หลังจากที่นากาและเอริกะนั่งรถยนต์คันเล็กเคลื่อนที่ผ่านแมกไม้ป่าเขาตรงไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็วจนเวลาผ่านเลยไปเป็นเวลานานพวกเขาก็ได้สังเกตเห็นรถกระบะขนคนขนาดใหญ่คันหนึ่งถูกจอดเอาไว้ที่ปลายถนนที่ตรงไปสิ้นสุดอยู่ตรงริมทุ่งหญ้าเขียวขจีเบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ซึ่งบนหลังคารถกระบะคันนั้นเองก็ได้มีหญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีแดงที่มีหางจิ้งจอกฟูฟองกำลังนั่งอยู่ข้างบนและกำลังโบกไม้โบกมือมาทางรถของพวกเขาอยู่ด้วยท่าทีร่าเริง
“เอริซาเบธเขาจอดรถอยู่ตรงนั้นน่ะเอริกะ”
“อื้อ ฉันเห็นแล้วล่ะ”
คำพูดของนากานั้นได้ทำให้เอริกะละสายตาออกมาจากแผ่นเอกสารที่เธออ่านอยู่และยื่นมือไปจับพวงมาลัยอีกครั้งหนึ่งก่อนที่รถยนต์ขนาดเล็กของพวกเขาจะค่อยๆ ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ และไปจอดอยู่ข้างๆ เอริซาเบธที่กระโดดลงมาจากหลังคารถเพื่อทักทายพวกเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเอริกะ~”
“อื้ม อรุณสวัสดิ์ ไหนรายงานสถานการณ์มาหน่อยสิเอริซาเบธ”
“ตอนนี้คนของพวกเราที่ยังเหลืออยู่ในเขตรีมินัสได้กระจายตัวไปประจำตามจุดต่างๆ รอบทุ่งหญ้าและคอยกันคนออกจากพื้นที่ตามที่คุณเอริกะสั่งเอาไว้แล้วล่ะค่ะ แต่ก็โชคดีของพวกเรานะคะที่พวกเขาเองก็เหนื่อยจากเรื่องเมื่อวานนี้จนไม่น่าจะมีใครแอบลอบเข้าไปเพื่อเอาข้อมูลไปขายเองน่ะ… แล้วก็สวัสดีนะจ๊ะนากาคุง~”
“อ…อื้อ… สวัสดี…”
“เฮ้อ… ก็ยังดีล่ะนะที่ยังพอจะเหลือคนอยู่บ้างน่ะ… แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้วพวกทหารรับจ้างที่ประจำการอยู่แถวๆ รีมินัสกับหมู่บ้านใกล้ๆ นี้นี่ก็โชคดีกว่าพวกที่ไปประจำการอยู่ที่เมืองอื่นเยอะเลยล่ะนะ…”
“ค่ะ… ถ้าเทียบกับหน่วยที่ประจำการอยู่ที่เมืองอื่นหรือว่าพวกกลุ่มที่ถูกส่งไปช่วยเหลือคุณเซซิเรียก็ถือว่าโชคดีมากแล้วล่ะค่ะ…”
เอริซาเบธพยักหน้าพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ ในขณะเดียวกันกับที่มีชายหนุ่มร่างยักษ์ผู้ที่มีผิวสีขาวซีดและเขาสีดำบนศีรษะที่ถือดาบสีดำขนาดใหญ่พอๆ กับร่างกายของเขากำลังเดินตรงมายังบริเวณที่ทุกคนกำลังยืนคุยกันอยู่จนทำให้เอริกะที่สังเกตเห็นว่าเขากำลังเดินตรงเข้ามาเอ่ยปากทักทายเขาไป
“อ่าว กลับมาแล้วหรอเดรคคุง ไหนรายงานสถานการณ์มาหน่อยสิ~”
“จัดการเท่าที่เจอไปแล้ว…”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ผิวสีขาวซีดหรือก็คือ เดรค ชายคนที่นากาเคยพบในตอนที่พวกเขาหลบหนีเหล่าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงออกมาจากหมู่บ้านเมื่อนานมาแล้วและเป็นคนที่เอริกะพามาเป็นกำลังเสริมในตอนที่นากาและเอริซาเบธบุกเข้าไปภายในคฤหาสน์ของเวก้าได้พูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ ในขณะที่ทางด้านนากาที่ยังไม่เคยได้พูดคุยกับเดรคเป็นเรื่องเป็นราวก็ได้พยายามที่จะพูดคุยทำความรู้จักกับเขาขึ้นมา
“นายคือเดรคสินะ… ที่ตอนนั้นเป็นคนขับรถพาอารอนกลับไปที่หมู่บ้านพร้อมกับเอริซาเบธใช่มั้ย?”
“ฮึ่ม…”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ละสายตาออกมาจากเอริกะเพื่อมองไปทางด้านนากาและพยักหน้าพูดตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาเอริกะและพูดรายงานออกมาต่อ
“สองกิโล… น่าจะปลอดภัย…”
“โอ้ ขอบใจมากนะเดรคคุง~”
“ฮึ่ม…”
เดรคที่ได้รับคำขอบคุณกลับมาจากเอริกะได้พยักหน้ากลับไปให้เธอและพ่นลมหายใจออกมาสั้นๆ พร้อมกับละสายตาไปจากเอริกะก่อนที่เขาจะหันไปมองดูรอบๆ เหมือนกับว่ากำลังเฝ้าระวังพื้นที่รอบๆ อยู่ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้ขยับเข้าไปใกล้เอริซาเบธเพื่อมุงดูแผนที่ที่อีกฝ่ายนำออกมากางให้เธอดู
“ไหนๆ ตรงนี้น่ะหรอที่เธอบอกว่ามีกลุ่มพ่อค้าจากกราวิทัสหลงทางเข้ามาน่ะ?”
“ค่ะ เห็นพวกเขาอ้างว่าตัวเองเป็นพ่อค้าของเมืองกราวิทัสที่ทำการค้าขายกับหมู่บ้านแถวๆ นี้ที่ปกติแล้วจะใช้เส้นทางเรียบชายป่าของหมู่บ้านโมริโกะเป็นตัวกำหนดเส้นทางน่ะค่ะ พวกฉันไล่พวกเขาออกจากพื้นที่แล้วก็ชี้ทางกลับไปเมืองกราวิทัสให้แล้ว”
“ถ้างั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั้ง… นากาคุงมานี่มา!”
“หืม?”
นากาที่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเอริกะได้ละสายตาออกมาจากเขาสีดำบนศีรษะของเดรคที่มีขนาดใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดและเดินตรงไปทางเอริกะกับเอริซาเบธที่กำลังมุงดูแผนที่กันอยู่ ซึ่งในขณะที่นากากำลังเดินตรงเข้าไปหาเธอนั้น เอริกะยื่นมือไปยังท้ายรถกระบะของเอริซาเบธเพื่อคุ้ยหาอุปกรณ์ส่วนหนึ่งออกมายื่นให้กับนากา
“อ่ะ นายเอาเข็มทิศอันนี้ไปสินากา ก็อย่างที่นายเห็นว่าด้านในนั้นมันไม่เหลือต้นไม้สักกะต้นนึงเลยน่ะเพราะงั้นนายคงจะต้องใช้เข็มทิศนี่นำทางแทนแล้วล่ะ ตรงจุดที่พวกเราอยู่นี่อยู่ทางทิศใต้ของจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านของนายพอดีเลยน่ะ เพราะงั้นให้นายจำเอาไว้ว่าทางไปต่อคือทางทิศเหนือส่วนทางกลับก็คือทางทิศใต้ก็แล้วกัน”
“ทิศเหนือคือทางไปต่อ ทิศใต้คือทางกลับสินะ…”
“อื้ม แล้วถ้ายังไงระหว่างที่นายอยู่ในนั้นก็ถืออาวุธเตรียมพร้อมเอาไว้สักหน่อยก็แล้วกันเพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้านในเขตที่เคยเป็นหมู่บ้านของนายนั่นจะมีอะไรอยู่บ้างน่ะ”
“อ่า เข้าใจแล้วล่ะ…”
นากาที่ได้ยินคำเตือนของเอริกะได้ยื่นมือออกไปรับเข็มทิศมาจากเธอและใช้ความสามารถของเขาเปลี่ยนกำไลข้อมือสีขาวกับถุงมือหนังติดคริสตัลวิซให้กลายเป็นดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์และถุงมือลาส เซอร์ไวเวอร์เพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ ในขณะที่ทางด้านเอริซาเบธก็ได้หยิบเอาเครื่องสื่อสารขนาดเล็กของเธอออกมายื่นให้กับนากาเมื่อเธอได้ชะโงกมาดูและไม่เห็นว่าเขาได้สวมใส่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กส่วนตัวเอาไว้
“นี่เครื่องสื่อสารจ้ะ เอาไว้เดี๋ยวหลังจากจบภารกิจแล้วก็ค่อยเอามาคืนฉันก็แล้วกันเนอะ~”
“หืม? เจ้านี่มันใช้ในทะเลมรกตได้ด้วยหรอน่ะ…?”
“หึหึ~ นากาคุงไม่รู้อะไรซะแล้ว สิ่งประดิษฐ์ของคุณเอริกะน่ะมันใช้ได้ตั้งแต่บนท้องฟ้ายันใต้ก้นทะเลนั่นแหล่ะ~ ถ้าจะมีใครที่ใช้มันไม่ได้ก็น่าจะมีแต่เดรคที่แค่ออกแรงนิดหน่อยก็เผลอทำมันพังแล้วเนี่ยล่ะ~”
“ฮึ่มมม….”
คำพูดพาดพิงของเอริซาเบธได้ทำให้เดรคที่กำลังยืนเฝ้าระวังบริเวณรอบๆ อยู่ละสายตากลับมาจ้องมองเธอพร้อมกับพ่นลมหายใจต่ำๆ ออกมาเหมือนกับกำลังรู้สึกไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นเอริซาเบธก็ไม่มีท่าทีจะเกรงกลัวชายหนุ่มร่างยักษ์เลยแม้แต่น้อยแถมยังยิ้มร่ากลับไปให้เขาด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้อีกต่างหากจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องยื่นมือออกไปรับเครื่องสื่อสารมาใส่ในหูของเขาแต่โดยดีโดยมีเอริกะมองดูเด็กๆ ของเธอด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วจึงค่อยพูดขึ้นมา
“ถ้างั้นถ้านากาคุงพร้อมเมื่อไหร่ก็เข้าไปข้างในได้เลยนะ นายพอจะจำระยะทางจากตรงที่เคยเป็นชายป่านี่ไปถึงบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านได้หรือเปล่าว่ามันไกลประมาณไหนน่ะ?”
“ก็… ถ้าที่ตรงนี้เคยเป็นชายป่าทางทิศใต้จริงๆ ล่ะก็เดินไปสักครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึงบริเวณหมู่บ้านล่ะมั้ง…”
“อื้มๆ แต่ยังไงก็ไม่ต้องรีบวิ่งไปให้ถึงล่ะ เพราะมันก็อย่างที่ฉันบอกว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในนั้นบ้างน่ะ เพราะงั้นนายค่อยๆ เดินออมแรงไปน่าจะดีกว่านะ”
“แล้ว… ถ้าเกิดว่าฉันบังเอิญไปเจอทหารพวกนั้นที่อาจจะยังเหลืออยู่ล่ะ?”
“…เรื่องนั้นนายตัดสินใจเอาเองว่าจะทำยังไงกับพวกนั้นเลยก็ได้ แต่ว่ายังไงก็ห้ามให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเด็ดขาดเลยนะตกลงมั้ย? แล้วถ้าเป็นไปได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าเผลอปิดเครื่องสื่อสารด้วยล่ะ”
“อื้ม… ขอแค่เธออนุญาตมาแค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
คำสั่งของเอริกะนั้นไม่เคยทำให้นาการู้สึกผิดหวังเหมือนกับคำพูดที่เอริซาเบธเคยบอกเขาเอาไว้ในตอนที่พวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจแอบลอบไปสังเกตการณ์กันที่คฤหาสน์ของเวก้าจริงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากายินยอมที่จะถือเข็มทิศและเดินตรงเข้าไปในทุ่งหญ้าที่เคยเป็นป่ารอบหมู่บ้านของเขามาก่อนด้วยความเต็มใจโดยมีเอริกะพูดไล่หลังเขามา
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาหรือว่านายสังเกตเห็นอะไรก็ตามนอกเหนือไปจากทุ่งหญ้าก็ให้รีบติดต่อกลับมาหาฉันทันทีเลยนะ”
หลังจากที่นากาเดินตรงตัดทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจนเขาเริ่มรู้สึกร้อนจากแสงแดดแรงกล้าที่สาดส่องลงมาในช่วงหัววันอีกทั้งยังไม่พบอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากทุ่งหญ้าที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา เขาก็ได้แต่ต้องลองติดต่อกลับไปหาเอริกะเพื่อสอบถามดูว่าเขาที่เดินตรงไปทางทิศเหนือตามเข็มทิศอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดจนเผลอหลงเข้าไปในเขตของทะเลมรกตแน่ๆ จริงๆ หรือไม่
ปิ๊บ
“เอริกะ… เธอแน่ใจหรอว่าทางทิศเหนือนี่มันไม่ใช่ทางที่ตรงเข้าไปในเขตทะเลมรกตน่ะ…? ฉันไม่เห็นอะไรที่น่าจะเคยเป็นหมู่บ้านของฉันมาก่อนสักนิดเลยนะ…”
“หืม? ก็แน่อยู่แล้วสิ ถ้าดูจากแผนที่แล้วจากจุดที่นายเดินเข้าไปมันอยู่ตรงทิศใต้จากหมู่บ้านของนายพอดีเลยนะ… แต่เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้นายรู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ มีอาการเหนื่อยหรือว่าอะไรบ้างมั้ย?”
“ถ้านอกจากที่เดินจนเมื่อยขาแล้วนี่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษนะ… บางทีการที่ฉันใช้วิซไม่ได้แบบนี้นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกันงั้นสินะเนี่ย…”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง เพราะว่าตามปกติแล้วเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงนี่ต่อให้จะเป็นคนที่ควบคุมวิซได้เก่งๆ จนสามารถป้องกันไม่ให้วิซไหลทะลักออกไปจากร่างได้ก็น่าจะรู้สึกเหนื่อยกันบ้างแล้วล่ะ”
“งั้นหรอ… แต่ถ้าเป็นอย่างงั้นมันก็อาจจะหมายความว่าที่จริงแล้วตัวฉันอาจจะไม่ได้ไม่สามารถปลดปล่อยวิซออกมาจากร่างกายได้แต่ว่าไม่มีวิซอยู่ในร่างกายเลยตั้งแต่แรกหรือเปล่า—– ….หือ?”
ในขณะที่ นากา เด็กหนุ่มผู้ที่ไม่สามารถปล่อยวิซออกมาจากร่างกายได้กำลังสันนิษฐานเกี่ยวกับอาการป่วยของตัวเองออกมาอยู่นั้นเขาก็กลับต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขามองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปจากทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่เขาเดินย่ำมันมาเป็นระยะทางนับสิบกิโลเมตร ซึ่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจของนากานั้นก็ได้ทำให้เอริกะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายการสื่อสารต้องรีบร้องถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรหรือเปล่า? นายเจออะไรแปลกๆ ข้างในนั้นหรือเปล่าน่ะนากาคุง?”
“ฉันว่าฉันเห็นทุ่งดอกไม้อยู่ข้างหน้าน่ะ… ถ้าคำนวณจากระยะทางแล้วมันน่าจะเป็นบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านของฉันมาก่อนพอดีเลยด้วย…”
“ทุ่งดอกไม้? ที่ผ่านมาพวกคนที่เคยเข้าไปในทะเลมรกตไม่เคยรายงานว่าเจออะไรนอกจากก้อนหินกับซากของสิ่งก่อสร้างเก่าๆ เลยนะ…”
“…….”
นากาที่ได้ยินคำพูดพึมพำของเอริกะได้แต่ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะดูท่าทางแล้วว่าทุ่งดอกไม้ในทุ่งหญ้าที่เปรียบเสมือนทะเลมรกตนี้จะเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ขนาดคนรอบรู้อย่างเอริกะก็ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน
แต่ว่าเมื่อนากาได้นิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดขออนุญาตเอริกะขึ้นมา เพราะเขาเชื่อว่าการที่มีทุ่งดอกไม้ปรากฏขึ้นมาในบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านของเขามาก่อนแบบนี้ทั้งๆ ที่บริเวณอื่นๆ ที่ถูกเสาแสงกลืนหายไปมีเพียงแค่ทุ่งหญ้าโล่งๆ มันจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน
“เอริกะ… ฉันขอเดินเข้าไปสำรวจดูข้างในทุ่งดอกไม้นั่นจะได้หรือเปล่า…?”
“…….”
“…เอริกะ?”
เอริกะที่ได้ยินคำถามของนากาได้นิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ จนนากาได้แต่ต้องลองเอ่ยปากเรียกชื่อของเธอออกมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็เหมือนว่าจะทำให้เอริกะหลุดออกจากห้วงความคิดของเธอและพูดตอบเขากลับมาอย่างรวดเร็ว
“ได้สิ แต่นายต้องสัญญากับฉันก่อนว่านายจะต้องระวังตัวแล้วก็พยายามติดต่อกลับมาบ่อยๆ ล่ะ ถ้าเกิดว่าเสียงของนายหายไปเกินห้านาทีฉันจะส่งเอริซาเบธกับเดรคเข้าไปช่วยเหลือนายในทันทีนะเข้าใจมั้ย”
“อื้ม ฉันสัญญา”
“ดีมาก ถ้างั้นอันดับแรกนายลองก้าวเท้าเข้าไปข้างในทุ่งดอกไม้นั่นแล้วยืนอยู่เฉยๆ ดูสักนาทีนึงก่อนว่ารู้สึกอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงนายก็ต้องรายงานฉันออกมาตามตรงนะเข้าใจมั้ย ฉันจะได้วางแผนให้นายได้ถูก”
“อื้ม เข้าใจแล้วล่ะ…”
นากาพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่บริเวณริมทุ่งดอกไม้กลางทุ่งหญ้าที่ประกอบไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันและก้าวเท้าเข้าไปภายในอาณาเขตของทุ่งดอกไม้แล้วจึงหยุดรอเวลาให้ครบหนึ่งนาทีตามที่เอริกะพูดสั่งเอาไว้แล้วจึงค่อยพูดรายงานเธอกลับไป
“…….ฉันว่าฉันไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรแปลกไปเลยนะเอริกะ เธอจะให้ฉันทำยังไงต่อล่ะ?”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นนายลองใช้ความสามารถโลหะให้เป็นอาวุธของนายดูหน่อยสิว่ามีอะไรผิดแปลกไปบ้างหรือเปล่า”
คำสั่งของเอริกะได้ทำให้นากาลองเปลี่ยนสภาพดาบเปื้อนเลือดของเขาให้กลับกลายเป็นกำไลสีขาวก่อนจะเปลี่ยนมันให้กลับไปเป็นดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์อีกครั้งหนึ่งแล้วจึงทดลองกับถุงมือลาส เซอร์ไวเวอร์ที่ถูกแปรสภาพมาจากถุงมือติดคริสตัลวิซของเขาด้วยเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้นนากาก็กลับไม่พบกับความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นกับความสามารถของเขาอย่างที่เอริกะกังวลและพูดตอบเธอกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกตินะ เธอจะให้ฉันลองทำอะไรอีกหรือเปล่า?”
“อืม…. ถ้าอย่างงั้นนายลองเข้าไปเดินสำรวจดูได้ตามสบายเลยก็แล้วกัน อ้อ… แล้วถ้ายังไงฉันฝากนายเอาตัวอย่างดินกับดอกไม้สักสองสามดอกภายในทุ่งดอกไม้นั่นกลับมาให้ฉันหน่อยสิ”
“เอ่อ… ดอกไม้นั่นน่ะยังพอว่า แต่ว่าตัวอย่างดินนี่เธอจะให้ฉันเอากลับไปยังไงล่ะนั่น เก็บใส่กระเป๋ากางเกงกลับไปหรอ?”
นากาที่ได้ยินคำสั่งต่อไปของเอริกะได้แต่กะพริบตาปริบๆ พูดถามเธอกลับไปพลางเดินลึกเข้าไปภายในทุ่งดอกไม้มากขึ้นเรื่อยๆ และหวังว่าเอริกะจะสามารถเสนอวิธีการเก็บตัวอย่างดินที่ดีกว่าการโกยดินใส่กระเป๋ากางเกงขึ้นมาให้เขาได้เพราะถ้าเกิดเขาต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ตอนจัดการทำความสะอาดคงจะดูไม่จืดแน่ๆ
“จะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงกลับมาก็เป็นความคิดที่ไม่แย่สักเท่าไหร่นะ~ แต่นายลองกดปุ่มบนตัวเข็มทิศดูก่อนสิแล้วเดี๋ยวนายน่าจะได้เห็นอะไรดีๆ น่ะ”
“ปุ่ม…? ไอเจ้าปุ่มเนี่ยน่ะหรอ?”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากาลองยกเข็มทิศที่เขาถือเอาไว้ตั้งแต่เดินเข้ามาภายในสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาดูและได้พบกับปุ่มเล็กๆ ปุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของตัวเข็มทิศ ซึ่งเมื่อเขาทดลองกดมันดูตามที่เอริกะพูดขึ้นมาตัวหน้าปัดของเข็มทิศก็ได้ดีดออกจนเผยให้เห็นพื้นที่ว่างเล็กๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใน
“เธอจะให้ฉันเอาตัวอย่างดินใส่เจ้าช่องนี่กลับไปหรอน่ะเอริกะ มันน่าจะใส่ได้แค่นิดเดียวเองนะ?”
“อื้ม แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ เข็มทิศนั่นมันเป็นของแบบเดียวกับที่พวกหน่วยสำรวจทะเลมรกตเขาใช้กันน่ะ ปกติแล้วเขาจะชอบเก็บพวกอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ รูปภาพ ไม่ก็เงินที่แอบมุมมิบเอาไว้ในนั้นกันน่ะ~”
“…นี่อย่าบอกนะว่าเธอจงใจเอาเจ้าเข็มทิศนี่ให้ฉันเพราะคิดเอาไว้แล้วว่ามันอาจจะมีอะไรอยู่ข้างในทุ่งหญ้านี่น่ะ?”
“ที่นายเจอทุ่งดอกไม้นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญต่างหากล่ะ~ ส่วนที่ฉันเอาเข็มทิศนั่นให้นายนี่มันเป็นเพราะว่าฉันเป็นคนรอบคอบจนวางแผนเผื่อเอาไว้ในทุกกรณีแล้วต่างหาก~”
“คร๊าบๆ …”
นากาที่ได้ยินเอริกะพูดจายกยอตัวเองแบบหน้าไม่อายนั้นได้แต่กลอกตาและส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะก้มลงเพื่อขุดเอาหน้าดินส่วนหนึ่งขึ้นมาใส่ลงไปในช่องเก็บของของเข็มทิศในมือ
“หือ… นั่นมัน…”
แต่ทว่าในขณะที่นากากำลังจะเงยหน้ากลับขึ้นมานั้น เขาก็ได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างสีขาวออกฟ้าๆ ที่กำลังโบกสะบัดโผล่พ้นทุ่งดอกไม้ขึ้นมาไม่ห่างไปทางเบื้องหน้ามากนักจนทำให้เขาเผลอหลุดปากออกมาด้วยความประหลาดใจ ซึ่งเสียงของนากาที่ลอดผ่านเครื่องสื่อสารเข้าไปนั้นก็ได้ทำให้เอริกะรีบร้องถามขึ้นมาในทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะนากาคุง?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ… ขอฉันเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนก็แล้วกัน…”
“อื้ม ถ้ายังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ จำไว้นะว่าความปลอดภัยของนายสำคัญที่สุดน่ะ”
“รับทราบ…”
นากาเอ่ยปากพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเดินตรงไปทางสิ่งที่ดูคล้ายกับปลายผ้าสีขาวที่กำลังโบกสะบัดอยู่กลางทุกดอกไม้ไม่ห่างไปจากจุดที่เขาอยู่สักเท่าไหร่นักพร้อมกับกำดาบเปื้อนเลือดในมือของเขาแน่นก่อนที่เขาจะได้แต่ต้องหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเขาได้มองเห็นส่วนที่เหลือของผืนผ้าอันนั้นชัดๆ
“เสื้อตัวนั้นมัน—!?”
ในขณะเดียวกันกับที่นากากำลังนั่งรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อกลับไปยังบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านโมริโกะมาก่อนอยู่นั้นเอง ทางด้านอลิซที่นอนพักฟื้นอยู่ภายในห้องตรวจคนไข้ของอารอนก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาจนทำให้นิลิมที่นั่งเฝ้าอยู่ต้องรีบเดินเข้าไปดูอาการของเธอในทันที
“ฟื้นแล้วหรอ…?”
“นิลิม…? ถ้างั้นที่นี่ก็คงจะเป็นคลินิกของอารอนงั้นสินะ…?”
“คุณอลิซรู้ด้วยหรอคะว่าที่นี่คือที่ไหนน่ะ…?”
นิลิมที่ได้ยินคำพูดของอลิซได้แต่ต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่าความจริงแล้วอลิซนั้นได้นอนสลบยาวตั้งแต่ก่อนที่พวกเธอจะกลับมาถึงรีมินัสกันซะด้วยซ้ำอีกทั้งห้องตรวจคนไข้ของอารอนเองก็มีสภาพไม่ได้ต่างไปจากห้องตรวจคนไข้ของโรงพยาบาลในเมืองอีกด้วย
“………”
แต่ถึงแม้ว่าอลิซจะได้ยินนิลิมพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัยแต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไปและพยายามหันไปมาเพื่อมองหาเด็กสาวอีกสองคนที่ควรจะอยู่ในห้องนี้ด้วยกันกับนิลิมก่อนจะพูดถามขึ้นมา
“คาร์เทียร์กับซึบากิเพิ่งจะขึ้นไปนอนพักกันเมื่อกี้นี้งั้นสินะ?”
“สองคนนั้นเพิ่งจะขึ้นไปพักกันเมื่อกี้นี้น่ะค่ะ… ว่าแต่คุณอลิซรู้ด้วยหรอคะว่าซึบากิเขาอยู่ที่นี่ด้วยน่ะ…?”
“อยู่เฝ้าคนเจ็บทั้งคืนแบบนี้ก็สมกับที่เป็นพวกเด็กๆ ที่อารอนเขาไว้ใจดีล่ะนะ…”
อลิซที่ได้รับคำตอบกลับมาจากนิลิมแล้วได้พูดพึมพำออกมาเล็กน้อยและพยายามที่จะดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากเตียงก่อนที่เธอจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้าไปในหัวเนื่องจากแผลบนศีรษะของเธอที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรงที่เกือบจะทำให้เธอทรุดล้มลงไป
“อุ๊…”
“คุณอลิซอย่าเพิ่งขยับตัวมากจะดีกว่านะคะ… เห็นคาร์เทียร์เขาบอกว่าถึงตัวแผลที่หัวจะไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากแต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแรงกระแทกนั่นมันจะส่งผลกับสมองของคุณไปขนาดไหนน่ะ…”
“….ถ้าเกิดว่าฉันมีเวลาได้มานั่งพักแบบพวกเธอก็คงจะดีสิ…”
อลิซพูดตอบนิลิมกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนแล้วจึงเดินโซซัดโซเซตรงไปทางประตูห้องจนทำให้นิลิมที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องถอนหายใจและพูดบ่นออกมากับความดื้อของเด็กสาวผมสีขาวคนนี้
“เฮ้อ… ถ้ายังไงคุณอลิซก็อยู่รอให้คุณเอริกะเขามาอธิบายสถานการณ์ให้ฟังก่อนเถอะค่ะ… เดี๋ยวฉันจะแจ้งให้คุณเอริกะทราบเดี๋ยวนี้ล่ะว่าคุณอลิซฟื้นแล้วน่ะ…”
“พรีมูล่าไม่อยู่กับพวกเราแล้ว…อารอนกับนางพยาบาลของเขาหายตัวไป… การโจมตีประตูเมืองเมื่อวานนี้เป็นแค่การบังหน้าเพื่อไล่ถล่มหมู่บ้านต่างๆ เพื่อที่จะให้ชาวบ้านของหมู่บ้านต่างๆ อพยพไปรวมตัวกันที่เมืองหลวงทั้งสี่ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกไว้ใจเมืองต่างๆ มากนักเพราะพวกที่บุกเข้าไปในหมู่บ้านของพวกเขาสวมใส่เครื่องแบบทหารของเมืองต่างๆ เอาไว้… แล้วก็ทางกลุ่มดอว์นของโรงเรียนรีมินัสเริ่มที่จะรู้ตัวกันบ้างแล้วว่าไม่ควรที่จะเป็นฝ่ายเฝ้ารอเพื่อตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว…”
“…….”
คำพูดของอลิซที่พูดอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างออกมาได้ตรงตามที่เอริกะได้พูดเอาไว้ให้เธอฟังเมื่อคืนนี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนได้ทำให้นิลิมถึงกับชะงักไปเล็กน้อยและจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจเพราะเธอมั่นใจว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาเด็กสาวผมสีขาวเบื้องหน้าเธอนอนสลบอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน
“ตกใจหรือไงที่ฉันรู้เรื่องพวกนี้ได้น่ะ…? เอาจริงๆ แล้วฉันบอกเธอได้มากกว่านี้อีกนะ… อย่างเช่นเรื่องที่ว่าเมื่อวานนี้กลุ่มทหารรับจ้างที่เอริกะว่าจ้างมาถูกสั่งให้เข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านต่างๆ จนสุดท้ายแล้วก็บาดเจ็บล้มตายกันไปจนเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบ… เรื่องความลับเบื้องหลังปัญญาหมอกควันของแพนเทร่า… เรื่องที่ว่าหลังจากนี้ทางวังหลวงจะส่งอัศวินน่ารำคาญคนนึงมาตามติดฉันตลอดเวลา… หรือแม้แต่เรื่องที่เอริกะก็ยังไม่รู้อย่าง—-……”
อลิซที่กำลังพูดพึมพำออกมาเบาๆ ให้นิลิมฟังได้ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะได้สติและนิ่งเงียบไปแทนเหมือนกับว่าเธอกำลังพยายามคิดหาเรื่องขึ้นมาเพื่อพูดแก้ตัวในสิ่งที่เธอเพิ่งจะเผลอหลุดปากออกมา ซึ่งการกระทำของอลิซนั้นก็ได้ทำให้นิลิมที่กำลังเดินเข้ามาช่วยพยุงเธอได้แต่ต้องหยุดเท้าลงและขมวดคิ้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหวาดระแวงที่ก่อตัวขึ้นมาแทนความประหลาดใจเมื่อสักครู่นี้
“เรื่องที่แม้แต่คุณเอริกะก็ไม่รู้งั้นหรอ… นี่คุณ… เป็นใครกันแน่…?”
“…เอาเป็นว่าตัวฉันในตอนนี้เป็นคนที่มีเป้าหมายแบบเดียวกันกับเอริกะแล้วก็พวกเธอก็แล้วกัน… ถ้าเธอสงสัยว่าจะไว้ใจฉันได้หรือเปล่าจะลองไปถามเอริกะที่บ้านดูก็ได้นะ… แต่ฉันคิดว่าตอนนี้เธอคงจะยังไม่อยากออกห่างจากพรีมูล่าสักเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะ…นิลิม…”
“……”
นิลิมที่ได้ยินคำพูดของอลิซได้แต่ยืนนิ่งมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เพราะว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจพักอยู่ที่รีมินัสนี่มันก็เป็นเพราะอย่างที่เด็กสาวผมสีขาวพูดขึ้นมาว่ามันเป็นเพราะเธอต้องการที่จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับพรีมูล่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นใบหน้าของลูกสาวของเธออีกต่อไป
ซึ่งในขณะที่นิลิมกำลังยืนนิ่งเงียบอยู่นั้นอลิซก็ได้เดินโซซัดโซเซไปจนถึงประตูห้องตรวจแล้วจนทำให้นิลิมได้ตัดสินใจที่จะพูดส่งท้ายเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้มีโอกาสเดินจากไป
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าคุณอลิซรู้เรื่องพวกนั้นได้ยังไงก็เถอะแต่ว่าในเมื่อดูเหมือนว่าคุณเอริกะจะเชื่อใจคุณถ้างั้นฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน… แล้วในเมื่อคุณอลิซไม่คิดจะพักผ่อนก่อนถ้างั้นก็อย่าไปล้มตายเอาข้างทางระหว่างเดินกลับก็แล้วกันนะคะ…”
“ไม่ต้องห่วง… ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาตายของฉันหรอก…”
“ถึงคุณอลิซจะรู้เรื่องนู้นเรื่องนี้ไปทั่วก็เถอะแต่ยังไงก็คงไม่ถึงขั้นรู้เวลาตายของตัวเองหรอกล่ะมั้งคะ…”
“หึ….”
อลิซที่ได้ยินคำพูดค่อนแคะของนิลิมได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ และเดินตรงไปทางประตูคลินิกโดยมีนิลิมที่รู้สึกเป็นห่วงกับสภาพของเธอเดินตามมาไม่ห่าง ก่อนที่ทันใดนั้นเองในหัวของอลิซจะมีคำพูดของหญิงสาวที่ฟังดูสดใสคนหนึ่งที่เคยพูดกับเธอเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดังแว่วขึ้นมาเบาๆ
‘ถ้าอย่างงั้นเอาเป็นว่านับจากนี้ไปชื่อของเธอคือ อลิซ เหมือนกับเด็กผู้หญิงในนิทานดีมั้ย? เพราะว่าเดี๋ยวหลังจากนี้เธอจะต้องเข้าไปยังดินแดนที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็รู้จักมันดีเหมือนกับเด็กคนนั้นยังไงล่ะ’
เสียงของหญิงสาวที่ดังแว่วขึ้นมานั้นได้ทำให้บนใบหน้าของอลิซเกิดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูเหนื่อยหน่ายดังแว่วๆ ขึ้นตามมาในหัวของเธอ
‘นี่คือที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้โดยไม่ทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองแล้วล่ะ… แล้วก็ถึงแม้ว่าที่นั่นมันอาจจะเหมือนกับนรกบนดินสำหรับเธอแต่ว่ามันก็คงจะไม่แตกต่างจากไปบ้านของเธอสักเท่าไหร่หรอก…’
เสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้นมาให้เธอได้ยินนั้นได้ทำให้แววตาที่เหนื่อยอ่อนของอลิซแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอีกครั้งและเดินมุ่งตรงไปเบื้องหน้าด้วยฝีเท้าที่มั่นคงจนทำให้นิลิมที่เดินตามมาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ
“คุณอลิซ…?”
‘แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะยังยืนยันคำเดิมใช่หรือเปล่าล่ะ เพื่อที่เธอจะได้ปกป้องโลกของเขาเอาไว้น่ะ’
‘นี่คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกฉันจะทำให้เธอได้แล้ว… หลังจากนี้ไม่ว่าเธอจะเลือกที่จะเป็นเพื่อนหรือว่าเลือกที่จะเป็นศัตรูกับพวกฉันมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเองแล้วล่ะ…’
‘แต่ไม่ว่าหนทางที่เธอเลือกจะเป็นหนทางแบบไหนหรือไม่ว่าเธอจะต้องล้มลุกคลุกคลานสักเท่าไหร่’
‘พวกฉันก็ขอให้เธออย่าลืมเป้าหมายของตัวเองก็แล้วกัน… เพื่อสันติสุขของโลกทั้งสองของเธอนั่นน่ะ…’
“เชื่อฉันเถอะนิลิม…ฉันน่ะยังตายไม่ได้หรอก…ไม่ใช่ตอนนี้…ไม่ใช่เร็วๆ นี้…!”
MANGA DISCUSSION