จับผมเอาไว้ครับคอนแนล พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่กันก่อนแล้ว!”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ! เมื่อกี้นี้คุณเจน—คุณนาร์เซียเขาทำท่าเหมือนกับว่าจะฟังผมแล้วนะครับ!”
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะพวกแก!!! เป็นเพราะพวกแกทุกคน!!!”
ฟวับ!!
ในขณะที่คอนแนลกำลังจะพูดอธิบายขึ้นมาอยู่นั้นเอง นาร์เซียก็ได้กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่หนึ่งในกรงเล็บสีขาวของเธอจะตวัดเข้าใส่ร่างของพวกเขาจนทำให้ทั้งคอนแนลและเวก้าต่างต้องรีบพากันกระโดดหลบไปกันคนละทาง
โคร๊ม!!
ซึ่งกรงเล็บที่พลาดเป้าหมายไปนั้นก็ได้กระแทกเข้ากับกำแพงของตัวปราสาทจนทำให้มันพังถล่มลงมาส่วนหนึ่งจนทำให้เวก้าที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่ฟังอะไรแล้วนะครับ…”
ฟุ๊บ—แกร๊ก—ปั้งปั้ง!!
ทันใดนั้นเอง เวก้าที่สังเกตเห็นว่านาร์เซียกำลังจะใช้กรงเล็บสีขาวโจมตีใส่พวกเขาอีกครั้งก็ได้สั่งให้ยูนิตไอพ่นของเขาเปิดฝาครอบปากกระบอกปืนของมันออกและส่งกระสุนวิซสีเขียวสองนัดพุ่งตรงเข้าใส่หญิงสาวในชุดแม่ชี
เปรี๊ยะ– ฟลุบ—
“—!?”
ถึงแม้ว่ากระสุนวิซสีเขียวนัดหนึ่งจะพุ่งตรงเข้าปะทะกับกรงเล็บสีขาวและแตกสลายหายไปตามที่เวก้าคิดเอาไว้ แต่ว่ากระสุนอีกหนึ่งนัดที่เขาควบคุมให้มันพุ่งเข้าใส่ร่างของหญิงสาวจากมุมอับนั้นก็กลับแตกสลายหายไปเช่นเดียวกันราวกับว่ามันกระทบเข้ากับม่านพลังหรืออะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นเสียอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้เวก้าตัดสินใจที่หันไปคว้ามือของคอนแนลเอาไว้และร้องสั่นเด็กหนุ่มขึ้นมา
“จับไว้ครับ!!”
ฟู่วววววว— ซู่มมมม!!
ทันทีที่เวก้าคว้ามือของคอนแนลเอาไว้ได้แล้วอดีตขุนนางหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะใช้ไอพ่นของยูนิตของตนดันร่างของเขาและคอนแนลขึ้นและออกตัวพุ่งออกไปจากเมืองใต้ดินผ่านทางรอยแยกบนเพดานที่ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดบอกคอนแนลขึ้นมา
“ที่คุณนูลิสยิงไปเมื่อสักครู่นี้น่าจะช่วยยื้อเวลาเอาไว้ได้สักพักล่ะครับ ตอนนี้พวกเรากลับไปรวมกับคนอื่นแล้วรอคำสั่งจากคุณเอริกะกันก่อนเถอะครับ”
“แต่ว่าเมื่อกี้คุณนาร์เซียเขา…”
“เขาก็อาจจะยังรับฟังอยู่นั่นล่ะครับ แต่ว่าไม่ใช่ในตอนที่โกรธจนสติหลุดแบบนี้แน่ๆ … ตอนนี้พวกเรากลับไปวางแผนกันใหม่ก่อนเถอะครับ”
“…ครับ”
“ฮ่า…ฮ่า…”
ย้อนกลับมาก่อนหน้านี้เล็กน้อยในช่วงเวลาก่อนที่คอนแนลจะได้เดินทางไปถึงวังแห่งมาร์นาร์ฟและได้พูดคุยกับนาร์เซีย ทางด้านอัลเปียที่ออกมารับมือกับอดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์แห่งเมืองแพนเทร่าก็ได้หอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน
ซึ่งถึงแม้ว่าอัลเปียจะสามารถรับมือกับอดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์มาได้เป็นเวลานานโดยไม่พลาดท่าไปเสียก่อน แต่ทว่าสภาพของเธอก็ดูไม่ดีสักเท่าไหร่นักเมื่อในเวลานี้ได้มีแผลพุพองเป็นลวดลายต่างๆ ปรากฏอยู่เต็มท่อนแขนอีกทั้งยังมีรอยบาดเหมือนกับถูกใบมีดเล็กๆ เฉือนอยู่เต็มทั่วร่างกายในขณะที่ถุงมือสีขาวที่เธอเคยสวมใส่เอาไว้ในบัดนี้ถูกเผาไหม้จนเหลืออยู่เพียงแค่ส่วนเล็กๆ ที่ข้อมือเสียแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ทางด้านอดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ก็มีสภาพที่ดูไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่นัก เมื่อในบัดนี้ชุดเกราะของเขาได้เต็มไปด้วยรอยไหม้สีดำและมีรอยบาดเหมือนกับโดนคมดาบฟาดฟันเข้าใส่จังๆ ไปหลายจุด
และในบัดนี้เขาก็กำลังยกดาบอัศวินที่มีรอยแตกร้าวไปทั่วทั้งใบดาบขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่ใบดาบของเขาได้เรืองแสงสีเขียวออกมาจนทำให้อัลเปียที่เห็นแบบนั้นต้องรีบยกแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาไขว้กันก่อนที่จะมีเส้นแสงสีแดงปรากฏขึ้นมาไล่ไปตามท่อนแขนของเธอจนเกิดเป็นลวดลายของวงจรวิซในภาษาโบราณอีกครั้ง
ฟวับ—ซู่มมมมมมม—!!
“ว๊าย!!?”
ถึงแม้ว่าอัลเปียจะสามารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีด้วยกระแสลมหมุนที่พุ่งเข้าใส่เป็นเส้นตรงของคู่ต่อสู้ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าในครั้งนี้เธอก็กลับไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะยืนหยัดต้านทานกระแสลมที่อีกฝ่ายส่งมาได้จนถูกกระแสลมเป่าปลิวกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงโลหะที่อยู่เบื้องหลัง
ปึ้ง!!
“อู้ย… เจ็บๆๆ … อ๊ะ—”
อัลเปียที่ปลิวกระเด็นออกไปด้านหลังนั้นได้ส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจ เมื่อได้พบว่าตนเองไม่สามารถยัดร่างของตัวเองให้ลุกกลับขึ้นมายืนได้แล้วเนื่องด้วยทั้งจากอาการบาดเจ็บและทั้งจากอาการขาดแคลนพลังวิซที่เริ่มเกิดขึ้นบ้างแล้ว
“ฮะฮะ… ม…มันก็มีเหตุผลอยู่ที่ท่านพี่ได้เป็นหัวหน้าอัศวินองครักษ์ส่วนฉันก็ได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องวิจัยอยู่นี่นะคะ…. ด..ดูท่าจะแย่จริงๆ ซะแล้วสิ… ถ..ถุงมือก็ไหม้ไปเกือบหมดแล้วด้วย…”
อัลเปียที่ดูเหมือนจะรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะออกมาต่อสู้ซึ่งๆ หน้าเป็นเวลานานแบบนี้ได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยพลางเหลือบตามองดูดาบอัศวินที่เต็มไปด้วยรอยร้าวของอีกฝ่ายพลางเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา
“แต่ว่าสภาพแบบนั้นอย่างมากก็น่าจะรับได้อีกแค่ครั้งเดียวสินะ… ถ้างั้นล่ะก็…!!”
วิ๊ง—
ในทันทีที่อัลเปียเอ่ยปากพูดออกมาจนจบเธอก็ได้อ้าปากกว้างเผยให้เห็นลวดลายของวงจรวิซที่กำลังเรืองแสงทอดยาวหายเข้าไปลึกด้านในลำคอของเธอก่อนที่ทันใดนั้นเองจะเกิดเปลวไฟร้อนแรงเหมือนกับที่เธอเคยใช้ผ่านถุงมือสีขาวในช่วงต้นของการต่อสู้พวยพุ่งออกมาจากลำคอของเธอและพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของอัศวินในชุดเกราะที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาหาเธอเข้าเต็มๆ โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
ฟู่วววว!!!
เปรี๊ยะ—เพล้ง!!!
ถึงแม้ว่าอัศวินในชุดเกราะสีขาวจะสามารถสังเกตเห็นการกระทำของอัลเปียและอัดพลังวิซของเขาเข้าใส่ดาบประจำตัวจนมันเรืองแสงสว่างสีเขียวออกมาและยื่นมันออกมาเบื้องหน้าเพื่อป้องกันตัวเองได้ทันท่วงทีก็ตาม แต่ว่าใบดาบที่แต่เดิมก็เสียหายหนักอยู่แล้วก็ได้ส่งเสียงดังลั่นออกมาก่อนที่มันจะแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ส่งผลให้เปลวเพลิงที่อัลเปียพ่นออกมาพุ่งอาบเข้าใส่ร่างของเขาจังๆ
“………..”
“อ๊อก—!?”
แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลังจากนั้นก็กลับเป็นการที่เปลวเพลิงที่ถูกอัลเปียพ่นออกมาได้หยุดชะงักไปอย่างกะทันหันก่อนที่อัลเปียที่เป็นผู้โจมตีจะไอสำลักออกมาเป็นเลือดสดๆ เมื่อวงจรวิซที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อใช้โจมตีได้เผาผลาญด้านในลำคอของเธอไปด้วย
อีกทั้งที่แย่กว่านั้นก็คือการที่ร่างในชุดเกราะอัศวินเบื้องหน้าของเธอนั้นยังสามารถใช้วงจรวิซบนชุดเกราะของเขาในการสร้างเกราะวิซขึ้นมาป้องกันร่างกายของตนเองจากเปลวเพลิงของอัลเปียได้โดยแลกกับการที่ชุดเกราะของเขามีรอยไหม้ดำเพิ่มขึ้นอีกแค่บางส่วนเท่านั้น และในบัดนี้ร่างในชุดเกราะของเขาก็กำลังเดินตรงเข้าไปทางอัลเปียที่กำลังนั่งกุมลำคอด้วยความเจ็บปวดอยู่อีกด้วย
ปิ๊ง— ครื่ดดดดดด—
ตึกตึกตึกตึก!!
แต่ว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงกระดิ่งเล็กๆ ดังขึ้นมาก่อนที่ประตูทางขึ้นลงของเมืองใต้ดินก็จะถูกเลื่อนเปิดออกและตามมาด้วยร่างของหญิงสาวผมสีดำในชุดกาวน์ใหญ่เกินตัว หรือก็คือนัวร์ในร่างของหญิงสาววิ่งที่ตรงออกมาจากภายใน
“ท…ท่าน…นัวร์…?”
“ทำได้ดีมากจ้ะอัลเปียจัง เดี๋ยวฉันจะรับช่วงต่อให้เอง~”
กร๊อบ–แกร๊บ–!
นัวร์ที่วิ่งตรงออกมาจากประตูทางขึ้นลงนั้นได้ยิ้มร่าพูดตอบอัลเปียกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะสะบัดแขนข้างหนึ่งออกไปทางด้านข้าง และนั่นก็ทำให้แขนเสื้อกาวน์ของเธอขยับไปมาอย่างน่ากลัวแล้วจึงมีสิ่งที่ดูคล้ายกับมือมนุษย์ที่ปราศจากผิวหนังและมีเล็บแหลมคมโผล่พรวดออกมาจากภายใต้แขนเสื้อกาวน์ของเธอ และนัวร์ก็ไม่รอช้าที่จะใช้มันเหวี่ยงเข้าใส่ร่างในชุดเกราะอัศวินที่ยืนอยู่ไม่ห่างไปจากอัลเปียในทันที
ฟวับ—ผลั๊ก!!!
“—!?”
โคร๊ม!!!
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกรงเล็บของนัวร์ปะทะเข้ากับท่อนแขนที่ร่างในชุดเกราะอัศวินยกขึ้นมาตั้งรับนั้นก็คือการที่ร่างในชุดเกราะอัศวินของอดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ได้ปลิวกระเด็นราวกับลูกบอลพุ่งไปกระแทกตึกหลังหนึ่งจนพังถล่มลงมาในขณะที่ทางด้านนัวร์ที่หลังจากหวดคู่ต่อสู้จนปลิวกระเด็นไปแล้วก็ได้หันหลังกลับไปร้องบอกเอริกะที่ยืนหลบอยู่ในทางขึ้นลงเมืองใต้ดินขึ้นมาโดยไม่รอดูผลงานของตัวเองซะด้วยซ้ำ
“ด้านนอกนี่เคลียแล้วล่ะเอริกะจัง~ ถ้าจะไปก็รีบไปตอนนี้แหล่ะ~”
“ฝากอัลเปียด้วยนะ!!”
ฟุ่บ—
เอริกะที่ได้ยินว่าบริเวณทางขึ้นลงปลอดภัยแล้วได้ร้องตอบนัวร์กลับไปก่อนที่หญิงสาวนักประดิษฐ์จะออกวิ่งตรงไปทางสนามเด็กเล่นอันเป็นสถานที่ต่อสู้ของพวกนากาและกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงอย่างรวดเร็วโดยที่ในมือของเธอได้ถือเข็มฉีดยาเข็มหนึ่งเอาไว้ด้วย และนั่นก็ทำให้นัวร์ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองอัลเปียที่นั่งพิงกำแพงกุมลำคอของตนเองอยู่แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เอริกะจังเขาว่าอย่างงั้นแหน่ะ เพราะงั้นก็นอนนิ่งๆ ให้ฉันดูอาการแต่โดยดีซะเถอะนะอัลเปียจัง~”
แผละ—
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของนัวร์นั้นเอง เนื้อสีแดงและพังผืด,พั้งผืดต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นกรงเล็บของเธอก็ได้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำราวกับเนื้อที่เน่าเปื่อยก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ละลายกลายเป็นของเหลวเหนียวหนืดไหลหลุดออกจากร่างของนัวร์อย่างช้าๆ เผยให้เห็นท่อนแขนปกติธรรมดาของหญิงสาวที่อยู่ภายใน
ซึ่งนัวร์ก็ได้สะบัดแขนข้างนั้นไปมาเพื่อสลัดของเหลวเหนียวๆ ที่ยังคงติดอยู่ตามท่อนแขนของเธอเล็กน้อยท่ามกลางสายตาที่เบิ่งกว้างด้วยความตกใจปนสยองขวัญของอัลเปีย
“ม…ม…ม…เมื่อ…เมื่อกี้… แค่ก! แค่ก!!”
“หื้ม~?”
ฉากที่น่าสยดสยองที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านั้นได้ทำให้อัลเปียตื่นตกใจจนสำลักเลือดออกมาอีกครั้งและพยายามที่จะขยับร่างของตัวเองให้ถอยห่างจากร่างของนัวร์ และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่เห็นแบบนั้นเผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนเจอเรื่องน่าสนุกออกมาก่อนที่เธอจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาอัลเปียพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วย
“ชู่ว ชู่ว ชู่วววว… อย่าเพิ่งพูดอะไรมากนักสิ เล่นใช้คอตัวเองเป็นสื่อกลางการใช้วิซแบบนั้นป่านนี้ด้านในคอสวยๆ นี่น่าจะเละไม่เหลือซากแล้วล่ะมั้ง~”
“ต—แต่—”
หมับ
ถึงแม้ว่าอัลเปียจะพยายามพูดอะไรบางอย่างออกมาก็ตาม แต่ว่าทางด้านนัวร์ก็ได้ใช้แขนเสื้อกาวน์ยาวเกินตัวของเธอที่เปรอะเปื้อนไปด้วยสสารเหนียวหนืดที่เคยประกอบกันเป็นกรงเล็บของเธอมาก่อนอุดไปที่ปากของอัลเปียและยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ชู่ววววว อย่าเพิ่งพูดๆ อยู่เงียบๆ แล้วปล่อยให้คุณหมออย่างฉันดูอาการให้ดีกว่าเนอะ~”
MANGA DISCUSSION