“เฮ้อ… ให้ตายสิ… ถ้าเกิดว่าเธอคิดจะออกเดินทางมาที่เมืองอื่นแบบนี้แล้วจะลากฉันมาทรมาณด้วยทำไมกันเล่าเอริกะ…”
นับตั้งแต่เหตุการณ์วุ่นวายที่เมืองอีเรสเต้ได้จบลงไปวันเวลาก็ได้เลยผ่านไปอีกหลายปี จนในที่สุดในช่วงเช้าตรู่ของช่วงเวลาอันสงบสุขที่หวนคืนกลับมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหนื่อยหน่ายของชายหนุ่มผู้ที่มีเส้นผมสีขาวยาวสลวยในชุดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดดังขึ้นมาให้เพื่อนของเขาที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าได้ยิน
“หน่าๆ ปกตินายก็หมกตัวอยู่แต่ข้างในคลินิกอยู่แล้ว นานๆ ทีจะออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันบ้างมันจะเป็นอะไรไปล่ะจริงมั้ย~”
เพื่อนของเขา หรือก็คือหญิงสาวผมสีแดงทรงทวินเทลที่มีชื่อว่า เอริกะ ได้พูดตอบกลับมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีโดยไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจท่าทางเหนื่อยหน่ายของเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มผมสีขาวได้แต่ต้องถอนหายใจออกมากับท่าทีขี้เล่นกวนประสาทของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ… แต่อย่างน้อยๆ เธอก็ช่วยบอกกันก่อนสักหน่อยไม่ได้หรือไงว่าจะพาฉันมาถึงที่เมืองอื่นแบบนี้น่ะ… ฉันไม่ได้ว่างงานถึงขนาดจะออกมา ‘เดินเล่น’ ที่ต่างเมืองเหมือนอย่างเธอหรอกนะ….”
“เอาหน่าๆ ~ ที่คลินิกของนายมีคุณพยาบาลเขาคอยเฝ้าอยู่ทั้งคนเพราะงั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงไปหรอก~ เอาเป็นว่าไว้พอจบเรื่องคราวนี้แล้วก็ถือซะว่าฉันติดหนี้นายรอบนึงก็แล้วกัน เพราะงั้นตอนนี้นายมาตั้งใจช่วยเพื่อนเก่าสุดน่ารักอย่างฉันคนนี้หน่อยนะๆ”
“ให้ตายสิ…”
ท่าทางขี้เล่นของเอริกะที่ดูไม่ได้ต่างไปจากสมัยก่อนเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้ชายหนุ่มผมสีขาวต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองตัวอาคารหลังใหญ่เบื้องหน้าและพูดถามหญิงสาวข้างกายขึ้นมาด้วยความสงสัย
“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า…? เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งจะรับเด็กไปอยู่ด้วยตั้งสองคนไม่ใช่หรือไง…? ที่ว่าพวกเขามีอาการป่วยแปลกๆ จนเธอต้องมาขอยาจากฉันไปน่ะ… นี่อย่าบอกนะว่าเด็กพวกนั้นไม่รอดจนเธอต้องพาฉันมาแจ้งข่าวร้ายน่ะ…?”
“เสียมารยาท! ตอนนี้มีอากับเทียเขาเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนกันอย่างสนุกสนานอยู่ต่างหากล่ะ! ก็ต้องขอบคุณยาของนายล่ะนะที่ทำให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนปกติน่ะคุณหมอ~”
“ไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก… ถึงฉันจะมั่นใจว่ามันจะได้ผลแต่ว่ายานั่นมันยังไม่ได้ผ่านการทดลองใช้จริงซะด้วยซ้ำ… ถ้าเกิดว่ากินเข้าไปแล้วไม่เกิดผลข้างเคียงอะไรมันก็ดีแล้วล่ะ…นี่ยังดีนะว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเจอคนไข้ที่มีอาการคล้ายๆ กันมาก่อนจนทำยานั่นขึ้นมาเผื่อเอาไว้แล้วน่ะ…”
“หน่าๆ มันก็น่าจะเป็นเรื่องเชื้อไวรัสกลายพันธุ์อะไรแบบนั้นเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ~ แต่ก็นะ… ถึงโรคพวกนี้มันจะทำอะไรพวกเราไม่ได้ก็เถอะ แต่ก็คงจะได้แต่หวังว่าหลังจากนี้มันจะไม่มีโรคอะไรใหม่ๆ โผล่มาให้พวกเราปวดหัวเล่นเพิ่มอีกก็แล้วกัน”
“นั่นสินะ… โรคที่เด็กพวกนั้นเป็นมันแทบจะหลุดออกจากฐานข้อมูลที่ฉันมีอยู่แล้วด้วย… ถ้าเกิดว่ายังจะมีโรคอะไรประหลาดๆ มากกว่านี้โผล่มาอีกต่อให้เป็นฉันเองก็อาจจะรักษาให้หายขาดไม่ได้เหมือนกัน…”
ชายหนุ่มผมสีขาวที่ดูเหมือนว่าจะมีหน้าที่เป็นนายแพทย์ได้พูดตอบเพื่อนของเขากลับไปเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปสั่นกระดิ่งที่ถูกมัดติดเอาไว้ที่ข้างประตูรั้วสองสามที และนั่นก็ทำให้ประตูของตัวอาคารด้านในถูกแง้มเปิดออกมาโดยเจ้าของสถานที่ที่อยู่ภายใน
“อ่ะ— ยินดีต้อนรับค่ะท่านเอริกะ!”
ถึงแม้ว่าในตอนแรกที่หญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีน้ำตาลได้ชะโงกหน้าออกมามองดูผู้มาเยือนนั้นบนใบหน้าของเธอจะเต็มไปด้วยความสงสัยก็ตาม แต่ว่าในทันทีที่เธอได้สังเกตเอริกะที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ที่หน้าประตูรั้วแล้วเธอก็ได้แต่ต้องรีบผลักบานประตูให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว และรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วเพื่อเชิญผู้มาเยือนเข้าไปด้านในในทันที
“ไม่ใช่ว่าท่านเอริกะบอกกับพวกดิฉันเอาไว้ว่าจะมาถึงตอนเที่ยงหรอกหรอคะ เล่นมาก่อนเวลาแบบนี้พวกดิฉันก็ไม่มีเวลาได้เตรียมตัวต้อนรับกันพอดีสิคะ…”
“แหม่ ไม่ต้องมากพิธีไปหรอกจ้ะ~ แล้วนี่ไมเคิลเขาอยู่ไหนล่ะ ไปจ่ายตลาดหรอ?”
“คือว่าไมเคิลเขาถูกทางวังหลวงเรียกตัวไปน่ะค่ะ… อ่ะ— มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะคะ อย่างมากก็น่าจะเป็นแค่เรื่องงบประมาณเหมือนกับทุกทีนั่นแหล่ะค่ะ”
หญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีน้ำตาลได้รีบพูดอธิบายออกมาในทันทีเมื่อเธอได้สังเกตเห็นสายตาของเอริกะที่ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยหลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินว่า ไมเคิล หรือก็คือสามีของเธอเองถูกทางวังหลวงเรียกตัวไปพบ ซึ่งคำอธิบายของเธอนั้นก็ได้ทำให้เอริกะพยักหน้าด้วยความเข้าใจแล้วจึงหันไปพูดถามถึงเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
“อื้มๆ ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าพวกเธอส่งจดหมายมาหาฉันทำไมล่ะ ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องของมีอากับเทียล่ะก็ ฉันก็ส่งจดหมายมาบอกพวกเธอแล้วนี่นาว่าสองคนนั้นเขาหายดีแล้วน่ะ”
“ถ้าจดหมายอันนั้นดิฉันได้รับแล้วล่ะค่ะ… แต่ว่าตอนนี้มีเด็กคนนึงที่มีปัญหาอยู่นิดหน่อยที่ทางพวกดิฉันไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงดีน่ะค่ะ…”
“ปัญหาหรอ?”
“ค่ะ… คือแบบว่าก่อนหน้านี้มีสองพี่น้องอยู่คู่นึงที่ถูกส่งมาที่นี่พร้อมๆ กันอยู่น่ะค่ะ แล้วทีนี้ก็มีคนมาติดต่อว่าอยากจะขอรับเด็กผู้หญิงคนน้องไปเลี้ยงจนเหลือคนพี่อยู่ที่นี่แค่คนเดียว…”
“โอ๊ย เด็กหนอเด็ก…”
เอริกะที่ได้ยินเรื่องเล่าของหญิงสาวผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กได้เผยสีหน้าแหยงๆ ออกมาเล็กน้อย เพราะดูท่าทางแล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมันก็คงจะไม่พ้นอะไรประมาณว่าเด็กสาวคนพี่ที่ไม่ได้ถูกรับไปเลี้ยงด้วยร้องไห้โวยวายที่ต้องพลัดจากครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่แล้วก็งอแงไม่ยอมกินอาหารอะไรจำพวกนั้นแน่ๆ ซึ่งท่าทางของเอริกะที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้งนั้นก็ได้ทำให้หญิงสาวหูจิ้งจอกเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง
“ถ้าเกิดว่ามันเป็นแค่การงอแงแบบนั้นล่ะก็พวกดิฉันก็คงจะไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านเอริกะหรอกค่ะ แต่ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นทำมันเป็นการเก็บสะสมของอะไรก็ไม่รู้ไปไว้ในห้องนอนของเธอน่ะสิคะ แถมบางทีก็ยังมีการแอบออกไปข้างนอกแล้วก็เนื้อตัวตัวมอมแมมกลับมาพอพวกดิฉันถามอะไรไปก็ไม่ยอมตอบอีกต่างหาก…”
“เก็บสะสมอะไรก็ไม่รู้?”
“ค่ะ แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกขวดแก้ว ขวดโหล หรือไม่ก็อะไรจำพวกนั้นน่ะค่ะ ตอนที่ดิฉันลองเข้าไปสอบถามดูก็เห็นว่าเธอเอาขวดแก้วพวกนั้นไปใส่น้ำสีแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหนมาตั้งเรียงกันเต็มไปหมดแล้วก็บอกว่ากำลังทำการทดลองอยู่… แล้วพอดิฉันบอกเรื่องนี้กับไมเคิลเขาก็บอกว่าท่านเอริกะน่าจะสนใจน่ะค่ะ”
“ตรงหน้าต่างบานนั้นที่มีควันลอยออกมานั่นมันห้องอะไรน่ะ…?”
ในขณะที่หญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีน้ำตาลกำลังพูดอธิบายออกมาอยู่นั้นเอง อารอนที่ยืนจ้องมองออกไปด้านนอกหน้าต่างมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปทางหน้าต่างบานหนึ่งที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ที่ในขณะนี้ได้มีกลุ่มควันสีดำจำนวนหนึ่งกำลังจับกลุ่มกันลอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของเด็กคนนั้น—”
ซึ่งภาพของกลุ่มควันสีดำนั้นได้ทำให้หญิงสาวหูจิ้งจอกถึงกับต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจและรีบวิ่งหายเข้าไปด้านในตัวอาคารในทันที ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้ชะโงกหน้าไปดูกลุ่มควันสีดำด้วยความสนอกสนใจและพูดขึ้นมาอย่างไม่ร้อนรนอะไรมากนัก
“เห~ มีควันจริงๆ ด้วยแฮะ~”
“นี่เธอจะไม่กังวลสักหน่อยเลยหรือไงน่ะเอริกะ…?”
“แหม่~ นายก็คิดมากไปน่า เด็กๆ แบบนั้นจะไปทำอะไรอันตรายไ—”
“เหวอออออ— แย่แล้ว—!!”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของเด็กสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมาจนทำให้เธอต้องชะงักไปเสียก่อนพร้อมกับรีบหันไปมองทางต้นเสียง หรือก็คือทางด้านหน้าต่างของห้องนอนของเด็กสาวเจ้าปัญหาที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเดินทางมาที่นี่นั่นเอง
ฟู่ว—
และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับร่างเล็กๆ ของเด็กสาวหูจิ้งจอกที่มีเส้นผมสีแดงที่ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆ สิบปีคนหนึ่งที่เพิ่งจะพุ่งตัวออกมาจากด้านในด้วยความรีบร้อน โดยมีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับอะไรบางอย่างที่ปลดปล่อยความร้อนอย่างรุนแรงดังไล่หลังเธอออกมาด้วย ก่อนที่ทันใดนั้นเองอะไรบางอย่างที่เธอทำค้างเอาไว้ด้านในห้องนอนของเธอก็ได้ปลดปล่อยแรงระเบิดออกมาอย่างรุนแรงจนร่างของเด็กสาวกระเด็นกลิ้งหลุนๆ ไปตามสนามหญ้าที่อยู่เบื้องล่าง
ตู้ม!!
MANGA DISCUSSION