หลังจากที่อลิซได้จากลากับสาวใช้ผมสีเทาที่เรียกตัวเองว่าซีโร่ไปแล้วเธอก็ได้กลับไปหาเพื่อนของเธอทั้งสองคนเพื่อขอให้เขาจับเธอเข้าไปในหลอดแก้วในห้องทดลองอีกครั้งหนึ่งเพื่อจัดการอะไรบางอย่าง
และหลังจากที่ชายหนุ่มผมสีขาวยุ่งวุ่นวายกับแป้นพิมพ์ที่ติดอยู่กับตัวหลอดแก้วที่อลิซเข้าไปอยู่ภายในจนเวลาผ่านไปนับสิบชั่วโมงตัวหลอดแก้วก็ได้ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมๆ กับที่เขาได้ถูกหญิงสาวผมสีแดงทรงทวินเทลพูดไล่แบบเดิมไม่มีผิด
“มัวแต่มองอะไรของนายอยู่กันหะ ส่งชุดนั่นมาแล้วก็หันไปมองทางอื่นก่อนไป๊ ชิ่วๆ”
“นี่… ฉันก็เข้าใจนะว่าที่นี่มันมีอุปกรณ์อะไรพวกนี้พร้อมน่ะ… แต่ว่าถ้าพวกเธออยากได้คนมาทำอะไรที่มันไม่ใช่การรักษาแบบนี้เนี่ยก็ช่วยเรียกคนที่เขาทำงานสายนั้นโดยเฉพาะมาแทนจะได้หรือเปล่าหะ… แล้วอีกอย่างนึงยัยนั่นเขาก็บ่นว่าอยากจะเจอกับอลิซมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไง… เธอไม่เรียกเขามาแทนฉันตั้งแต่แรกให้หมดเรื่องไปเลยล่ะ…”
ชายหนุ่มผมสีขาวที่ถูกเอ่ยปากไล่ในครั้งนี้ไม่ได้เดินหลบไปทางอื่นและทำเพียงแค่หันหน้าหนีพร้อมกับพูดบ่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้จนทำให้หญิงสาวผมสีแดงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาพร้อมกับพูดอธิบายขึ้นมาให้เขาฟัง
“แหะๆ แต่นายก็รู้นี่ว่ายัยคนที่ชำนาญเรื่องนี้จริงๆ มันไว้ใจไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่น่ะ… เอาจริงๆ จนถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังบอกไม่ได้เลยเนี่ยว่ายัยนั่นเป็นพวกเดียวกับพวกเราแน่ๆ หรือเปล่าน่ะ แล้วในเมื่อสายงานของนายมันก็คล้ายๆ กับของยัยนั่นอยู่แล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกใช่มั้ยล่ะ~”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”
นายแพทย์หนุ่มผมสีขาวที่ได้ยินเพื่อนของเขาพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงระรื่นได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ในขณะที่ทางด้านอลิซที่เพิ่งจะถูกหญิงสาวผมสีแดงจับแต่งตัวเสร็จก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“อ…อื้ม… เสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ…?”
“ใช่แล้วล่ะจ้ะ~ ถ้ายังไงเธอก็อย่าลืมไปพูดขอบคุณนายแพทย์ใหญ่ฝีมือดีสุดหล่อคนนั้นที่เขาอุตส่าห์สละเวลามาจัดการเรื่องนี้ให้ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในเวลาทำงานด้วยก็แล้วกันนะอลิซ~”
“เรื่องนั้นช่างมันไปก่อนเถอะยัยตัวแสบ… แล้วเธอรู้สึกยังไงบ้างล่ะอลิซ…?”
นายแพทย์หนุ่มผมสีขาวที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาวผมสีแดงทรงทวินเทลแทบจะต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันไปให้ความสนใจกับอลิซที่เพิ่งจะออกมาจากหลอดทดลองแทน ซึ่งทางด้านอลิซที่ได้ยินคำถามด้วยความเป็นห่วงของนายแพทย์หนุ่มนั้นก็ได้ลองขยับแขนขาไปมาพร้อมกับลองกำๆ แบๆ มือของเธออยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยพูดตอบเขากลับไป
“ถ้านอกจากอาการที่นายเตือนเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้นนะ… ถ้าจะให้พูดก็คงจะต้องบอกว่ารู้สึกไม่ชินกับประสาทสัมผัสแล้วก็ร่างกายที่ดีขึ้นแบบนี้ล่ะมั้ง…”
“ถ้างั้นก็คงจะหมายความว่าข้อมูลของเขาคนนั้นที่ยังเหลืออยู่คงจะใช้ได้ผลงั้นสินะ… แต่ว่าพวกฉันก็คงจะทำให้เธอได้แค่นี้ล่ะเพราะว่านี่คือที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้โดยไม่ทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองแล้วล่ะ… แล้วก็ถึงแม้ว่าที่นั่นมันอาจจะเหมือนกับนรกบนดินสำหรับเธอแต่ว่ามันก็คงจะไม่แตกต่างจากไปบ้านของเธอสักเท่าไหร่หรอก…”
นายแพทย์หนุ่มที่ได้ยินอลิซรายงานสภาพร่างกายของเธอออกมาได้พยักหน้าพูดตอบเธอกลับไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นคำเตือนของเขาก็กลับทำให้หญิงสาวผมสีแดงต้องเบ้ปากพูดตอกเขากลับไป
“ที่บอกว่าเหมือนกับนรกบนดินนั่นมันน่าจะสำหรับนายคนเดียวซะมากกว่าล่ะมั้ง ก็เล่นใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นตั้งกี่ปีกันล่ะนั่น… ถ้าถามฉันล่ะก็ฉันว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากชีวิตในตอนนี้สักเท่าไหร่หรอก… แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันไปก่อนเถอะ เธอมาดูนี่มาอลิซ ตอนที่เธอนอนอยู่ข้างในนั้นฉันบอกให้เขาเพิ่มอะไรที่มันน่าจะมีประโยชน์กับเธอที่นั่นไปนิดๆ หน่อยๆ จากที่เธอขอเอาไว้ด้วยน่ะ”
หลังจากที่หญิงสาวผมสีแดงพูดต่อว่านายแพทย์ผมสีขาวออกมาแล้วเธอก็ได้กวักมือเรียกอลิซที่กำลังขยับตัวยืดเส้นยืดสายอยู่ให้เข้าไปมุงดูหน้าจอที่ติดอยู่กับหลอดทดลองที่เธอเพิ่งจะออกมาด้วยกัน
แต่ว่าเมื่ออลิซได้เห็นสิ่งที่หญิงสาวผมสีแดงพูดเอาไว้ว่าเพิ่มเข้าไปนิดๆ หน่อยๆ แล้วเธอก็ถึงกับชะงักไปด้วยความแปลกใจ
“อาร์ไคฟ์…? แถมยังมีสิทธิในการสั่งการเต็มที่อีก… เธอเอาอำนาจในการสั่งการมันมาให้ฉันทั้งยวงแบบนี้นี่ถ้าเกิดว่าพวกเราเผลอใช้งานมันพร้อมกันขึ้นมามันจะไม่เป็นเรื่องเอาหรอ?”
“แหม่~ เธอก็คิดมากไปน่า ยังไงซะตอนที่ฉันอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้มันอยู่แล้วล่ะ เพราะงั้นก็คงจะไม่มีเหตุการณ์ที่พวกเราเผลอใช้งานมันพร้อมกันจนทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้โดนตรวจสอบได้หรอก~ แล้วก็อีกอย่างนึง ยิ่งมันไม่มีข้อผิดพลาดอะไรแจ้งเตือนขึ้นมาแบบนี้มันก็หมายความว่าเธอยังใช้ความสามารถดั้งเดิมของเธอได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรด้วยจริงมั้ยล่ะ~”
“มันก็จริงของเธอนั่นแหล่ะ…”
“แล้วก็… ไหนๆ เธอก็คิดจะทำตามแผนการเดิมแล้วแบบนี้งั้นฉันขอฝากเจ้านี่เดินทางไปกับเธอด้วยหน่อยสิ”
หญิงสาวผมสีแดงที่เห็นว่าอลิซไม่มีข้อโต้แย้งอะไรกับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเธอแล้วได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนที่เธอจะตัดสินใจยัดของขวัญอีกอย่างหนึ่งเข้าใส่มือของอลิซอย่างรวดเร็ว
ซึ่งตัวตนของของขวัญชิ้นที่สองที่มีหน้าตาเหมือนกับหนังสือปกหนังสีน้ำตาลประดับลวดลายบางๆ นั้นก็ถึงกับทำให้นายแพทย์หนุ่มผมสีขาวชะงักไปด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“นี่เธอ—”
“นายไม่ต้องพูดอะไรออกมาทั้งนั้นนั่นแหล่ะ เรื่องนี้ฉันคิดเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าถ้าอลิซเขาคิดจะทำตามแผนการเดิมจริงๆ ฉันก็คิดจะให้อลิซเขาพกเจ้าหนังสือหน้าตาโง่ๆ เล่มนี้ไปด้วยน่ะ”
“แต่ว่าเจ้านั่นมัน—”
“หนวกหูๆ ~ ลองคิดดูสิว่าต่อให้จะเป็นตัวนายเองก็เถอะ ถ้าเกิดว่ามีคนที่มีเจ้านี่โผล่มาตรงหน้าสักคน ยังไงซะนายก็คงจะสนใจไม่ใช่น้อยเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดว่าเจ้าหนังสือโง่ๆ นี่มันจะทำให้ชีวิตของอลิซเขาง่ายขึ้นสักนิดนึงมันก็คงจะมีประโยชน์กว่าการที่ฉันจะเก็บมันเอาไว้ต่อไปใช่มั้ยล่า~”
ถึงแม้ว่านายแพทย์หนุ่มผมสีขาวจะพยายามพูดห้ามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงแล้วก็ตาม แต่ว่าทางด้านหญิงสาวผมสีแดงทรงทวินเทลก็กลับไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เขาได้แต่ต้องยอมแพ้แต่โดยดี
ส่วนทางด้านอลิซที่ได้รับหนังสือปกหนังสีน้ำตาลไปจากหญิงสาวผมสีแดงเองก็ได้จ้องมองมันอย่างเงียบๆ อยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ… มันก็จริงนั่นล่ะ… ถ้าเกิดว่ามีหนังสือของเธอเป็นหลักฐานล่ะก็มันก็คงจะดูน่าเชื่อถือมากกว่าการพยายามอธิบายปากเปล่าจริงๆ นั่นล่ะ… แต่ถ้าเกิดว่าฉันเอามันไปด้วยจริงๆ เธอก็น่าจะรู้นะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันเดินทางไปแล้วน่ะ…”
“แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะยังยืนยันคำเดิมใช่หรือเปล่าล่ะ เพื่อที่เธอจะได้ปกป้องโลกของเขาเอาไว้น่ะ แล้วอีกอย่างนึงฉันเองก็ไม่คิดที่จะอยู่รอดูผลที่จะตามมาหลังจากที่เธอออกเดินทางไปแล้วสักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะฉะนั้นถ้าอะไรมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไปเถอะเนอะ~”
“ให้ตายสิ… ไร้ความรับผิดชอบชะมัด…”
คำพูดด้วยน้ำเสียงระรื่นราวกับว่าหญิงสาวผมสีแดงไม่มีความเกรงกลัวว่าการกระทำของเธอจะทำให้มีผลอะไรตามมาเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะเดินตรงไปทางประตูห้องพร้อมกับทิ้งคำพูดส่งท้ายเอาไว้
“เอาเป็นว่านี่คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกฉันจะทำให้เธอได้แล้ว… หลังจากนี้ไม่ว่าเธอจะเลือกที่จะเป็นเพื่อนหรือว่าเลือกที่จะเป็นศัตรูกับพวกฉันมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเองแล้วล่ะ…”
“มันก็ตามที่คุณหมอเขาว่ามานั่นแหล่ะ เอาเป็นว่าหลังจากนี้ก็คงจะเหลือแค่เธอตัวคนเดียวแล้วล่ะนะ… หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเกิดเธอท้อแท้แล้วล้มเลิกความตั้งใจเมื่อไหร่ล่ะก็ บนโลกใบนี้ก็คงจะไม่เหลือใครที่คิดจะทำความหวังของเธอให้เป็นจริงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้วล่ะ~”
“พวกเธอนี่ก็ให้กำลังใจกันเก่งจริงเลยนะ…”
คำพูดของหญิงสาวผมสีแดงที่เต็มไปด้วยความกดดันนั้นได้ทำให้อลิซพูดตอบเธอกลับไปด้วยความหน่ายใจก่อนที่เธอจะกำมือแน่นและพูดตอบเพื่อนๆ ทั้งสองคนของเธอกลับไปด้วยความหนักแน่น
“พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก… เพราะว่าหลังจากนี้ต่อให้คนที่เข้ามาขวางทางฉันจะเป็นพวกเธอหรือว่าจะเป็นใครคนไหนฉันก็จะไม่ลังเลเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วล่ะ!”
“ช่ายๆ ความมุ่งมั่นแบบนั้นแหล่ะที่พวกฉันต้องการน่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นตัวเธอในตอนนี้ที่รู้แล้วว่าศัตรูของพวกเราคือคนกลุ่มไหนกันแน่เกิดลังเลขึ้นมากลางคันเดี๋ยวสิ่งที่พวกฉันอุตส่าห์ทำมาจนถึงตอนนี้ก็ได้เสียเปล่ากันพอดีสิ~”
คำพูดของสาวๆ ทั้งสองคนได้ทำให้นายแพทย์หนุ่มที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา เพราะว่าเป้าหมายในการ ‘เดินทาง’ ของอลิซในครั้งนี้นั้นไม่ว่าจะคิดทางไหนโอกาสที่เธอจะทำเป้าหมายหลายๆ อย่างให้สำเร็จได้ก็มีน้อยมากจนไม่น่าจะเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย
“เพื่อโลกที่ทุกคนจะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง… แล้วก็เพื่อให้การพบพานกันอีกครั้งนึงของพวกเธอเมื่อตอนนั้นเกิดความหมายขึ้นมาบ้างงั้นหรอ.. เฮ้อ… ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายไหนก็ฟังดูเกินตัวซะจริง…”
ครืดดดดด—
“ก็เพราะอย่างงั้นคุณหนูอลิซที่กำลังจะเดินทางเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์คนนั้นถึงได้ต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทที่แสนดีอย่างฉันคนนี้ด้วยอีกคนนึงยังไงล่ะ~~”
แต่แล้วในขณะที่นายแพทย์หนุ่มกำลังเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาอยู่นั้น ตัวประตูของห้องที่เต็มไปด้วยหลอดทดลองแห่งนี้ก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมๆ กับที่มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา ทั้งๆ ที่พวกเขามั่นใจว่ามันถูกปิดล็อกเอาไว้ไม่ให้ใครเข้าออกเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสเตรียมการสำหรับแผนการของอลิซแล้วแท้ๆ
“—!?”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูของผู้มาใหม่นั้นได้ทำให้อลิซต้องรีบหันไปมองดูทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว และเมื่ออลิซได้พบเข้ากับเด็กสาวผมสีดำยาวสุดยุ่งเหยิงที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวขนาดใหญ่เกินตัวที่แบกห่อผ้าทรงยาวเอาไว้บนแผ่นหลังแล้วเธอก็แทบจะแยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยวในทันที
“ยัยหัวดำบัดซบ!!”
“อุ้ยแรงจัง~”
“เดี๋ยวก่อนอลิซ… ตอนนี้ยัยนี่ไม่ใช่ศัตรูของพวกเราแล้วล่ะ… ถึงจะยังไว้ใจไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่ก็เถอะนะ…”
“เธอใจเย็นก่อนสิอลิซ ถ้าเกิดว่าไม่ได้ยัยตัวแสบนี่ช่วยจัดหาห้องทดลองนี่ให้ล่ะก็ที่ผ่านมาพวกฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอาตัวเธอไปซ่อนที่ไหนดีเหมือนกันนะ… แล้วก็ถึงฉันไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่าตัวอุปกรณ์ที่เธอจะต้องใช้ในขั้นตอนถัดไปมันก็เป็นฝีมือของยัยนี่เหมือนกัน”
คำพูดที่ฟังดูไม่มีความเกรงใจกันของหญิงสาวผมสีแดงและชายหนุ่มผมสีขาวนั้นได้ทำให้เด็กสาวผมสีดำผู้มาใหม่ยกมือที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายในเสื้อกาวน์ขนาดใหญ่เกินตัวขึ้นมาโบกไปมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“คำนึงก็ยัยนี่ อีกคำนึงก็ยัยตัวแสบ นี่พวกเธอยังจำกันได้อยู่หรือเปล่าว่าฉันเองก็มีชื่อเรียกน่ารักๆ อย่าง นัวร์ ที่ได้รับมาจากคุณหัวหน้าเขาอยู่ด้วยเหมือนกันนะ~”
“………”
ถึงแม้ว่าเด็กสาวผมดำที่เรียกตัวเองว่า นัวร์ จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่แสดงความสนิทสนมก็ตาม แต่ว่าทางด้านอลิซก็ยังคงจ้องมองเธอกลับไปด้วยแววตาไม่เป็นมิตรอยู่ดีจนทำให้นัวร์ที่เห็นแแบบนั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“อื้มๆ ถ้าดูจากที่พวกเธอไม่คิดจะเข้ามาเป่าหัวฉันเหมือนกับเมื่อก่อนแล้วก็แปลว่าพวกเธอคงจะไม่มีปัญหาอะไรกับฉันแล้วงั้นสินะ ถ้างั้นฉันขอยืมตัวอลิซจังเขาไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานสักหน่อยนึงก่อนที่พวกเธอจะเริ่มแผนการกันจะได้หรือเปล่าเอ่ย~?”
“………”
คำพูดของนัวร์ได้ทำให้อลิซและเพื่อนของเธอทั้งสองคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่ชายหนุ่มผมสีขาวจะพูดถามขึ้นมาพร้อมๆ กับหญิงสาวผมสีแดง
“เธอจะเอายังไงล่ะอลิซ…?”
“ถ้าเกิดว่าเธอยังไม่พร้อมเดี๋ยวฉันจะไล่ยัยนี่ออกไปให้ก่อนก็ได้นะ”
“ไม่ล่ะ… ในเมื่อยัยนี่กล้ามาเชิญฉันเองกับตัวแบบนี้เองมันก็ดี เพราะฉันเองก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกับยัยตัวแสบนี่อยู่เหมือนกัน…”
MANGA DISCUSSION