“ว่ายังไงนะครับ!? หน่วยปืนใหญ่ทั้งหมดกำลังถอยทัพกลับมางั้นหรอ!?”
หลังจากที่สิ้นเสียงปืนใหญ่ที่ถูกกระหน่ำยิงเข้าใส่ตรงจุดที่มีพลุสัญญาณสีฟ้าถูกยิงขึ้นมาได้เพียงแค่ไม่นานเท่าไหร่นักที่ด้านบนผืนดินของเมืองแพนเทร่าก็ได้มีเสียงร้องด้วยความแปลกใจของท่านเคาน์ เวอร์มอนด์ ผู้ที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของปฏิบัติการบุกจู่โจมเมืองใต้ดินในครั้งนี้ดังขึ้นมา
ซึ่งนั่นก็ทำให้นายทหารในชุดผ้าที่สวมใส่เพียงแค่เกราะตรงส่วนเท้าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนส่งสารต้องพูดอธิบายขึ้นมาให้เวอร์มอนด์ได้ฟังเพิ่มเติม
“ครับ หลังจากที่หน่วยไรโน่กับหน่วยแร็บบิทปะทะกับคนที่น่าจะเป็นกบฏไมเคิลคนนั้นจนขาดการติดต่อไปผู้การฮอว์คก็สั่งเอาไว้ว่าให้หน่วยปืนใหญ่ที่เหลือทั้งหมดรอระดมยิงไปที่พลุสัญญาณเสร็จแล้วหลังจากนั้นก็ให้ทุกหน่วยถอนกำลังกลับมาทันทีน่ะครับ”
“สั่งเอาไว้? หมายความว่าเขาแยกตัวไปทำอะไรอย่างอื่นงั้นหรอครับ?”
“…ผู้การฮอว์คบอกว่าจะตามไปช่วยหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์รับมือกับกบฏไมเคิลครับ”
“ให้ตายสิ….”
คำตอบของนายทหารของหน่วยสื่อสารได้ทำให้เวอร์มอนด์ต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ เพราะถึงแม้ว่าคำสั่งของฮอว์คจะช่วยรักษาชีวิตของนายทหารหน่วยปืนใหญ่ที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ซึ่งๆ หน้าเอาไว้ได้ก็ตาม แต่มันก็เท่ากับว่ามันเป็นการสั่งให้ทิ้งฐานบัญชาการที่แนวหน้าอันเป็นทางขึ้นลงทางเดียวที่จะสามารถส่งคนจำนวนระดับกองกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างปืนใหญ่วิซลงไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน
และนั่นก็หมายความว่าหลังจากนี้ศัตรูที่รู้ตัวแล้วว่าพวกเขามีของพวกนี้อยู่จะต้องรีบเข้ามายึดพื้นที่บริเวณทางขึ้นลงเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาขนอุปกรณ์ใหญ่ๆ ลงไปอีกอย่างแน่นอน
“ถึงจะรักษาชีวิตของทหารเอาไว้ได้แต่สิ่งที่ต้องแลกไปมันคุ้มค่ามั้ยเนี่ย… แล้วผลการต่อสู้ของพวกเขาเป็นยังไงบ้างล่ะครับ?”
“หลังจากการระดมยิงครั้งนั้นแล้วก็ไม่เหลือร่องรอยของใครเลยครับ ทั้งผู้การฮอว์ค หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ แล้วก็กบฏไมเคิลด้วย”
“ก็นะครับ โดนปืนใหญ่วิซรุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองของพวกเราระดมยิงเข้าไปขนาดนั้นมันก็น่าจะเป็นอะไรประมาณนั้นนั่นล่ะ… ถ้าอย่างนั้นฝากคุณหัวหน้ากองพันช่วยไปเตรียมพร้อมด้วยก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมจะสั่งให้กองกำลังชุดต่อไปบุกลงไปต่อเลย”
ไมเคิลที่ได้ยินว่ากบฏไมเคิลน่าจะปืนใหญ่วิซจำนวนมากถล่มยิงจนไม่เหลือซากไปแล้วนั้นได้พยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางพึงพอใจปนโล่งอกก่อนที่เขาจะพูดสั่งงานนายทหารอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องด้วยขึ้นมา
ซึ่งคำพูดของเขานั้นก็ได้ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดเครื่องแบบทางการทหารอีกคนหนึ่งที่นั่งฟังการสนทนาของพวกเขาอย่างเงียบๆ มาสักพักหนึ่งแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ
“เฮ้อ ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าต่อให้จะส่งเจ้าฮอว์คไปสั่งการก็เถอะแต่ว่าทั้งหน่วยไรโน่ทั้งหน่วยแร็บบิทน่ะมันตกยุคไปกันหมดแล้ว ให้ตายสิ… เป็นเรื่องสำคัญแท้ๆ แต่ดันส่งไปแต่หน่วยยุคดึกดำบรรพ์แบบนั้นมันก็ต้องพลาดอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
“ถ้าอย่างงั้นหลังจากนี้ก็คงต้องฝากคุณหัวหน้ากองพันช่วยเตรียมพร้อมกองทัพส่วนที่เหลือให้พร้อมและบุกกลับลงไปภายในสามสิบนาทีด้วยก็แล้วกันนะครับ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยเก็บกู้อุปกรณ์ต่างๆ ของหน่วยไรโน่กับหน่วยแร็บบิทกลับมาให้ด้วยจะดีมากเลยล่ะครับ”
“เฮ้อ…”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้ากองพันได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาทำความเคารพเวอร์มอนด์แล้วจึงรีบเดินออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ในขณะที่ทางด้านเวอร์มอนด์เองก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับเคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเหมือนกับกำลังใช้ความคิดอยู่
“ให้ตายสิ… ทำไมองค์ราชาถึงสั่งให้ผมมาทำหน้าที่นี้แทนคุณแอทลาสที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้วกันนะ… จริงสิ… คุณมีความเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างล่ะครับคุณคนส่งสาร?”
“อ–เอ๋ะ— ผมหรอครับ? เอ่อ….”
นายทหารหน่วยสื่อสารที่อยู่ๆ ก็ถูกเวอร์มอนด์พูดถามขึ้นมานั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยและมีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัดที่จะออกความเห็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับคำสั่งขององค์ราชาแห่งเมืองแพนเทร่าจนทำให้เวอร์มอนด์ที่เห็นแบบนั้นเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดกระตุ้นเขาขึ้นมา
“ผมอยากทราบความเห็นของคุณในฐานะที่คุณก็ทำหน้าที่ส่งสารให้กับขุนนางอย่างพวกผมมาช้านานแล้วน่ะครับ แล้วก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ ในห้องนี้มีแค่คุณกับผมเท่านั้น รับรองว่าเรื่องที่คุณพูดไม่แพร่งพรายออกไปที่ไหนแน่นอน”
“ถ้า… ถ้าเป็นความเห็นของผมแล้ว ผมคิดว่าที่องค์ราชาประสงค์ให้ท่านเวอร์มอนด์มารับหน้าที่นี้อาจจะเป็นเพราะว่าท่านเวอร์มอนด์มีประสบการณ์ในการรับมือกับกบฏไมเคิลมาก่อน… ก็เลยทำให้ท่านเวอร์มอนด์เหมาะสมกับหน้าที่นี้ที่มีโอกาสจะต้องประเชิญหน้ากับเขาอีกครั้งหนึ่งค่อนข้างสูงน่ะครับ”
“หมายถึงเรื่องที่ผมเป็นหนึ่งในขุนนางที่ได้รับหน้าที่เก็บกวาดมาจากองค์ราชาองค์ที่แล้วสินะครับ… ก็นับว่ามีเหตุผลอยู่… แต่ว่ามันก็ยังมีอะไรบางอย่างที่กวนใจผมอยู่…”
เวอร์มอนด์ที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดชื่อของไมเคิลขึ้นมาได้เอ่ยปากพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงครุ่นคิดพลางเลื่อนมือไปจับสิ่งที่ดูคล้ายกับแป้นโลหะที่มีปุ่มกดหนึ่งปุ่มและมีฝาครอบทำจากกระจกใสและเลื่อนนิ้วของเขาถูมันด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกับกำลังกังวลใจเล็กน้อย
ซึ่งภาพของอุปกรณ์ที่ดูแปลกตานั้นก็ได้ดึงดูดความสนใจของนายทหารจนทำให้เขาต้องเลื่อนสายตาไปมองจนทำให้เวอร์มอนด์สังเกตได้ และนั่นก็ทำให้ขุนนางหนุ่มต้องรีบปล่อยมือออกจากแป้นปุ่มกดของเขาและพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอาเป็นว่าผมเตรียมแผนรับมือกบฏไมเคิลเอาไว้แล้วล่ะครับ ส่วนสำหรับตอนนี้ฝากคุณไปแจ้งทางวังหลวงว่าให้พวกเขาช่วยเตรียมเรือบินติดอาวุธกับกำลังพลสำรองมาแทนที่หน่วยที่กำลังจะลงไปข้างล่างให้—”
โคร๊ม!!
“เสียงอะไรน่ะ—!?”
ยังไม่ทันที่เวอร์มอนด์จะได้พูดสั่งนายทหารหน่วยสื่อสารได้จนจบ อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงกระแทกดังลั่นออกมาจากด้านในโกดังเก็บของอันเป็นสถานที่ตั้งทางขึ้นลงขนาดใหญ่ที่ทางกองทัพแพนเทร่าใช้เป็นช่องทางในการขนกำลังพลลงไปยังเมืองใต้ดินก่อนที่จะมีเสียงร้องโหวกเหวกดังขึ้นมาจากทางด้านนอกให้เวอร์มอนด์ได้ยิน
“ศัตรู!! ศัตรูบุกขึ้นมาแล้ว!!”“มันอยู่ด้านในทางลงนั่น!! จัดแนวรบหน้ากระดานพื้นฐาน!! ตั้งแนวป้องกันขวางด้านหน้าโกดังนั่นเอาไว้อย่าให้มันออกมาได้!!”
เสียงอึกทึกครึกโครมและเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของกองทัพแพนเทร่าที่ประจำการอยู่ด้านนอกนั้นได้ทำให้เวอร์มอนด์ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะเดินไปที่หน้าต่างและได้พบว่าในบัดนี้กองทัพแพนเทร่าที่ควรจะเตรียมตัวเคลื่อนย้ายลงไปยังเมืองใต้ดินกลับกำลังยืนตั้งแถวเป็นรูปครึ่งวงกลมซ้อนกันอยู่
โดยที่ทางด้านหน้าสุดที่ติดกับโกดังที่กำลังพ่นหมอกควันหนาทึบออกมานั้นก็เป็นหน่วยทหารในชุดเกราะที่ถือหอกและโล่ ในขณะที่นายทหารในชั้นที่สองนั้นก็เป็นหน่วยพลปืนที่นั่งชันเข่าเล็งอาวุธในมือตรงไปยังทางประตูโกดัง และที่ด้านหลังของพวกเขาก็มีพลปืนอีกหนึ่งแถวที่ยืนเล็งปืนยาวของพวกเขาเรียงเป็นหน้ากระดานอยู่อีกทีหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนที่จะมีใครทันได้พูดอะไรออกมาก็กลับมีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากม่านหมอกหนาทึบที่ฟุ้งกระจายออกมาจากประตูโกดังเข้าเสียก่อน
“แนวยิงหน้ากระดานสามแถว… ถึงจะเป็นแค่แนวยิงพื้นฐานแต่ก็สั่งการง่ายเหมาะกับการตั้งรับที่รู้แน่ชัดแล้วว่าศัตรูจะบุกมาจากทิศทางไหน ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่แย่ซะทีเดียวสำหรับสถานการณ์ที่ถูกบุกโจมตีอย่างกะทันหันแบบนี้… ถ้าเกิดว่าศัตรูที่ว่านั่นเป็นคนธรรมดาน่ะนะ…”
ฟุ่บ—
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของชายในม่านหมอกนั้นเอง ก็ได้มีอะไรเงาของอะไรบางอย่างพุ่งทะลุหมอกหนาทึบที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากประตูโกดังอย่างรวดเร็ว และนั่นก็ทำให้หัวหน้ากองพันผมสีน้ำตาลอ่อนไม่รอช้าที่จะสั่งให้ลูกน้องของตนเปิดฉากยิงในทันที
“ยิง!!”
ปังปังปังปังปังปังปังปัง—!!!
เป้งเป้งเป้งเป้งเป้งเป้งเป้งเป้งเป้ง—
แต่ถึงอย่างนั้นเสียงของกระสุนที่ตกกระทบกับเป้าหมายที่พุ่งฝ่าม่านหมอกออกมาตรงๆ ก็กลับไม่ใช่เสียงของกระสุนวิซที่กระทบเข้ากับเนื้อแต่ทว่ากลับเป็นเสียงของกระสุนวิซที่ปะทะเข้ากับผิวโลหะเสียแทนจนทำให้เหล่านายทหารของเมืองแพนเทร่าต้องเพ่งตาดูเป้าหมายของพวกเขาให้ชัดๆ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะรีบร้องตะโกนบอกคนอื่นๆ ออกมา
“นั่นมันไม่ใช่คน—”
“เหวอ—!!?”
สิ่งที่พุ่งออกมาจากม่านหมอก หรือควรจะเรียกว่าถูกเขวี้ยงออกมาจากม่านหมอกพุ่งตรงเข้าใส่กองทหารแพนเทร่านั้นก็คือปืนใหญ่วิซทั้งกระบอกของทหารหน่วยปืนใหญ่ที่ลงไปยังเมืองใต้ดินก่อนหน้านี้นั่นเอง
ซึ่งภาพของปืนใหญ่วิซขนาดใหญ่ที่โดยปกติแล้วต้องใช้ทหารหน่วยปืนใหญ่เกือบสิบคนในการขนย้ายที่กำลังลอยพุ่งเข้ามานั้นก็ได้ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นมาในหมู่นายทหารแพนเทร่าที่อยู่ในเส้นทางของมันไม่ใช่น้อย หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีเสียงตะโกนสั่งการของหัวหน้ากองพันดังขึ้นมานั่นเอง
“พลโล่เตรียมรับแรงกระแทก!!”
โคร๊ม!!!
เสียงกระแทกดังลั่นที่เกิดขึ้นเมื่อปืนใหญ่วิซตกกระทบเข้ากับโล่เหล็กของนายทหารหลายคนที่ช่วยกันตั้งแถวยันกันเอาไว้ได้ทำให้หลายๆ คนสะดุ้งไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามของเหล่านายทหารที่ถือโล่ก็ไม่สูญเปล่าเมื่อพวกเขาช่วยกันออกแรงเฮือกสุดท้ายในการงัดปืนใหญ่วิซให้ปลิวกระเด็นขึ้นไปเบื้องบนได้ทันเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกแรงกระแทกที่รุนแรงนั้นอัดเข้าใส่จนปลิวกระเด็นออกไปชนกับพลปืนที่ยืนอยู่เบื้องหลังจนปลิวกระเด็นไปตามๆ กัน
แกร๊ก—
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่พวกเขาจะทันได้รู้สึกโล่งใจ อยู่ๆ ที่ส่วนท้ายของปืนใหญ่วิซที่ถูกเบี่ยงขึ้นไปบนฟ้าก็ได้เปิดออกและปล่อยสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตลับบรรจุคริสตัลวิซที่ถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานของปืนใหญ่จำนวนมากที่ถูกบีบอัดกันจนเป็นก้อนกลมๆ ออกมา
“เห้ย—กระสุนใช่มั้ยนั่น–!?”“ไม่ใช่ว่ามันควรจะถูกเอาออกตอนขนย้ายหรอกหรอ!?”
ซึ่งภาพของกระสุนปืนใหญ่วิซที่ถูกปั้นเป็นก้อนกลมๆ นั้นก็ได้ก่อให้เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในหมู่นายทหารของเมืองแพนเทร่าไม่ใช่น้อยเพราะพวกเขาต่างก็รู้กันดีว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยคริสตัลวิซคุณภาพสูงที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล และด้วยสภาพของพวกมันในตอนนี้ที่ถูกอัดแน่นจนเป็นก้อนกลมๆ แบบนั้น ถ้าเกิดว่ามันได้สัมผัสกับพลังวิซสักนิดล่ะก็วงจรวิซที่น่าจะเสียหายยับเยินคงจะไม่พ้นที่จะทำให้มันระเบิดออกมาอย่างแน่นอน
“เดี๋ยว—หัวหน้ากอง!! ด้านหน้าครับ!!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังเงยหน้าขึ้นไปมองวัตถุอันตรายเบื้องบนอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงร้องของนายทหารคนหนึ่งดังขึ้นมาเรียกความสนใจของทุกคนกลับไปยังเบื้องหน้า และนั่นก็ทำให้พวกเขาได้พบว่าในบัดนี้ฝุ่นควันที่เคยพวยพุ่งออกมาจากประตูโกดังอันเป็นทางขึ้นลงเมืองใต้ดินได้ฟุ้งกระจายหายไปหมดแล้ว
และในบัดนี้ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คือภาพของไมเคิลที่กำลังถือปืนใหญ่วิซอีกหนึ่งกระบอกที่กำลังส่องแสงสีเหลืองสว่างจ้าออกมาจากปากกระบอกของมันจนทำให้หัวหน้ากองพันหนุ่มผู้ที่มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนรีบร้องสั่งลูกน้องของเขาขึ้นมา
“พลโล่!!! รีบตั้งแถวป้องกันเร็ว!!!”
“ครับ!!”
ปั้ง—ฟ๊าวววววว—
“หะ—!?”
ถึงแม้ว่าเหล่านายทหารของเมืองแพนเทร่าจะสามารถตั้งแถวและยกโล่ที่กำลังเรืองแสงสีต่างๆ ขึ้นมาประชันหน้ากับไมเคิลได้ทันการก็ตาม แต่ทว่าไมเคิลก็กลับไม่ได้ส่งกระสุนวิซสีเหลืองขนาดใหญ่นั่นตรงมาทางพวกเขาและยิงมันขึ้นไปด้านบนเหนือหัวของพวกเขาที่มีปืนใหญ่วิซอีกหนึ่งกระบอกและวัตถุอันตรายอย่างตลับกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกปั้นเป็นก้อนกลมๆ ที่กำลังร่วงหล่นลงมาเสียแทน และนั่นก็ทำให้หัวหน้ากองร้อยรู้ตัวในทันทีว่าเขาตัดสินใจพลาดเสียแล้ว
“แย่แล้ว—หันไปป้องกันด้านบน—”
ตู้ม!!!
“อ๊ากกกก—!?”
แม้ว่าจะมีนายทหารบางส่วนที่สามารถตอบรับคำสั่งของเขาได้ทัน แต่ทว่านายทหารส่วนใหญ่ในกองทัพแพนเทร่าที่ประกอบไปด้วยพลปืนเป็นส่วนมากนั้นก็กลับถูกแรงระเบิดและเศษเหล็กที่เกิดจากปืนใหญ่วิซที่ถูกแรงระเบิดฉีกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ ราวกับกระสุนลูกปรายอัดกระแทกเข้าใส่อย่างจังจนเกิดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทิศทาง ในขณะที่ทางด้านไมเคิลนั้นก็ได้โยนปืนใหญ่ที่เขาเพิ่งใช้งานเสร็จทิ้งไปและทำท่าเหมือนกับว่าจะออกก้าวเดินตรงไปยังอาคารหลังที่อยู่ถัดไปอันเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ในปฏิบัติการจู่โจมเมืองใต้ดินในครั้งนี้โดยไม่มีท่าทีว่าจะสนใจคนเจ็บที่นอนกองกันอยู่รอบกายเขาเลยแม้แต่น้อย
หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดเครื่องแบบทางการทหารยศสูงถือดาบที่ดูหรูหราเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาขวางทางเขาเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากพูดสั่งเหล่านายทหารคนอื่นขึ้นมา
“หน่วยแพทย์รีบเคลื่อนย้ายคนเจ็บ! ส่วนใครที่ยังขยับไหวก็ช่วยพาคนอื่นหลบไปก่อนซะ! ตรงนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง!!”
“……..”
คำพูดของหัวหน้ากองร้อยที่เดินเข้ามาขวางหน้าไมเคิลเอาไว้ทั้งๆ ที่ตัวเองบาดเจ็บอยู่นั้นได้ทำให้ไมเคิลต้องหยุดฝีเท้าลงเพื่อมองดูเขาเล็กน้อย และเมื่อชายวัยกลางคนสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าแต่งกายด้วยเครื่องแบบแตกต่างจากที่เขาจำได้ในอดีตเขาจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
“หัวหน้าหน่วยเรจจิ… ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียวก็ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากองพันแล้วงั้นหรอ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะว่านายเองก็ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการตัดสินใจในสถานการณ์คับขันดีล่ะนะ…”
“ท่าน… จำชื่อผมได้ด้วย?”
คำพูดของไมเคิลที่พูดชื่อของหัวหน้ากองพันขึ้นมานั้นได้ทำให้หัวหน้ากองหนุ่มเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าขนาดเวอร์มอนด์ที่เป็นเจ้านายคนปัจจุบันของเขาก็ยังไม่คิดที่จะจำชื่อของเขาเอาไว้ซะด้วยซ้ำและเรียกเขาด้วยตำแหน่งหัวหน้ากองร้อยมาโดยตลอด แต่ทว่ากบฏไมเคิลคนนั้นที่เขาเคยพบเจอไม่เพียงแค่ไม่กี่ครั้งในอดีตในฐานะหัวหน้าหน่วยตัวเล็กๆ อีกทั้งยังไม่เคยพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อยกลับจำชื่อของเขาได้เสียอย่างนั้น
“ถ้าเกิดว่าเป็นคนที่ฉันเคยเห็นผ่านตามาบ้างล่ะก็ฉันไม่ลืมหรอก แล้วในเมื่อฮอว์คเขาถูกส่งลงไปข้างล่างนั่นแล้วนายที่เป็นเพื่อนของเขาก็คงจะอยู่ห่างไปไม่ไกลหรอกจริงหรือเปล่าล่ะ”
“…ถึงจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านจำผมได้ แต่ว่าผมก็คงจะปล่อยให้ท่านผ่านตรงนี้ไปไม่ได้หรอกนะครับ!!”
“ก็กะเอาไว้อยู่แล้วล่ะ… ทำไมองค์ราชาถึงส่งแต่พวกที่ดูมีอนาคตมาอยู่ใต้บัญชาหมอนั่นกันนะ… ฮึ่ม…”
ฟุ่บ—
ในทันทีที่สิ้นเสียงของไมเคิลนั้นเอง เขาก็ได้ออกตัวพุ่งหมัดเข้าใส่เรจจิตรงๆ ด้วยความรวดเร็ว ซึ่งถึงแม้ว่าเรจจิจะสามารถตั้งดาบของเขาเข้ารับหมัดของไมเคิลเอาไว้ได้ แต่ทว่าดาบของเขาก็เป็นเพียงแค่ดาบธรรมดาๆ ที่ดูหรูหราเพื่อเอาไว้บ่งบอกสถานะไม่ใช่ดาบที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการพิเศษอย่างดาบของหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์และนั่นก็ทำให้มันหักสะบั้นไปเสียเฉยๆ โดยไม่ทิ้งเอาไว้แม้แต่รอยบาดบนกำปั้นของไมเคิลซะด้วยซ้ำ
เพล้ง!! หมับ—!
และยังไม่ทันที่เรจจิจะได้ตกใจเสียด้วยซ้ำ ไมเคิลก็ได้พุ่งมือของเขาจับไปที่ศีรษะของเรจจิก่อนจะออกแรงยกเขาขึ้นราวกับไม่มีน้ำหนักและเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ฉันก็อยากจะให้โอกาสนายเหมือนกับที่ให้โอกาสพวกฮอว์คเขานะ แต่พอดีว่าตอนนี้ฉันกำลังรีบอยู่เพราะงั้นคงจะต้องขอโทษด้วย”
“ด–เดี๋ยว—”
ฟุ๊บ—ฟ้าววว—
ในทันทีที่ไมเคิลพูดจบเขาก็ได้ออกแรงเหวี่ยงร่างของเรจจิตรงไปทางหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่กำลังมองดูฉากการต่อสู้เบื้องล่างอยู่ต้องเบิ่งตากว้างก่อนที่เขาจะรีบหลบตัวออกจากหน้าต่างบานที่ว่านั่น
เพล้ง—ตึ้ง!!
“เกือบไป… เรี่ยวแรงเหมือนกับปิศาจแบบนั้นมันไมเคิลไม่ผิดแน่… หน่วยอัศวินองครักษ์!! มีผู้บุกรุกครับ!!”
เวอร์มอนด์ที่เห็นว่าหัวหน้ากองพันถูกชายท่าทางคุ้นตาเขวี้ยงทะลุหน้าต่างขึ้นมายังอาคารชั้นบนจนกระแทกกับผนังและร่วงลงมากระแทกพื้นห้องดังลั่นก่อนจะนอนแน่นิ่งไปนั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะรีบร้องเรียกหน่วยอัศวินราชองครักษ์ที่ไนน์ฮาร์ทผู้เป็นพระราชาของเมืองแพนเทร่าส่งมาคุ้มครองตนขึ้นมาในทันที
ตุ้บ
“—!?”
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะได้มีใครปรากฏตัวออกมาตามเสียงร้องเรียกของเขา ก็ได้มีเสียงกระแทกเบาๆ ดังขึ้นมาจากทางหน้าต่างที่แตกกระจายเสียก่อนจนทำให้เขาต้องหันไปมองและได้พบเข้ากับไมเคิลที่ในบัดนี้กำลังนั่งยองๆ อยู่กับขอบหน้าต่างราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะปีนกำแพงหรือว่ากระโดดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“ว่าไงเจ้าหนูเวอร์มอนด์…”
MANGA DISCUSSION