“ว่าไงเจ้าหนูเวอร์มอนด์… เดี๋ยวนี้เป็นถึงคนใหญ่คนโตเลยไม่ใช่หรือไง ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะแกจัดการฉันได้หรือเปล่าน่ะ?”
ไมเคิลที่ไต่กำแพงขึ้นมาถึงหน้าต่างชั้นสองที่เวอร์มอนด์ใช้เป็นฐานปฏิบัติการได้เอ่ยปากพูดถามขุนนางหนุ่มขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่กำลังเบิ่งตากว้างจ้องมองร่างเบื้องหน้าตั้งสติได้ก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปด้วยท่าทางตามปกติของเขาที่ดูเหมือนกับคนที่คอยแอบวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
“…เรียกว่าแค่มีส่วนร่วมด้วยน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง”
“หึ… แต่ดูแล้วก็ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่พยายามจะแสดงออกสักเท่าไหร่เลยนี่ เพราะไม่งั้นแกคงไม่ถูกส่งมาอยู่ที่แถวหน้าแบบนี้หรอกจริงมั้ย”
ไมเคิลยิ้มเยาะให้กับท่าทางที่ดูเหมือนกับว่ากำลังพยายามวางมาดของเวอร์มอนด์เล็กน้อยและพูดเหยียดหยามอีกฝ่ายขึ้นมาแบบไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่ได้ยินแบบนั้นหน้าทะมึนไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดสั่งงานทหารหน่วยสื่อสารที่กำลังนั่งยองๆ ดูอาการของหัวหน้ากองเรจจิขึ้นมา
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะครับ! รีบไปตามคนอื่นมาเร็วเข้า หัวหน้าของศัตรูอยู่ที่ตรงนี้แล้วนะครับ!!”
“แต่ว่าหัวหน้ากองเขา—”
“นี่เป็นคำสั่งครับ!!”
เวอร์มอนด์พูดสั่งนายทหารหน่วยสื่อสารขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดจนทำให้นายทหารคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับยังไม่ยอมลุกขึ้นและวิ่งออกไปตามทหารคนอื่นตามคำสั่งของเวอร์มอนด์และนั่นก็ทำให้ไมเคิลที่เห็นแบบนั้นจำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ไหนๆ ก็ถูกสั่งให้ไปแล้วก็พาหัวหน้าของนายไปรักษาซะด้วยเลยสิ ถึงจะเห็นว่าไม่มีแผลเยอะเท่าไหร่แต่ข้างในชุดน่าเจ็บหนักไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ”
“ค—ครับ!!”
คำพูดของไมเคิลได้ทำให้นายทหารหน่วยสื่อสารตัดสินใจที่จะช่วยพยุงเรจจิขึ้นมาในทันที และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่เห็นแบบนั้นเอ่ยปากพูดขัดเขาขึ้นมา
“ผมสั่งให้คุณไปตามคนอื่นมาช่วยไม่ได้สั่งให้พาหัวหน้ากองไปรักษานะครับ!!”
“ถึงเจ้านายของนายจะสั่งมาแบบนั้นก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่ามีทหารคนไหนโผล่มาที่นี่ฉันก็จะอัดให้น่วมให้นายขนพวกเขาไปรักษาอีกรอบนึง… เพราะงั้นก็ตัดสินใจให้ดีๆ ก็แล้วกันว่าจะทำยังไงน่ะ”
เสียงทั้งสองเสียงของเวอร์มอนด์และไมเคิลได้ทำให้นายทหารหน่วยส่งสารนิ่งเงียบไปก่อนที่เขาจะเดินพยุงหัวหน้ากองเรจจิออกจากห้องไปโดยไม่ได้พูดอะไรท่ามกลางสายตาแข็งกร้าวของเวอร์มอนด์ ซึ่งภาพที่ไมเคิลเห็นนั้นก็ทำให้เขาต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าตำแหน่งที่ได้มาจากชื่อเสียงนั่นจะไม่ได้มาพร้อมกับความสามารถในการสั่งการทหารด้วยงั้นสินะ วิธีพูดสั่งแบบนั้นน่ะถ้าเป็นที่เมืองกราวิทัสหรือเมืองรีมินัสก็คงจะทำให้พวกลูกน้องยอมทำตามคำสั่งได้อยู่หรอก… แต่ว่าสำหรับทหารของเมืองแพนเทร่าของพวกเราที่ทุกคนก็เปรียบเสมือนกับครอบครัวเดียวกันแบบนั้นน่ะไม่มีทางที่จะมีคนยอมทำตามหรอก”
“แล้วคิดว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นความผิดของใครล่ะ!? เป็นคุณเองไม่ใช่หรือไงที่สอดมือเข้าไปยุ่งกับทุกอย่างจนทำให้ทุกคนกลายเป็นพวกเหยาะแหยะแบบนั้นน่ะ!?”
“ที่ฉันทำก็แค่สอนให้พวกเขารู้จักคิดด้วยตัวเองกันได้ก็แค่นั้น ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เบื้องบนต้องการมันเป็นสิ่งที่ควรจะทำพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะขัดอะไรอยู่แล้ว มันจะมีปัญหาก็แค่ตอนที่สิ่งที่เบื้องบนต้องการมันคือเครื่องมือที่จะทำตามคำสั่งอย่างไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีเท่านั้นล่ะ”
“ม—มัวแต่พล่ามอะไรของคุณอยู่ได้!? หรือที่บอกว่าจะทำลายเมืองนี้นี่คือคิดจะพูดบ่นให้คนเบื่อตายกันหมดหรือไง!?”
เวอร์มอนด์ที่ได้ยินคำพูดของไมเคิลที่จี้ใจดำเขาได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดเถียงกลับไปด้วยอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาในหัวและนั่นก็ทำให้ไมเคิลได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะหันกลับไปทางหน้าต่างเพื่อทอดสายตามองดูตัวเมืองแพนเทร่าที่ตกอยู่ภายใต้ม่านหมอกแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ใจเย็นๆ สิ ที่ฉันมาที่นี่ก็แค่อยากจะยืนยันหน้าตาของคนที่ใช้แผนการโง่ๆ อย่างการส่งทหารกล้าพวกนั้นลงไปตายเปล่าที่ข้างล่างนั่นเท่านั้นเอง คนที่จะใช้แผนการแบบนี้ที่ฉันพอจะนึกออกมันก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน แล้วฉันก็เดาถูกจริงๆ ซะด้วย…”
“นี่คุณ—!!”
คำพูดของไมเคิลในคราวนี้ได้ทำให้เวอร์มอนด์หน้าขึ้นสีและทำท่าเหมือนกับว่าจะชักดาบประจำตำแหน่งที่เขาพกเอาไว้ที่ข้างเอวออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับชะงักไปกับสายตาของไมเคิลที่หันกลับมามองเขาด้วยสายตาเวทนาราวกับญาติผู้ใหญ่ที่กำลังจ้องมองเด็กน้อยที่พยายามปกปิดความผิดอะไรบางแต่ก็แอบซ่อนเอาไว้ไม่มิดจนโดนจับได้อย่างอย่างไรอย่างนั้น
“ทำอย่างกับว่าต่อให้แกชักดาบนั่นออกมาแล้วจะทำอะไรฉันได้อย่างงั้นล่ะ… แล้วรู้อะไรหรือเปล่าล่ะ คนที่อยากจะได้ชีวิตของพวกขุนนางขยะในวังหลวงอย่างพวกแกจริงๆ น่ะมันไม่ใช่ฉันสักหน่อยนะ…”
“ไม่ใช่คุณ…? ถ้างั้นก็เคาน์เตสอาริสะงั้นหรอ…. ไม่สิ อย่างเด็กนั่นทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ … หรือว่าจะเป็นเจ้าแอทลาส…”
“ไปแล้วสินะ…”
ไมเคิลที่ละสายตาออกจากเวอร์มอนด์เพื่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่งได้ถอนสายตาออกมาจากเรือเหาะติดสัญลักษณ์รูปสุนัขสีขาวคาบมีดสั้นกำลังบินออกห่างจากแพนเทร่าไปอย่างช้าๆ และพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองเวอร์มอนด์อีกครั้งและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“หึ ชื่อที่แกคิดขึ้นมาได้เป็นชื่อแรกๆ คือชื่อของเพื่อนขุนนางด้วยกันอย่างงั้นหรอ”
“หุ–หุปปาก!! ช–ใช่แล้ว! ที่คุณพูดขึ้นมาเพื่อให้ผมสับสนจนแตกคอกันเองใช่มั้ยล่ะ! ใครมันจะไปหลงเชื่อกบฏอย่างคุณกัน!!”
“ดูท่าทางว่าต่อให้จะพูดอะไรไปก็คงจะเสียเวลาเปล่าสินะ… เฮ้อ การให้โอกาสคนอื่นนี่มันเหนื่อยจังเลยนะ…”
“ห–หยุดอยู่ตรงนั้นล่ะ! ถ้าเกิดว่าไม่อยากจะให้ผมกดปุ่มนี่ล่ะก็ยอมฟังคำสั่งของผมซะ!!”
ในทันทีที่เวอร์มอนด์ได้ยินไมเคิลพูดเหมือนกับว่าไม่ต้องการจะใช้เวลาไปกับพูดคุยกับเขาอีกต่อไปแล้วนั้นเอง ขุนนางหนุ่มก็รีบคว้าเอาแป้นปุ่มกดที่เขาห้อยเอาไว้ข้างเอวขึ้นมาถือเอาไว้ในทันที และนั่นก็ทำให้ไมเคิลต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เพราะว่าสิ่งสุดท้ายที่เวอร์มอนด์เลือกที่จะหวังพึ่งพิงไม่ใช่ดาบประดับยศที่ใช้เป็นอาวุธได้ แต่ทว่ากลับเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกับปุ่มกดเพื่อจุดชนวนระเบิดเสียอย่างนั้น
“นี่เห็นว่าสู้ฉันไม่ได้ก็เลยคิดจะระเบิดที่นี่ทิ้งไปพร้อมกับฉันหรือไง? ช่วงเวลาไม่แค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่มันมากพอที่จะทำให้แกกล้าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้แล้วงั้นหรอ”
“หึหึ ผมไม่คิดจะเอาชีวิตไปทิ้งแบบที่เจ้าฮอว์คมันทำหรอก แล้วต่อให้คุณจะไม่กลัวเจ้าปุ่มนี่ในตอนนี้แต่ว่าหลังจากได้เห็นสิ่งที่อยู่ในห้องข้างหลังนั่นแล้วคุณอาจจะอยากลองคิดดูใหม่ก็ได้”
“……..”
ไมเคิลหรี่ตาลงเล็กน้อยให้กับคำพูดของเวอร์มอนด์ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังบานประตูที่เวอร์มอนด์ชี้ตรงไปโดยไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้โอกาสนี้ในการแอบลอบโจมตีเขาเลยแม้แต่น้อย
แกร๊ก— ฟู่วววว…ฟู่วววว…
ในทันทีที่ไมเคิลผลักบานประตูให้เปิดออกนั้นเองก็ได้มีเสียงที่ดูคล้ายกับลูกสูบอัดอากาศดังเป็นจังหวะดังมาให้เขาได้ยิน และเมื่อประตูถูกเปิดออกจนสุดแล้วก็ได้เผยให้เห็นร่างของชายคนหนึ่งที่ร่างกายเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงที่กลางห้อง อีกทั้งตามร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นหน้ากากสำหรับช่วยหายใจ สายน้ำเกลือหรือสายอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงอยู่กับอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากที่ถูกตั้งรายล้อมรอบตัวของเขาอยู่
ซึ่งถึงแม้ว่าร่างของชายเบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยผ้าพันแผล แต่ว่าไมเคิลก็ยังสามารถจดจำเขาได้อย่างชัดเจนว่าชายเบื้องหน้าของเขานั้นก็คือ วิลฟอร์ด หนึ่งในนายทหารหน่วยไวท์ ฮาวด์ของอาริสะที่ถูกไคเลอร์โจมตีจนอาการสาหัสอีกทั้งยังเคยเป็นหนึ่งในหน่วยทหารส่วนตัวของไมเคิลเองในตอนก่อนที่เขาจะถูกประกาศว่าเป็นกบฏอีกด้วย
“วิลฟอร์ด…? เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“ก็พอดีว่าเขาได้รับบาดเจ็บในตอนที่ออกไปทำภารกิจของเคาน์เตสอาริสะก็เลยต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้นน่ะสิครับ”
“ที่ฉันถามก็คือว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่แนวหน้านี่แทนที่จะเป็นห้องพยาบาลของปราสาทต่างหาก!!”
น้ำเสียงของเวอร์มอนด์ที่ฟังดูกระยิ้มกระย่องราวกับมั่นใจว่าตนเองกลับมาถือไพ่เหนือกว่าอีกครั้งได้ทำให้คิ้วของไมเคิลขมวดเข้าหากันก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอำมหิตราวกับว่าในเวลานี้เขาพร้อมจะพุ่งหมัดของตนเข้าใส่เวอร์มอนด์เพื่อฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิดถึงกับหน้าซีดและรีบเอ่ยปากพูดข่มขู่ไมเคิลขึ้นมาอีกครั้ง
“ฮ–ฮะฮะ— อ–อย่าคิดทำอะไรตุกติกดีกว่านะ ถึงตอนนี้อาการของเจ้าหมอนั่นจะพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ว่าเขาก็ยังต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจอยู่ แล้วคุณก็คงจะรู้ใช่มั้ยล่ะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมกดปุ่มเพื่อตัดพลังงานของตึกนี้ทิ้งน่ะ!!”
“นั่นคือวิธีที่แกเลือกใช้อย่างงั้นหรอ… ทั้งๆ ที่ในตอนนี้แกมีอำนาจจะสั่งการทหารทั้งกองทัพที่พวกเขาเต็มใจจะสละชีวิตต่อสู้กับฉันเพื่อปกป้องเมืองของพวกเราเอาไว้ แต่แกกลับเลือกที่จะใช้วิธีต่ำช้าอย่างการเอาคนเจ็บที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี่มาเป็นตัวประกันอย่างงั้นหรอ…”
“ก็นั่นไงล่ะทหารที่พร้อมเต็มใจจะสละชีวิตเพื่อเมืองแพนเทร่าที่คุณบอกน่ะ! ถ้าเขารู้ว่าชีวิตของตัวเองสามารถช่วยเหลือเมืองแพนเทร่าเอาไว้ก็น่าจะภูมิใจไม่ใช่หรือไง!!”
เวอร์มอนด์แสยะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่งและเมื่อเขาเห็นว่าไมเคิลนิ่งเงียบไปเหมือนกับพูดเถียงอะไรไม่ได้เขาก็ไม่รอช้าที่จะพูดขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงสาแก่ใจราวกับว่าตนเองเป็นผู้ชนะแล้วไม่ผิดแน่
“แล้วคุณก็ลองมองดูรอบๆ สิ มองดูเมืองของพวกเราหลังจากที่คุณโดนเขี่ยทิ้งไปได้สักทีนี่สิ! วิทยาการของพวกเรารุ่งเรืองจนแทบจะเทียบเท่ากับรีมินัส เรื่องการค้าขายพวกเราก็แซงหน้ากราวิทัสไปแล้ว! มันคือสิ่งที่บ่งบอกว่าท่านพ่อกับท่านเฟอร์กัสตัดสินใจถูกแล้วที่ลงมือจัดการปิศาจอย่างคุณที่สิงสู่อยู่ในเมืองนี้แล้วก็คอยขัดขวางความเจริญของเมืองของพวกเรามาโดยตลอดยังไงล่ะ! แล้วทีนี้มันก็เป็นหน้าที่ของผม ผู้สืบทอดสายเลือดของผู้ปกครองเมืองแพนเทร่าแห่งนี้ที่จะต้องจัดการกับปิศาจอย่างคุณที่ผุดกลับขึ้นมาจากนรกอีกครั้งนึงให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม!!”
“ปิศาจอย่างงั้นหรอ…”
ไมเคิลที่ได้ยินคำพูดของเวอร์มอนด์ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ และนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ แล้วจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“หึ…หึหึหึ ฮะฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!! ปิศาจอย่างงั้นหรอ! เพียงแค่เพราะว่าฉันไม่ยอมทำตามในสิ่งที่พวกแกต้องการพวกแกก็เลยตราหน้าฉันว่าเป็นปิศาจแล้วก็กำจัดฉันทิ้งอย่างงั้นหรอ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ เมื่อห้าปีก่อน หรือเมื่อตอนนั้น… ก็เป็นอย่างที่หัวหน้าเคยบอกเอาไว้ไม่มีผิด…ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนพวกคนมีอำนาจอย่างพวกแกมันก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หรอก! ฮะฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”
“ห–หัวเราะอะไรของคุณน่ะ!!?”
“ฮ่า… ให้ตายสิ ฉันก็เอาแต่ฝันไปว่าขุนนางอย่างพวกแกจะรู้จักปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ แต่ที่ไหนได้… ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไหร่ก็ยังมีแต่พวกโลภมากอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เน่าเฟะไม่ต่างจากเมื่อตอนนั้นไม่มีผิด!!”
สวบ!!!
“—!!?”
ในทันทีที่ไมเคิลเอ่ยปากพูดออกมาจนจบ เขาก็ได้สะบัดมือข้างขวาเสียบตรงเข้าไปที่อกข้างซ้ายของตัวเองจนทะลุจนทำให้เวอร์มอนด์สะดุ้งสุดตัวและเผลอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
พรวด!!
แต่ทว่าไมเคิลก็กลับไม่มีท่าทางว่าจะสนใจเวอร์มอนด์เลยแม้แต่น้อยและกระชากมือของตนกลับออกมาจากภายในร่างกายของตัวเองเผยให้เห็นดวงใจที่กำลังเต้นอยู่อย่างแผ่วเบาในฝ่ามือ
ซึ่งภาพของชายที่ควักหัวใจสดๆ ของตนเองออกมานั้นก็ได้ทำให้เวอร์มอนด์ต้องเดินถอยกลับไปจนติดกับกำแพงด้วยสีหน้าหวาดผวาและพูดถามขึ้นมาด้วยความสับสน
“ท—ทำอะไรน่ะ—”
“หึหึ… ฉันก็แค่เลือกที่จะลบตัวเองออกมาจากเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปนี่ เพื่อให้คนที่โกรธแค้นเกลียดชังพวกแกจริงๆ ได้ลงมือยังไงล่ะ… เพราะดูท่าทางว่าพวกแกคงจะไม่รู้สินะว่าอะไรคือสิ่งที่คอยขัดขวางไม่ให้เมืองนี้ถูกกวาดล้างเป็นหน้ากลองอยู่น่ะ!!”
โพล่ะ!!
ทันทีที่สิ้นเสียงของไมเคิล ชายวัยกลางคนก็ได้ออกแรงบีบหัวใจของตัวเองที่ถูกควักออกมาอย่างรุนแรงจนมันระเบิดออกเป็นละอองเลือดฟุ้งกระจายไปทุกทิศทาง และเขาก็ได้เลือกที่จะใช้ลมหายใจสุดท้ายในการพูดทิ้งท้ายเอาไว้ให้เวอร์มอนด์ได้ยินเพียงแค่คนเดียว
“ต้องขอบคุณแกที่ทำให้ฉันเข้าใจว่าถึงจะต้องมีคนถูกลูกหลงมากมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้านั่นมันจะทำให้คนอย่างพวกแกสูญสิ้นไปจากโลกได้มันก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่แย่ซะทีเดียวล่ะนะ…”
“ด—เดี๋ยวก่อนสิ—! นั่นคุณหมายความว่ายังไง!?”
“……………”
ตุ๊บ—
ถึงแม้ว่าในคราวนี้จะมีเสียงร้องถามของเวอร์มอนด์ดังขึ้นมาก็ตาม แต่ทว่าสิ่งที่ดังขึ้นมานั้นก็มีเพียงแค่เสียงมือเปื้อนเลือดของไมเคิลที่ตกลงกับพื้นอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรงบ่งบอกว่าชายวัยกลางคนผู้มีฉายาต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ดยุกอมตะ ผู้พิทักษ์แห่งเมืองแพนเทร่า หรือกบฏไมเคิลคนนั้นได้จากไปแล้วอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยคำพูดที่ไมเคิลพูดทิ้งท้ายเอาไว้มันก็ทำให้เวอร์มอนด์รู้สึกหวาดระแวงจนแทบจะไม่กล้าขยับตัว หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีเสียงเสียงหนึ่งดังเรียกชื่อของเขาขึ้นมา
“เคาท์เวอร์มอนด์!”
“——!?”
เสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นมาจากทางประตูของห้องนั้นได้ทำให้เวอร์มอนด์สะดุ้งสุดตัวและรีบขยับนิ้วไปจ่ออยู่ที่ปุ่มกดเพื่อตัดพลังงานของตึกในมือในทันที แต่ทว่าเมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงแล้วเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูก็คือหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ในชุดเกราะที่พังเสียหายที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งกลับขึ้นมาจากเมืองใต้ดินนั่นเอง
“อ่าว คุณหัวหน้าองครักษ์ ยังมีชีวิตอยู่งั้นสินะครับ”
“อืม…”
หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์พยักหน้าตอบเวอร์มอนด์กลับไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะทอดสายตามองไปยังร่างของไมเคิลที่ดูเหมือนว่าจะถูกอะไรบางอย่างทะลวงไปที่หัวใจจนเสียชีวิตกับร่างของวิลฟอร์ดที่นอนรักษาตัวอยู่บนเตียงอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เป็นฝีมือของนายงั้นหรอ…?”
“ถ้าหมายถึงกบฏไมเคิลล่ะก็ ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่ก็คงจะต้องบอกว่าเป็นเพราะแผนการของผมมันก็เลยทำให้เขายอมแพ้ก็ว่าได้ล่ะครับ”
“ยอมแพ้ในตัวพวกเราน่ะสิไม่ว่า…”
หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ที่ได้ยินคำพูดในน้ำเสียงโอ้อวดของเวอร์มอนด์ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ จนทำให้เวอร์มอนด์ที่กำลังภาคภูมิใจกับผลงานของตนจนไม่ทันได้ตั้งใจฟังต้องพูดถามเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“เมื่อกี้นี้คุณว่ายังไงนะครับคุณหัวหน้าอัศวิน?”
“ตรงนี้ฉันกับพวกทหารจะจัดการเก็บกวาดเอง… ส่วนนายกลับไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ราชาโดยตรงซะ”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างงั้นขอผมจัดการลูกน้องของกบฏ—”
หมับ—
ยังไม่ทันที่เวอร์มอนด์จะได้เอ่ยปากพูดออกมาจนจบ หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ก็ได้พุ่งมือไปคว้าข้อมือของเวอร์มอนด์ข้างที่ถือแป้นปุ่มกดเอาไว้อย่างแรงก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่เป็นคำสั่งโดยตรงขององค์ราชา ว่าหลังจากที่ภารกิจจบสิ้นแล้วให้นายรีบไปรายงานโดยตรงในทันที หรือว่านายคิดจะขัดคำสั่งขององค์ราชากัน?”
“ผมก็แค่คิดจะเก็บกวาดงานให้เรียบร้อยเท่านั้นเองล่ะครับไม่ได้คิดที่จะขัดคำสั่งอะไรสักหน่อย”
“ถ้างั้นก็รีบไปซะ”
ครื่นนนนนนนน—
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆ บรรยากาศรอบๆ รวมถึงพื้นดินก็ได้สั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดังสนั่นราวกับว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่จนทำให้เวอร์มอนด์ต้องรีบร้องถามขึ้นมา
“นี่มัน— แผ่นดินไหวงั้นหรอครับ—!?”
“…เริ่มขึ้นแล้วสินะ”
“เริ่มขึ้น— นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ!?”
“เคาท์เวอร์มอนด์ ฉันขอบอกอีกครั้ง รีบกลับไปที่ปราสาทแล้วเข้าพบองค์ราชาเดี๋ยวนี้”
“ท่านไมเคิล— ไม่…ไม่!! ไม่!! ไม่จริง!!!”
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณนาร์เซีย!!?”
ในขณะเดียวกันที่ปราสาทใต้ดินของเมืองมาร์นาร์ฟเก่าเองก็ได้มีเสียงกรีดร้องของนาร์เซียดังขึ้นมาเมื่อภาพที่เกิดขึ้นกับไมเคิลได้ถูกถ่ายทอดผ่านม่านหมอกมาให้เธอได้รับรู้ก่อนที่หญิงสาวจะทรุดตัวลงไปกุมศีรษะของตนเองราวกับว่าอยากจะปฏิเสธสิ่งที่เธอเห็นและนั่นก็ทำให้คอนแนลต้องรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายในทันที
ฟู่วววววว—
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่คอนแนลจะได้ขยับตัวเข้าไปใกล้ หมอกควันสีขาวขมุกขมัวที่ปกคลุมอยู่โดยรอบก็ได้พวยพุ่งเข้าไปอัดแน่นเป็นก้อนกลมๆ หนาทึบที่เหนือหัวของนาร์เซียก่อนที่มันจะคลายตัวออกมาเป็นแขนสีขาวสองข้างที่มีกรงเล็บแหลมคมราวกับสัตว์ร้ายแล้วจึงยิงหมอกควันที่ถูกควบแน่นจนดูเหมือนว่าจะสามารถสัมผัสได้จำนวนหนึ่งพุ่งออกมาปักเอาไว้ตามแขนและขาของนาร์เซียจนดูราวกับว่าร่างกายของหญิงสาวในชุดแม่ชีคนนี้กำลังถูกเชิดโดยกรงเล็บขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้น
เปรียะ—!
ฟวับ!!!
“—!?”
ทันใดนั้นเองอยู่ๆ ก็มีกระแสไฟฟ้าสีม่วงแผ่พุ่งไปตามเส้นด้ายที่เชื่อมอยู่ระหว่างร่างกายของนาร์เซียและกรงเล็บสีขาวก่อนที่ตัวกรงเล็บที่ลอยอยู่นิ่งๆ เหนือศีรษะของเธอจะสะบัดไปทางคอนแนลอย่างรวดเร็วจนทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบกระโดดถอยไปด้านหลังพร้อมๆ กับที่โล่ที่ถูกติดตั้งไว้กับแขนกลของยูนิตฮ็อปล่อนของเขาได้ถูกสะบัดออกไปทางเบื้องหน้าจนปะทะเข้ากับกรงเล็บอย่างรุนแรง
แคร๊ก—เคร๊ง!!
แรงกระแทกที่รุนแรงไม่แพ้การโจมตีของยูนิตการบินรุ่นทดลองที่เวก้ายึดไปใช้หรือระเบิดวิซที่ชายหนุ่มหูแมวผมสีม่วงใช้งานที่ทุ่งหญ้าหน้าเมืองรีมินัสของกรงเล็บนั้นได้ทำให้ร่างของคอนแนลปลิวกระเด็นออกไปไกล แต่ถึงอย่างนั้นในคราวนี้เด็กหนุ่มอัศวินก็กลับไม่ได้พลาดท่าไปเสียก่อนและตั้งหลักลงพื้นได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เขาจะพยายามร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมา
“คุณนาร์เซีย!!? คุณนาร์เซีย!!!”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะท่านไมเคิล… ถ้าเกิดว่าแม้แต่ท่านที่มอบความรักให้กับเมืองนี้ขนาดนั้นยังล้มเลิกความคิดที่จะปกป้องพวกเขาต่อไปแล้วล่ะก็…”
วื้ออออออออออ—
ครื่นนนนนนนน—
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดพึมพำของนาร์เซียนั้นเองก็ได้มีเสียงที่ฟังดูคล้ายกับการเริ่มต้นทำงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่เมืองใต้ดินแห่งนี้ได้สั่นสะเทือนอีกครั้งก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีแสงสว่างเส้นเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่ตรงกลางเพดานของเมืองใต้ดินพาดผ่านจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง
ซึ่งภาพของแสงสว่างจ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของแสงอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นและโคมไฟที่เคยส่องแสงสว่างให้กับเมืองใต้ดินที่ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกไปทางด้านข้างนั้นก็ทำให้คอนแนลสามารถทราบได้ทันทีว่าในบัดนี้เมืองใต้ดินที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีตแห่งนี้กำลังค่อยๆ ถูกเปิดออกให้สัมผัสกับโลกภายนอกที่หลงลืมมันไปแล้วอีกครั้ง
“เพดานมัน— กำลังเปิดออกหรอ—”
“ถ้าแม้แต่ท่านที่พร้อมจะให้อภัยพวกมันมาโดยตลอดก็ยังทอดทิ้งพวกมันแล้วล่ะก็… ฉันจะเป็นคนกวาดล้างพวกมันให้หมดเองค่ะ…”
MANGA DISCUSSION