หลังจากที่เซซิเรียกับนัวร์ได้กลับไปถึงตัวปราสาทสีดำที่พวกเธอเรียกมันว่าบ้านกันแล้ว ทางด้านเซซิเรียก็ได้แยกจากกับนัวร์ที่หน้าห้องพยาบาลที่นัวร์ถูกนำตัวไปรักษา และเดินตรงขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตัวปราสาทเพื่อไปพบกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสีดำเพื่อขอให้อีกฝ่ายบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในเมืองอีเรสเต้ให้เธอฟัง
และหลังจากที่เซซิเรียได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เธอก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดคัดค้านการตัดสินใจของเด็กสาวผู้ที่เป็นหัวหน้าและเพื่อนที่เป็นที่รักยิ่งของเธอขึ้นมาตรงๆ
“เธอแน่ใจแล้วหรอหัวหน้า!? ถึงมันจะสายไปแล้วที่จะแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอีเรสเต้ก็เถอะ แต่ว่ามันก็ยังไม่สายเกินไปที่เธอจะเปลี่ยนคำตัดสินที่เธอบอกพวกเขาไปนะ!!”
“……..”
แต่ถึงแม้ว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมจะได้ยินคำพูดคัดค้านของเซซิเรียเข้าไปแล้วก็ตาม สิ่งที่เธอทำก็มีเพียงแค่การเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเซซิเรียผ่านความมืดมิดผิดธรรมชาติภายใต้ชุดผ้าคลุมของเธอและแผ่รังสีเยือกเย็นออกมาเท่านั้น
“…แล้วเธอคิดจะให้ฉันทำยังไง เซซิเรีย ซึสึมุ? เธอจะบอกว่าให้จะฉันมองว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเป็นครอบครัวเหมือนกับที่ผ่านมางั้นหรอ…? เธอกำลังจะบอกว่าฉันต้องยกโทษให้พวกเขาไปเฉยๆ โดยไม่ต้องลงโทษอะไรเลยจริงๆ งั้นหรือไง…?”
“ม—มันก็ต้องไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้วสิ! ฉันแค่คิดว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมัน… ไม่ถูกต้อง… ในเมืองอีเรสเต้นั่นเองก็มีชาวบ้านชาวเมืองตั้งเป็นหมื่นเป็นแสนคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นอาศัยอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไงกันล่ะ!?”
“มันก็เหมือนกับเขาคนนั้นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือว่ายุ่งเกี่ยวอะไรกับงานของฉันเลย… แต่เขาก็ยังโดนพวกมัน…”
“หัวหน้า…”
คำพูดของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่สื่อถึงเพื่อนของพวกเธออีกคนหนึ่งนั้นได้ทำให้เซซิเรียชะงักไปเล็กน้อย เพราะเธอก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่สามารถพูดแก้ต่างอะไรให้กับพวกชาวเมืองอีเรสเต้ในเรื่องนี้ได้ จนทำให้เด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่เห็นแบบนั้นเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงคำตัดสินของฉันก็จะยังคงเหมือนเดิม… ไม่ว่ามันจะทำให้มีผู้บริสุทธิ์ต้องโดนลูกหลงไปด้วยสักกี่แสนกี่ล้านคนก็ตาม…”
“แต่คำตัดสินของเธอมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการประกาศว่าจะกวาดล้างพวกเขาทิ้งเลยไม่ใช่หรอ!? พวกเขาที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ที่พวกเราทั้งรักและหวงแหนนี่น่ะนะหัวหน้า!?”
“อื้ม… ใช่แล้วล่ะ…”
“ต่อให้จะมีหลักฐานยืนยันว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยเธอก็จะไม่ปล่อยพวกเขาไปสักคนนึงจริงๆ งั้นหรอหัวหน้า?”
“ใช่… ไม่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องหรือว่าไม่เกี่ยวข้องก็ตาม…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดตอบเซซิเรียกลับไปเบาๆ ก่อนจะหมุนเก้าอี้ของเธอกลับไปทางเบื้องหลัง เพื่อจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามเบื้องนอกหน้าต่างบานใหญ่ด้วยท่าทีราวกับว่าเธอไม่ต้องการที่พูดคุยกับเซซิเรียเกี่ยวกับเรื่องคำตัดสินของเธออีกต่อไปแล้ว
ซึ่งท่าทีของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นก็ได้ทำให้เซซิเรียนิ่งค้างไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่หญิงสาวจะกำหมัดแน่นและกัดฟันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“เธอ… เธอไม่ใช่หัวหน้าของฉัน! หัวหน้าและเพื่อนคนที่ฉันรักและไว้ใจคนนั้นไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้ออกมาแน่!!”
“มันก็อาจจะเป็นอย่างที่เธอว่ามาจริงๆ ก็ได้…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับมาทางเซซิเรียอีกครั้ง และจ้องมองเซซิเรียด้วยนัยน์ตาสีแดงที่ถูกปิดบังเอาไว้ภายใต้ชุดผ้าคลุมของเธอ
“และเพราะแบบนั้นพวกเราก็เลยจำเป็นต้องมีเธออยู่ด้วยยังไงล่ะ สารวัตรและผู้ตรวจการ เซซิเรีย ซึสึมุ…”
“เพราะแบบนั้นถึงต้องมีฉันอยู่ด้วยงั้นหรอ…?”
“ใช่… เพราะว่าเธอคือคนที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้… ในเวลาที่พวกฉันมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าและไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่พวกเราเคยใฝ่ฝันนั่นได้แล้ว… แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเธอล่ะก็… เธอน่าจะยังคงเดินตรงไปตามเส้นทางที่พวกฉันไม่สามารถก้าวเดินอีกต่อไปแล้วนั่นได้อยู่ใช่หรือเปล่าล่ะ…”
“…..!!”
คำพูดของหัวหน้าที่ฟังดูราวกับคำสั่งเสียนั้นได้ทำให้เซซิเรียชะงักไปชั่วขณะ ในขณะที่ทางด้านเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเองก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเซซิเรียเอาไว้ก่อนจะพูดขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นความฝัน… ความตั้งใจ… หรือแม้แต่ตัวตนของฉันเอง… ถ้าเกิดพวกเธอเห็นว่าทุกสิ่งและทุกอย่างของฉันมันกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป พวกเธอก็จงทำลายมันทิ้งให้หมดเถอะ…”
สิ่งที่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดขึ้นมาได้ทำให้เซซิเรียเบิ่งตากว้างก่อนจะตัวสั่นเทิ้มและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
“ฉ…ฉันทำแบบนั้นไม่ได้… ไม่ใช่กับเธอ…”
“ถ้าเป็นพวกเธอล่ะก็ต้องทำได้แน่… ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ฉันตัดสินใจทำมันลงไปเป็นความผิดพลาดจริงๆ ล่ะก็ ต่อให้จะไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่วันนี้ แต่ว่าสักวันนึงพวกเธอจะต้องทำมันได้อย่างแน่นอน…”
“ ‘พวกฉัน’ งั้นหรอ… นอกจากตัวฉันเองแล้วยังจะมีคนอื่นที่คิดจะหยุดเธออีกหรือไง…? โอริเวอร์กับน้องสาวก็บอกฉันแล้วว่าพวกเขาเห็นด้วยกับเธอ หรือแม้แต่ยัยนัวร์เองก็ทำท่าเหมือนกับว่าคิดจะอยู่ที่นี่กับเธอต่อซะด้วยซ้ำ”
“มีสิ… ถึงจะไม่ใช่ที่นี่… ถึงจะไม่ใช่เพื่อนที่เธอคุ้นเคย… แต่ว่ามันจะต้องมีคนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเธอในเรื่องนี้อย่างแน่นอน… ไม่ว่าจะเป็นคนที่พยายามจะลบล้างโชคชะตาอันโหดร้าย… หรือคนที่พยายามจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดตอบเซซิเรียกลับไปเบาๆ และเดินกลับไปยืนที่หน้าต่างบานใหญ่ด้านหลังโต๊ะของเธออีกครั้งหนึ่ง เพื่อมองไปยังทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่อยู่ด้านนอกที่ในขณะนี้ได้มีกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ กำลังจับกลุ่มกันเดินจากไปจากสถานที่แห่งนี้
“แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดยังไง… พวกฉันจะเป็นคนที่จดจำความฝัน ความรัก รวมไปถึงความเคียดแค้นและน้ำตาของพวกเราและคนที่ถูกพวกเขาทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง… ไม่ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน… หรือต่อให้จะเหลือฉันเพียงแค่คนเดียวที่สุดปลายทางก็ตาม…”
“เธอแน่ใจแล้วหรอครับนัวร์… ตอนนี้เธอคนนั้นไม่ใช่หัวหน้าคนเดิมกับที่พวกเรารู้จักกันอีกต่อไปแล้วนะครับ…”
ในขณะเดียวกันกับที่เซซิเรียกำลังพูดคุยกับหัวหน้าอยู่นั้น ทางด้านโอริเวอร์ที่เดินทางกลับมาที่บ้านก่อนเองก็ได้พูดถามนัวร์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นขึ้นมา จนทำให้เด็กสาวต้องหันกลับไปมองทางเขาก่อนจะพูดตอบกลับไป
“มันก็อาจจะเป็นแบบนั้นสำหรับนายก็ได้ แต่ว่าสำหรับฉันแล้วไม่ว่าเธอคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน เธอก็ยังคงเป็นเพื่อนคนเดิมที่ฉันรู้จักอยู่ดีนั่นแหล่ะ”
“…ถ้าเกิดว่านัวร์ว่าอย่างนั้นก็แล้วแต่ก็แล้วกันนะครับ”
“พี่โอริเวอร์! พี่นัวร์! เป็นยังไงบ้างคะ!?”
และในตอนที่โอริเวอร์กับนัวร์กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง โคลเอ้ที่ถูกเซซิเรียมอบหมายหน้าที่ดูแลบ้านให้ก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดประตูห้องพยาบาลเข้ามาพร้อมกับพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง จนทำให้นัวร์ต้องละสายตาออกมาจากชายหนุ่มผมสีแสดเพื่อพูดตอบคำถามของเด็กสาวกลับไปด้วยท่าทีร่าเริง
“โคลเอ้~ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ แต่ว่าฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ~ ว่าแต่แล้วนี่แขกของพวกเราที่อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่หายไปไหนกันแล้วล่ะ~?”
“ก็หัวหน้าเพิ่งจะขอให้หนูออกไปส่งพวกเขามานี่แหล่ะค่ะ”
“อย่างน้อยๆ ในหมู่พวกมนุษย์ก็ยังมีคนที่กล้าเข้ามาคุยกับหัวหน้าอยู่เหมือนกับเจ้าพวกนั้นสินะครับ…”
คำพูดของโคลเอ้ได้ทำให้โอริเวอร์ก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดพึมพำออกมาเบาๆ ในขณะที่ทางด้านนัวร์นั้นกลับหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาแทน
“คิกคิก~ ก็ถ้าเกิดว่าจะมีใครที่ยังคงนับว่าเป็นเพื่อนกับพวกเราได้อยู่ก็คงจะมีแค่พวกเขานี่แหล่ะเนอะ~ แล้วก็ถ้าเกิดว่าจะยังมีใครที่พอจะพูดคุยกันได้รู้เรื่องก็คงจะมีแค่พวกเขาเหมือนกัน… ว่าแต่แล้วนี่พวกเขาได้พูดอะไรเอาไว้ก่อนจะกลับไปบ้างหรือเปล่าจ๊ะโคลเอ้?”
“เอ๋… ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะคะ จะมีก็แค่คุณเซมฟิร่าที่เขาฝากหนูมาบอกทุกคนว่าขอโทษก่อนจะเดินตามคนอื่นๆ ไปน่ะค่ะ… แล้วนี่พวกเราทำอะไรเพื่อพวกเขาไม่ได้เลยจริงๆ หรอคะพี่โอริเวอร์?”
โคลเอ้พูดตอบนัวร์กลับไปก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านโอริเวอร์บ้างและพูดถามขึ้นมาเบาๆ จนทำให้โอริเวอร์ต้องเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมา
“ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่หัวหน้าเขาตัดสินใจนั่นแหล่ะครับโคลเอ้…”
“ถ้าพี่โอริเวอร์ว่าอย่างงั้นหนูก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ… แค่พอคิดว่าหลังจากนี้จะไม่ได้พบกับพวกเขาอีกต่อไปแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาน่ะค่ะ…”
“…เรื่องนั้นพี่เข้าใจ แต่ว่าพวกเราเองก็ไม่มีสิทธิที่จะไปพูดให้หัวหน้าเขาเปลี่ยนใจในเรื่องนี้หรอกนะครับ…”
“เห~ ถ้าเกิดว่านายคิดอย่างนั้นจริงๆ ทำไมเมื่อกี้นี้นายถึงไม่ห้ามเซซิเรียเขาเอาไว้ล่ะ? นายเองก็น่าจะรู้ดีนี่นาว่าสาเหตุที่เซซิเรียเขาขึ้นไปหาหัวหน้าข้างบนนั้นน่ะ มันก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ว่าเธอพยายามจะพูดเกลี้ยกล่อมหัวหน้าหรอกนะ”
คำตอบของโอริเวอร์ที่พูดตอบน้องสาวของเขากลับไปเบาๆ ได้ทำให้นัวร์ชะโงกหน้าเข้าไปพูดสอบถามเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ ราวกับชวนให้แกล้งแบบที่เธอมักจะทำเป็นประจำ ซึ่งนั่นก็ทำให้โอริเวอร์ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดตอบเด็กสาวกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ
“เฮ้อ… เธอเองก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอครับว่าเซซิเรียเขาดื้อขนาดไหนน่ะ… แล้วนี่ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าโดยตรงแล้วด้วย… เอาจริงๆ ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าแล้ว ตัวเธอเองก็ดื้อไม่ต่างไปจากเซซิเรียเขาเลยไม่ใช่หรือไงกันครับนัวร์ เพราะงั้นถึงได้ตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแทนที่จากไปเหมือนกับพวกผมน่ะ…”
“ฮะฮะ ก็นั่นสิเนอะ~”
MANGA DISCUSSION