“ก็กะเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีคนเฝ้าแหล่ะครับ…”
หลังจากที่ทางด้านคอนแนลแยกตัวออกจากกลุ่มของนากาเพื่อมุ่งตรงไปยังวังแห่งมาร์นาร์ฟได้ไม่นานสักเท่าไหร่นักเขาก็ได้หยุดฝีเท้าลงที่ใกล้ๆ กับประตูหลักของตัวปราสาทก่อนที่เขาจะพูดพึมพำออกมาเบาเมื่อเด็กหนุ่มผู้เป็นอัศวินจากเมืองรีมินัสได้เห็นว่าที่ด้านหน้าประตูปราสาทนั้นได้มีนายทหารของเมืองแพนเทร่าในชุดเกราะเก่าๆ ยืนเฝ้ากันอยู่อย่างเงียบๆ สองคน
“…………”
กริ๊ง… กริ๊ง…
“เอ๋…?”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่คอนแนลจะได้หยิบอาวุธของเขาออกมาซะด้วยซ้ำ นายทหารทั้งสองคนที่ยืนเฝ้าทางเข้าอยู่ก็ได้หันไปมองทางด้านคอนแนลก่อนที่พวกเขาจะหลบออกไปทางด้านข้างประตูจนทำให้คอนแนลต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“พวกคุณ…ไม่คิดจะห้ามผมสักหน่อยหรอครับ…?”
“………”
คำถามของคอนแนลได้ทำให้นายทหารคนหนึ่งยกมือขึ้นมาชี้ตรงไปยังประตูไม้เก่าๆ ของตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ภายในราวกับกำลังจะบอกให้เขาตรงไปทางนั้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะชักอาวุธออกมาหรือว่าขัดขวางเขาเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้คอนแนลตัดสินใจที่จะเก็บอาวุธของเขาไปด้วยเช่นเดียวกันก่อนที่เขาจะเดินผ่านนายทหารทั้งสองเข้าไปเปิดประตูปราสาทออก
“ฉันกำลังรออยู่เลยล่ะจ้ะ หนึ่งในเด็กๆ กลุ่มใหม่ที่ท่านเอริกะเป็นผู้ดูแล”
และในทันทีที่คอนแนลผลักประตูให้เปิดออกนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของซิสเตอร์โจน่าที่ดูเหมือนว่าจะยืนรอเขาอยู่ที่ห้องโถงนี้อยู่แล้วดังขึ้นมาเป็นการต้อนรับจนทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นต้องพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ตกลงแล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองแพนเทร่าเป็นฝีมือของคุณจริงๆ งั้นหรอครับ คุณเจน…”
“เจนนั่นคงจะเป็นชื่อจริงของร่างนี้งั้นสินะจ๊ะ?”
“ชื่อจริงของ ‘ร่างนี้’ งั้นหรอครับ…”
คำพูดของซิสเตอร์โจน่าได้ทำให้คอนแนลต้องพูดพึมพำออกมาด้วยท่าทางเศร้าสลด เพราะว่ามันช่วยยืนยันได้ว่าสิ่งที่เอริกะพูดเอาไว้ว่าคนของเมืองมาร์นาร์ฟเก่าแห่งนี้มีความสามารถในการนำร่างที่เสียชีวิตไปแล้วมาใช้งานได้จริงๆ
ซึ่งท่าทางของคอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักกับผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าเจนนั้นก็ได้ทำให้ซิสเตอร์โจน่าตัดสินใจที่จะพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมา
“เธอสนิทกับผู้หญิงที่ชื่อว่าเจนคนนั้นงั้นหรอจ๊ะ?”
“จะว่าสนิทก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมเคยทำงานอยู่ในคฤหาสน์เดียวกับที่เขาทำงานอยู่ ที่นั่นทุกคนก็เป็นเหมือนกับครอบครัวเดียวกัน… แล้วพอทุกคนที่คฤหาสน์นั้นเสียชีวิตไปกันหมดเหลือแค่ลูกสาวของเขาผมก็เลยตกใจที่เห็นคุณที่หน้าตาเหมือนคุณเจนไม่มีผิดเลยน่ะครับ”
“แบบนี้เองสินะจ๊ะ… ถ้างั้นในฐานะที่เธอเองก็เป็นเด็กที่ท่านเอริกะดูแลอยู่แถมยังดูไม่ใช่เด็กไม่ดีอะไรฉันจะบอกความจริงให้ฟังก็แล้วกัน ตามมาสิจ๊ะ”
ซิสเตอร์โจน่าที่ได้รับคำตอบจากคอนแนลได้ทำท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและเดินตรงไปตามโถงทางเดินเข้าไปด้านในส่วนลึกของตัวปราสาทจนทำให้คอนแนลต้องรีบวิ่งตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
“โอ๊ย…”
“หายใจ…ไม่ออก… ใครก็ได้ช่วยถอดชุดเกราะให้ฉันหน่อย…”
“เห้ย! หน่วยไรโน่ตรงนั้นน่ะมาถอดชุดเกราะของเพื่อนนายออกหน่อยสิ! ชุดเกราะบ้าอะไรทำไมถึงต้องซับซ้อนขนาดนี้ด้วยหะ!?”
และในทันทีที่คอนแนลเดินตามหลังโจน่าไปจนถึงห้องโถงอีกห้องหนึ่ง ก็ได้มีเสียงร้องโวยวายของคนเจ็บจำนวนมากดังมาให้เขาได้ยินก่อนที่จะเผยให้เห็นร่างของนายทหารในชุดเกราะเบาและชุดเกราะหนักของเมืองแพนเทร่าที่มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปกระต่ายกับตราสัญลักษณ์รูปแรดนอนอยู่เต็มห้องโถงที่ถูกแปรสภาพเป็นห้องพยาบาลขนาดใหญ่แห่งนี้
ซึ่งเสียงร้องของนายทหารในชุดเกราะหนักบางคนที่ฟังดูเหมือนกำลังจะแย่นั้นก็ได้ทำให้โจน่าต้องหันไปร้องเรียกนายทหารอีกสองคนที่มีตรารูปหัวหมาป่าคาบมีดสั้นติดเอาไว้ตรงไหล่ให้รีบมาดูอาการของพวกเขาก่อน
“คุณเทรค! คุณเมซิน! ช่วยไปดูอาการของคนตรงนั้นก่อนค่ะ!”
“อะไรอีก— หา? หน่วยไรโน่หรอ เจ้าพวกใส่โลงศพเดินได้แบบนั้นน่ะไปตามทหารช่างมาถอดเกราะให้ดีกว่ามั้ง”
“ใช่เวลาบ่นมั้ยเนี่ยเมซิน!? ชุดเกราะบุบขนาดนั้นเผลอๆ ซี่โครงแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ รีบๆ ไปหาอะไรมางัดชุดเกราะนั่นออกมาก่อนเร็ว!”
นายทหารสองคนที่ถูกเรียกใช้งานนั้นได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะรีบวางอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ช่วยกันขนมาลงกับพื้นและวิ่งเข้าไปมุงนายทหารหน่วยไรโน่ที่ดูอาการหนักกันในทันที ในขณะที่ทางด้านคอนแนลที่เห็นว่าพวกโจน่านำเหล่านายทหารของเมืองแพนเทร่าที่เป็นศัตรูเข้ามารักษาถึงในปราสาทของตัวเองก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ตรารูปสัตว์กับชุดเกราะแบบนั้น… พวกเขาคือทหารของเมืองแพนเทร่าไม่ใช่หรอครับ?”
“ก็กลุ่มเดียวกับที่บุกลงมาที่นี่เลยนั่นแหล่ะจ้ะ”
“แล้วถ้าแบบนั้นทำไมถึงพาพวกเขามารักษาที่นี่ล่ะครับ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกคุณเป็นศัตรูกันหรอครับ?”
“สำหรับฉันแล้วพวกเขาไม่ใช่ศัตรูหรอกนะ เพราะว่าพวกเขาก็แค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาแค่นั้นใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นพวกเขาไม่ใช่เป้าหมายของฉันหรอกจ้ะ”
โจน่าพูดตอบคอนแนลกลับไปด้วยท่าทางปกติธรรมดาราวกับว่าเหล่านายทหารที่นอนบาดเจ็บอยู่เหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเธออย่างที่พูดจริงๆ และนั่นก็ทำให้คอนแนลตัดสินใจที่จะพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมาเพราะที่ผ่านมาเขาเข้าใจว่าซิสเตอร์โจน่าต้องการที่จะทำลายล้างเมืองแพนเทร่าและทุกคนที่อาศัยอยู่ข้างบนนั้นเสียอีก
“ถ้างั้นเป้าหมายของพวกคุณคืออะไรงั้นหรอครับ?”
“เป้าหมายของฉันก็คือการทำลายปราสาทแพนเทร่าไปพร้อมกับพวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารท่านไมเคิลเมื่อห้าปีก่อน… พวกมันทุกคนจะต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำลงไป”
“หมายความว่าที่คุณทำลงไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อการแก้แค้นเท่านั้นงั้นหรอครับ!? ทั้งเรื่องหมอกพวกนี้ ทั้งเรื่องการฆาตกรรมในหมอก กับการขโมยศพพวกนั้นน่ะ!?”
“………”
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาโจน่าจะมีท่าทางที่ดูใจดีเหมือนกับตอนที่เธอเล่นเป็นบทซิสเตอร์โจน่าที่เป็นผู้ดูแลทีเอร่าก็ตามที แต่ว่านับตั้งแต่เธอเริ่มต้นพูดถึงเรื่องสาเหตุที่ทำให้เธอก่อความวุ่นวายในครั้งนี้ขึ้นมา แววตาของเธอก็กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นและนั่นก็ยิ่งสร้างความสับสนให้กับคอนแนลมากกว่าเดิมว่าในเมื่อหญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ขนาดนั้นแล้วเธอจะต้องการที่จะคุยกับเขาถึงขั้นยอมให้เขาเดินเข้ามาข้างในปราสาทหลังนี้ไปทำไมกัน
ซึ่งทางด้านโจน่าก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ก็เพราะว่าถึงฉันจะไม่เปลี่ยนใจแน่ๆ และในตอนสุดท้ายแล้วพวกเราอาจจะต้องต่อสู้กันก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าประชาชนของเมืองแพนเทร่าที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องถูกร่างแหไปด้วยไม่ใช่หรอ”
“หมายความว่ายังไงน่ะครับ…?”
“ก็ถ้าเกิดว่ามีคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเป้าหมายของฉัน ฉันก็จะทำลายพวกเขาทิ้ง แต่ถ้าเกิดว่าพวกเขายอมหลีกทางให้พวกเขาก็จะไม่เป็นอันตราย ท่านเอริกะก็รู้ถึงจุดนี้ดีถึงได้ยอมส่งพวกเธอมาถ่วงเวลาฉันเอาไว้แล้วก็ไปเร่งรีบอพยพชาวเมืองเป็นหลัก… เพราะเธอที่เป็นอัศวินของเมืองรีมินัสก็น่าจะรู้ดีใช่มั้ยล่ะว่าถ้าปล่อยให้วังหลวงของเมืองต่างๆ อพยพชาวเมืองกันเองล่ะก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำมันได้ทันแน่นอนน่ะ”
“………..”
สิ่งที่โจน่าพูดออกมานั้นได้ทำให้คอนแนลนิ่งเงียบไปด้วยความประหลาดใจ เพราะถึงแม้ว่าน้ำเสียงของโจน่าจะฟังดูเคียดแค้นราวกับว่าเธอไม่สนใจชีวิตของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าการกระทำของเธออย่างการนำเหล่าทหารของเมืองแพนเทร่ามารักษาในปราสาทของตัวเอง หรือการยินดีที่จะยอมถูกถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อให้พวกชาวเมืองแพนเทร่าได้มีเวลาหนีออกจากเมืองมากขึ้นนั้นก็กลับดูตรงกันข้ามกับที่เธอแสดงออกเป็นคนละขั้ว
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้คอนแนลรู้สึกแปลกใจที่สุดก็กลับเป็นการที่หญิงสาวเบื้องหน้ารู้ว่าเขาคืออัศวินจากเมืองรีมินัสทั้งๆ ที่เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้เธอฟัง อีกทั้งเครื่องแบบของเขาก็ไม่มีตราสัญลักษณ์ประจำหน่วยอีกต่อไปนับตั้งแต่ที่เขาถูกย้ายไปทำงานให้กับเอริกะอีกด้วย
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นอัศวินของเมืองรีมินัสทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ติดตราประจำหน่วยน่ะครับ”
“อ่ะ— นั่นสิ…”
คำถามของคอนแนลในครั้งนี้ได้ทำให้ฝีเท้าของโจน่าที่กำลังเดินนำหน้าเขาอยู่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมหัวของตัวเองและสะบัดหน้าไปมาราวกับว่ากำลังตั้งสติอยู่
และหลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งเธอจึงได้เริ่มออกเดินอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“สำหรับเรื่องนั้น… มันก็เกี่ยวข้องกับความจริงที่ฉันกำลังจะเล่าให้เธอฟังนั่นล่ะ ตามมาก่อนสิจ๊ะ พอดีว่าตรงนี้ไม่ค่อยจะสะดวกสักเท่าไหร่”
“………”
คอนแนลที่เห็นว่าโจน่าเริ่มต้นที่จะออกก้าวเดินไปจากโถงทางเดินที่ค่อนข้างวุ่นวายและเต็มไปด้วยคนเจ็บอีกครั้งหนึ่งได้ตัดสินใจที่จะเดินตามหลังเธอไปอย่างเงียบๆ
และหลังจากที่โจน่าเดินนำคอนแนลไปจนถึงหนึ่งในระเบียงชั้นบนของตัวปราสาทแล้วเธอก็ได้เดินไปยืนหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าระเบียงโล่งกว้างที่เผยให้เห็นภาพของเมืองใต้ดินที่ทรุดโทรมและพังทลายทั้งจากกาลเวลาและการต่อสู้แห่งนี้ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีพลุสัญญาณสีฟ้านัดหนึ่งลอยขึ้นมาจากจุดหนึ่งของเมืองก่อนที่จะตามมาด้วยการยิงปืนใหญ่วิซจำนวนมากจากจุดต่างๆ ของเมืองตรงไปยังตำแหน่งของพลุสัญญาณจนก่อให้เกิดระเบิดขนาดใหญ่ตามขึ้นมา
ตู้ม!!!
“ท่านไมเคิล…”
ซึ่งแรงระเบิดที่อยู่ห่างออกไปนั้นก็ได้ทำให้โจน่าต้องพูดพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนที่เธอจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทาบอกพร้อมกับหลับตาลงอยู่ชั่วขณะแล้วจึงลดมือลงเพื่อหันกลับมาเผชิญหน้ากับคอนแนล
“ถ้าอย่างงั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะจ๊ะ สาเหตุที่ฉันรู้ว่าเธอเป็นอัศวินจากเมืองรีมินัสมันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องร่างของผู้หญิงคนนี้ที่ฉันใช้อยู่นี่แหล่ะจ้ะ… เพราะบางทีก็มีความทรงจำของเขาผุดขึ้นมาให้ฉันรู้ได้เหมือนกัน”
“ความทรงจำงั้นหรอครับ…?”
“ถ้าจะอธิบายให้มนุษย์ของยุคนี้อย่างพวกเธอเข้าใจก็คงจะลำบาก… เอาเป็นว่าเธอลองดูนี่สิ”
โจน่าที่ได้ยินคำถามของคอนแนลได้หยุดคิดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อยๆ ปลดกระดุมบริเวณคอเสื้อของชุดแม่ชีที่เธอสวมใส่อยู่และแหวกชุดของเธอออก เผยให้เห็นรอยแผลสีดำไหม้เกรียมที่บริเวณเนินอกข้างซ้ายของเธอ
“แผลไหม้จากวิซธาตุสายฟ้าที่ผ่าตรงเข้าหัวใจ… แบบเดียวกับที่คุณเอริกะบอกเอาไว้”
“ถ้าเธอรู้แบบนั้นฉันก็คงจะไม่ต้องเสียเวลายืนยันว่าร่างของฉันคือร่างของเจนที่เธอจำได้สินะจ๊ะ…”
“แต่ไหนคุณบอกว่าคุณไม่ใช่เจนที่ผมรู้จักแล้วไม่ใช่หรอครับ!?”
รอยแผลที่มีลักษณะตรงกับที่เอริกะเคยเล่าให้คอนแนลฟังนั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มต้องร้องถามขึ้นมาด้วยความสับสน และนั่นก็ทำให้นาร์เซียตัดสินใจที่จะพูดอธิบายออกมาให้ชัดเจน
“ก็เพราะว่าฉันไม่ใช่ทั้งเจนที่เธอรู้จักแล้วก็ไม่ใช่แม่ชีโจน่าอย่างที่ฉันบอกพวกเธอน่ะสิ เผลอๆ อาจจะนับว่าฉันเป็นมนุษย์ไม่ได้แล้วซะด้วยซ้ำเลย… เธอลองดูนี่สิ”
สวบ!!!
“—!?”
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของโจน่าดี อยู่ๆ เธอก็ควักเอามีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาและกระแทกมันเข้าไปที่กลางอกของตัวเองอย่างแรงจนมิดด้ามจนทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านโจน่าที่ใช้มีดแทงเข้าใส่ร่างกายของตนเองก็กลับไม่แสดงท่าทีเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะดึงมีดกลับออกมาจากอกของตัวเองในขณะที่หมอกที่รายล้อมอยู่รอบกายของเธอก็ค่อยๆ พวยพุ่งเข้าไปหมุนวนบริเวณปากแผลจนทำให้บาดแผลของเธอค่อยๆ สมานกันจนปิดสนิทโดยไม่เหลือทิ้งเอาไว้แม้แต่ร่องรอยของอาการบาดเจ็บก่อนที่โจน่าจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ชื่อของฉันก็คือ นาร์เซีย… นาร์เซีย ทาร์ทารัส เป็นหนึ่งในเด็กที่ได้รับพรจากท่านเทพเจ้าผู้สรรค์สร้าง และในขณะนี้ก็กำลัง… สิงสถิต อยู่ในร่างของหญิงสาวที่เธอเรียกว่าเจนเนี่ยแหล่ะจ้ะ”
“ส…สิงสถิตอยู่งั้นหรอครับ…”
คอนแนลที่ได้เห็นความสามารถในการฟื้นฟูตนเองของนาร์เซียได้พูดพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง เพราะเขามั่นใจว่าไม่มีความสามารถหรือการใช้วิซในรูปแบบใดที่จะสามารถทำแบบที่หญิงสาวเพิ่งจะแสดงให้เขาดูได้อย่างแน่นอน ซึ่งทางด้าน นาร์เซีย ที่เห็นว่าคอนแนลเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเธอไม่ใช่เจนที่เขารู้จักแน่ๆ ก็ได้เอ่ยปากพูดตอบเขากลับไป
“ที่ฉันต้องใช้ร่างนี้มันเป็นเพราะว่าร่างของผู้หญิงคนนี้ตรงกับเงื่อนไขที่ฉันต้องการพอดี… ร่างกายที่มีความสามารถในการปลดปล่อยวิซออกมาได้ตลอดเวลาแบบนี้น่ะจ้ะ”
“หมายถึงอาการป่วยของคุณเจนเขาน่ะหรอครับ?”
“อาการป่วยงั้นหรอ… ถ้าเกิดคิดตามสภาพของโลกในปัจจุบันที่วิซตามธรรมชาติอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นแบบนี้ ความสามารถนี้ก็คงจะถูกจัดว่าเป็นอาการป่วยจริงๆ นั่นล่ะ แต่ใครจะไปนึกไปฝันว่าร่างที่ตรงกับเงื่อนไขที่ฉันต้องการจะเป็นร่างของคนรู้จักของท่านเอริกะที่เป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับฉันที่สุดแบบนี้จริงมั้ยล่ะจ๊ะ”
“……..”
คำพูดของนาร์เซียได้ทำให้คอนแนลต้องนิ่งเงียบไปก่อนที่เขาจะสะกิดใจอะไรขึ้นมาได้และรีบพูดถามขึ้นมาในทันที
“เดี๋ยวก่อนสิครับ— แล้วที่คุณบอกว่าบางทีก็มีความทรงจำของคุณเจนมาให้คุณเห็นนั่นมันหมายความว่ายังไงน่ะครับ?”
“ก็… เพราะว่าร่างกายนี้ปลดปล่อยวิซออกมาตลอดเวลาฉันก็เลยต้องแย่งชิงวิซจากคนอื่นมาเติมส่วนที่รั่วไหลออกไป แล้วพอทำแบบนั้นอวัยวะต่างๆ ก็ค่อยๆ ถูกซ่อมแซมจนกลับมาทำงานอีกครั้งนึง รวมถึงเจ้านี่ด้วยน่ะจ้ะ”
นาร์เซียพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาเคาะที่ขมับของตัวเองบ่งบอกว่าเธอกำลังพูดถึงหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์อย่างเช่นสมองนั่นเอง
“สมองของคุณเจนงั้นหรอครับ…”
“อื้ม แล้วพอสมองมันเริ่มที่จะฟื้นตัว ความทรงจำที่เก็บเอาไว้ในสมองก็เลยเหมือนจะกลับมาด้วยอะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง… ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันเพราะว่าเพิ่งจะเคยใช้ร่างของคนอื่นจริงๆ เป็นครั้งแรกน่ะ”
“แต่ถ้าเป็นแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าพอสมองฟื้นตัวเต็มที่แล้วคุณก็จะกลับไปเป็นคุณเจนอีกครั้งหนึ่งหรืออะไรแบบนั้นงั้นหรอครับ…?”
“…….”
คำถามของคอนแนลในครั้งนี้ได้ทำให้นาร์เซียนิ่งเงียบไปและก้มลงไปมองมือของเธอที่เปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลทะลักออกมาเมื่อตอนที่เธอใช้มีดแทงอกตัวเองให้คอนแนลดูอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดตอบคำถามเขากลับไป
“เรื่องนั้น… นั่นสินะ… สำหรับเธอแล้วอะไรคือสิ่งที่กำหนดหรือว่าบ่งบอกถึงตัวตนของคนคนนึงล่ะ?”
“สิ่งที่กำหนดตัวตนงั้นหรอครับ…?”
“ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ทำให้เธอมองว่าฉันคือเจเนตคือการที่ฉันมีร่างกายและความทรงจำส่วนหนึ่งของเขา แล้วการที่ร่างกายนั้นสามารถทำในสิ่งที่เจเนตไม่มีวันจะสามารถทำได้อย่างการควบคุมสิ่งที่พวกเธอเรียกมันว่าหมอกพวกนี้ หรือถ้าเกิดว่าอยู่ๆ วันนึงเจเนตของเธอก็ทำเรื่องโหดร้ายอย่างที่ฉันกำลังทำอยู่นี่ด้วยความต้องการของเธอเอง ในสายตาของเธอจะยังมองว่าฉันหรือร่างกายนั้นยังคือเจเนตอยู่หรือเปล่าล่ะ?”
“ในสายตาของผมงั้นหรอครับ…”
คอนแนลที่ได้ยินคำถามที่ซับซ้อนของนาร์เซียได้ก้มหน้าลงเพื่อใช้ความคิด แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนาร์เซียที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หวังคำตอบจากคำถามของเธอสักเท่าไหร่นักอยู่แล้วก็ได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่สำหรับตอนนี้เรื่องที่ฉันคือเจนของเธอ หรือจะกลับไปเป็นเจนของเธอหรือเปล่านั่นมันไม่สำคัญสักเท่าไหร่หรอกจ้ะ เพราะว่าตอนนี้ ฉัน นาร์เซีย คนนี้ตั้งเป้าหมายของพวกฉันเอาไว้ชัดเจนแล้ว และต่อให้ความทรงจำของเจนจะกลับมา ฉันก็ไม่คิดที่จะล้มเลิกเป้าหมายนั่นง่ายๆ หรอก… เพราะแบบนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่เธอกับเพื่อนๆ ที่ถูกท่านเอริกะส่งมาจะเอายังไงกันต่อซะมากกว่า”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“ฉันเคยบอกไปแล้วใช่มั้ยล่ะจ๊ะว่าถ้าใครไม่คิดที่จะขัดขวางแผนการของฉัน ฉันก็จะปล่อยพวกเขาไปแต่โดยดีน่ะ ที่ฉันพูดนั่นฉันก็รวมถึงชาวเมืองแพนเทร่าทุกคนที่กำลังถูกอพยพอยู่ด้วย… ถ้าเกิดว่าเป้าหมายของพวกเธอคือการช่วยเหลือพวกเขาล่ะก็ ที่พวกเธอต้องทำก็แค่รีบขึ้นไปบอกพวกทหารที่กำลังอพยพผู้คนอยู่ให้รีบเร่งมืออพยพคนออกจากเขตปราสาทและตัวเมืองชั้นในเท่านั้นเอง แล้วถ้าเกิดว่าพอพวกเธอจำกัดจำนวนผู้ที่จะได้รับผลกระทบเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเธอยังคิดจะหยุดยั้งแผนการของฉันอยู่อีกพวกเราก็ค่อยมา—”
“ถ้าเกิดว่าคุณเป็นห่วงพวกเขาแบบนั้นแล้วทำไมในช่วงที่ผ่านมาคุณถึงต้องลงมือฆ่าพวกชาวเมืองที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยล่ะครับ!?”
ในขณะที่นาร์เซียกำลังพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมคอนแนลอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มก็ได้พูดแทรกเกี่ยวกับเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในเมืองแพนเทร่าที่น่าจะเป็นฝีมือของนาร์เซียขึ้นมาจนทำให้หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไป
“ฉันไม่มีทางเลือกน่ะจ้ะ เพราะว่าความเร็วที่ร่างนี้สูญเสียวิซไปฉันก็เลยจำเป็นจะต้องใช้วิธีที่มัน… เร่งด่วน อย่างการดึงวิซออกจากร่างของคนอื่นโดยตรงเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่รั่วไหลออกไปนั่นล่ะจ้ะ”
“ถ้างั้นแผลที่เหมือนกระสุนวิซบนร่างของคนที่ถูกฆ่าพวกนั้นก็…”
“มันคือแผลที่เกิดจากการที่พลังวิซจากทั่วร่างถูกควบแน่นไปที่หัวใจแล้วก็ถูกดึงออกมาจากร่างกายโดยตรงไงล่ะจ๊ะ”
นาร์เซียพูดตอบคอนแนลกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเธอไม่รู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นคอนแนลก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดที่แฝงอยู่กับน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้ราวกับว่าที่จริงแล้วนาร์เซียก็ไม่ได้ต้องการที่จะทำอะไรแบบนั้นเช่นเดียวกันแต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่เธอต้องลงมือทำเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อดำเนินแผนการของตัวเองและนั่นก็ทำให้คอนแนลตัดสินใจที่จะพูดถามนาร์เซียขึ้นมา
“มัน… มันไม่มีวิธีอื่นนอกจากการทำลายปราสาทแพนเทร่าแล้วก็ฆ่าพวกเขาเลยงั้นหรอครับ”
“แล้วเธอคิดว่าต่อให้มี พวกเขาที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองจะยอมรับความผิดอย่างงั้นหรอ เธอคิดว่าถ้ามีคนไปฟ้องร้องว่าเรื่องการก่อกบฏของท่านไมเคิลเป็นเพียงแค่การใส่ร้ายป้ายสีแล้วอำนาจการตัดสินความผิดของศาลจะส่งผลอะไรกับพวกเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ งั้นหรอจ๊ะ?”
นาร์เซียเอ่ยปากพูดตอบคอนแนลกลับไปด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงและเงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“และถึงมันอาจจะมีวิธีการไหนที่จะสามารถทำได้ แต่ว่ามาจนถึงตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วล่ะจ้ะ เพราะฉันไม่คิดที่จะปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตจนแก่ตายอย่างมีความสุขแน่ๆ ล่ะ… เอ๋ะ—?”
แต่แล้วในขณะที่นาร์เซียกำลังเอ่ยปากพูดออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เธอก็ชะงักไปด้วยท่าทางตกใจก่อนที่เธอจะหันไปมองทางค่ายของทหารเมืองแพนเทร่าและเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาด้วยท่าทางตกใจ
“ท่านไมเคิล—”
MANGA DISCUSSION