ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านากากำลังเข้าปะทะกับหญิงสาวผมสีแดงอยู่นั้นเอง ที่อีกฟากหนึ่งของขอบฟ้าบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเองก็ได้มีหญิงสาวผมสีม่วงที่มัดผมของเธอเป็นทรงทวินเทลกำลังทอดสายตาลงมาจากระเบียงของอาคารทรงยาวเพื่อมองไปยังสนามหญ้าที่กำลังลุกไหม้และซากบ้านเมืองที่กำลังลุกเป็นทะเลเพลิงอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
“ระบบอัตโนมัติป้องกันได้ไม่หมดจริงๆ ด้วยสินะ…”
หญิงสาวผมสีม่วงได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ พลางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ที่ได้มีหอกเหล็กยักษ์หลายสิบอันพุ่งลงมาจากฟากฟ้าทางทิศตะวันตกและระเบิดออกอย่างรุนแรงเพื่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกเป็นเป้าหมายของมัน
“…….”
หญิงสาวได้ยื่นเหม่อมองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ทั่วบริเวณอยู่ชั่วขณะแล้วจึงยกมือขึ้นมาลูบเข็มกลัดที่ทำมาจากอัญมณีสีเขียวประดับด้วยพู่สีดำเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและเดินเข้าไปภายในห้องประชุมที่อันแน่นไปด้วยโต๊ะทำงาน หน้าจอ และแป้นพิมพ์หลายสิบชุดที่เรียงรายกันไปเป็นทางยาวบ่งบอกว่าเคยมีผู้คนทำงานอยู่ภายในห้องประชุมแห่งนี้อยู่มากมายถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีเพียงแค่หญิงสาวผมสีม่วงเหลืออยู่ภายในแค่คนเดียวก็ตามที
และเมื่อหญิงสาวผมสีม่วงได้เห็นดังนั้นเธอก็ได้เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ทางในสุดและก้มลงไปหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารที่มีลักษณะเหมือนกับหูฟังครอบหูที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาสวมใส่เอาไว้พร้อมกับเคาะไปที่แป้นพิมพ์สองสามครั้งจนหน้าจอที่เชื่อมต่ออยู่กับมันเรืองแสงขึ้นมา
แกร๊ก–แกร๊ก–แกร๊ก—
“…เอาล่ะ…ทีนี้ก็หันพวกมันไปเตรียมพร้อมเอาไว้ทางทิศตะวันตก…”
ครืดดดดดด—
หลังจากที่หญิงสาวผมสีม่วงรัวนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์ได้สักพักหนึ่งที่ด้านนอกห้องประชุมที่เธออยู่ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูคล้ายกับสิ่งของที่มีขนาดใหญ่ยักษ์กำลังขยับเขยื้อนดังขึ้นมาให้เธอได้ยินในขณะที่ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอของเธอก็ได้เปลี่ยนจากจอภาพดำๆ ให้กลายเป็นภาพของท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากเขม่าควันไฟที่มีเส้นสีแดงตีกรอบจุดสีดำที่กำลังพุ่งตรงเข้ามากระจัดกระจายกันไปอยู่แทบจะทั่วทั้งหน้าจอ
“ที่เหลือก็แค่เชื่อมต่อเข้ากับระบบ…”
แกร๊ก—วิ้ง—
“อึ๊ก—”
ในทันทีที่หญิงสาวกดนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์เป็นครั้งสุดท้ายเธอก็ได้รู้สึกเหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงเสียดแหลมที่ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวสมองของเธออย่างรุนแรงก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะสัมผัสได้ถึงของเหลวสีแดงที่ไหลทะลักออกมาจากจมูกของเธอเป็นจำนวนมากจนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ ทั้งๆ ที่ยังคงหอบหายใจอยู่ด้วยความเจ็บปวด
“ฮ่า…ฮ่า… ดูเหมือนที่เขาเตือนเอาไว้ว่าการเชื่อมต่อกับระบบทีละหลายๆ เครื่องพร้อมกันด้วยตัวคนเดียวมันอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้นี่คงจะไม่ได้พูดขู่กันเล่นๆ งั้นสินะ…”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ในขณะที่หญิงสาวผมสีม่วงทรงทวินเทลกำลังพูดพึมพำออกมาและกำลังพยายามที่จะเช็ดเลือดกำเดาของเธออยู่นั้นตัวอุปกรณ์สื่อสารที่เธอสวมใส่เอาไว้ก็ได้ส่งเสียงสัญญาณออกมาก่อนที่จะมีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังออกมาจากเครื่องสื่อสารที่เธอสวมเอาไว้เสียงดังลั่น
“มายะ!! นี่เธอคิดบ้าอะไรของเธออยู่หะ!?”
“อ่ะ…”
“ ‘อ่ะ…’ งั้นหรอ!? นี่เธอยังจะมีหน้ามา ‘อ่ะ’ ใส่ฉันอีกหรือไง!? ที่ระบบป้องกันพวกนั้นทำงานขึ้นมานั่นมันฝีมือของเธอใช่มั้ย!? ข้างในเมืองนั่นมันไม่เหลือใครแล้วนะมายะ เธอเองก็รีบๆ หนีออกมาได้แล้ว!!”
“……..”
“มายะ!! ยังอยู่หรือเปล่า!?”
ความเงียบที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่หญิงสาวผมสีม่วงทรงทวินเทลที่ชื่อว่า มายะ ได้พูดตอบกลับไปเพียงแค่ครั้งเดียวสั้นๆ ได้ทำให้หญิงสาวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเครื่องสื่อสารร้องถามขึ้นมาเสียงดังเมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากคู่สนทนาของเธอ
ซึ่งเสียงร้องเรียกด้วยความเป็นห่วงนั้นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้มายะสติที่แทบจะหลุดลอยไปเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการฝืนเชื่อมต่อกับระบบป้องกันทั่วทั้งเมืองพร้อมๆ กันตั้งสติขึ้นมาได้และรีบพูดตอบอีกฝ่ายกลับไป
“ยังไหว… แต่ว่ามันก็อย่างที่เธอเห็นว่าระยะทำการของอาวุธพวกนั้นมันไกลตั้งขนาดไหนน่ะ… ต่อให้พวกเราจะหนีไปจนถึงเมืองซายูกิที่อยู่สุดขอบทวีปได้ก็เถอะแต่ว่าอาวุธพวกนั้นก็คงจะตามไปถึงได้อยู่ดีล่ะนะ…”
“ก็เพราะแบบนั้นท่านประธานคนก่อนถึงติดต่อไปที่เมืองมาร์นาฟที่อยู่อีกทวีปนึงจนพวกเขายอมเปิดรับผู้อพยพแล้วไม่ใช่หรือไงล่ะ!? ฉันขอร้องเถอะนะมายะ… เธอรีบตัดการเชื่อมต่อกับระบบป้องกันพวกนั้นแล้วหนีออกมากับพวกเราเถอะ…”
“……..”
คำพูดข้อร้องด้วยความเป็นห่วงของหญิงสาวคนที่อยู่ปลายสายได้ทำให้มายะนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะปลดเข็มกลัดสีเขียวที่เธอสวมใส่เอาไว้ออกมาเพื่อจ้องมองดูมันด้วยแววตาเศร้าๆ อยู่ชั่วขณะแล้วจึงพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปเบาๆ
“ถึงเธอจะคิดว่าสิ่งที่ฉันทำมันดูโง่งมก็เถอะ… แต่ฉันเองก็เชื่อว่ามันไม่ได้เปล่าประโยชน์หรอกนะ… การที่ฉันตัดสินใจจะอยู่ที่นี่เพื่อร่วมต่อสู้กับสมาชิกกลุ่มดอว์นคนอื่นๆ มันจะช่วยพลิกสถานการณ์ให้กับพวกเขาที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อนได้แน่ๆ … เหมือนกับแสงสว่างยามรุ่งอรุณที่ตัดผ่านความมืดมิดยามค่ำคืน… เหมือนกับความหมายของคำว่า ดอว์น ที่ท่านประธานเคยพูดเอาไว้…”
“ต…แต่ถ้าทำแบบนั้นเธอเองก็อาจจะตายได้เหมือนกันนะ!!”
“ตาย… งั้นหรอ”
เสียงร้องตะโกนที่ฟังดูเหมือนกับจะร้องไห้ของหญิงสาวคนที่อยู่ปลายสายได้ทำให้มายะพูดพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับเหลือบสายตากลับไปมองดูกรอบสีแดงบนหน้าจอของเธอที่ยังคงปรากฏเพิ่มขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งจุดสีดำบางจุดที่ถูกตีกรอบสีแดงเอาไว้เองก็ได้พุ่งเข้ามาใกล้จนเธอสามารถเห็นรูปร่างของมันที่มีลักษณะเหมือนกับหอกเหล็กสีดำขนาดยักษ์ที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ที่ส่วนท้ายของมันได้อย่างถนัดตาแล้วด้วย
“เรื่องนั้นถ้าไม่ลองดูก่อนก็ไม่รู้ไม่ใช่หรือไง… แล้วอีกอย่างนึง… จะให้ฉันยอมแพ้แล้วทิ้งเมืองนี้ไปทั้งๆ ที่ยังมีเพื่อนๆ ของพวกเราต่อสู้เพื่อปกป้องมันอยู่ไม่ได้หรอกนะ!!”
“ยัยบ้าเอ๊ย!! เธอนี่มันเหมือนกับท่านประธานคนที่แล้วไม่มีผิดเลย…”
“ก็นะ… ฉันเองก็ได้เขาสอนอะไรมาตั้งหลายอย่างนี่นา… เอาล่ะ ต่อไปนี้จะเป็นคำสั่งสุดท้ายของฉันในฐานะประธานนักเรียน… ฉันขอสั่งให้สมาชิกของกลุ่มดอว์นที่ได้รับหน้าที่อพยพชาวเมืองพาพวกเขาหนีไปยังสถานที่ปลอดภัยให้ได้และจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงห้ามใครหันหลังกลับมาช่วยเหลือเด็ดขาด… เข้าใจหรือเปล่าคุณรองประธานสภานักเรียนและว่าที่หัวหน้ากลุ่มดอว์นรุ่นที่สาม…”
“เข้าใจแล้ว… แต่เธอเองก็ต้องสัญญาด้วยนะว่าถ้าเกิดว่าทุกอย่างจบลงแล้วเธอรอดมาได้เธอจะต้องรีบตามพวกฉันไปที่เมืองนั่นด้วยเหมือนกันน่ะ…”
หญิงสาวที่อยู่ปลายสายการสื่อสารของมายะได้พูดตอบกลับมาเบาๆ จนทำให้มายะที่ได้ยินแบบนั้นได้เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาเพราะว่าถ้าคิดตามความเป็นจริงแล้วเรื่องแบบนั้นมันคงจะเกิดขึ้นได้ยากเหลือเกิน
แต่ถึงแม้ว่าความเป็นจริงมันจะเป็นยังไงก็ตาม มายะก็ยังคงเชื่อมั่นในความเป็นไปได้เล็กๆ ที่ทำให้ทุกคนตัดสินใจที่จะยอมเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้เพื่อปกป้องอนาคตของโลกใบนี้และพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตลกนิดๆ
“อื้ม… ฉันสัญญา… ถ้าเกิดว่าเรื่องทุกอย่างจบลงเมื่อไหร่ฉันจะพาทุกๆ คนขึ้นเรือตรงไปหาเธอให้ถึงที่เมืองมาร์นาฟเลย ทั้งพวกนากาคุง ทั้งพวกสมาชิกหน่วยจู่โจมของกลุ่มดอว์น แล้วก็พวกทหารที่ออกไปต่อสู้ถ่วงเวลาให้กับทุกๆ คนนั่นด้วย… เธออย่าลืมเตรียมจัดปาร์ตี้ต้อนรับให้พวกฉันด้วยล่ะ…”
“ยัยบ้าเอ๊ย… ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นได้จริงก็คงจะดีน่ะสิ…”
ปิ๊บ
หญิงสาวที่อยู่ปลายสายการสื่อสารได้พูดตอบกลับมาเบาๆ ก่อนที่สายการสื่อสารของพวกเธอจะถูกตัดขาดไป และนั่นก็ทำให้มายะละสายตาออกมาจากเข็มกลัดสีเขียวประดับพู่สีดำของเธอเพื่อหันกลับไปจ้องมองดูหอกเหล็กสีดำขนาดยักษ์ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาในหน้าจอของเธอและพิมพ์คำสั่งอะไรบางอย่างลงไปจนทำให้จอภาพจำนวนมากที่ถูกติดเอาไว้บนกำแพงด้านหลังของเธอปรากฏภาพของมุมกล้องที่ติดอยู่ด้านบนของป้อมปืนจากมุมต่างๆ ภายในเมืองขึ้นมา
และหลังจากนั้นมายะก็ได้หันหลังกลับไปมองดูภาพจากป้อมปืนต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมากพร้อมกับกำหมัดแน่นและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นโดยไม่ได้รู้สึกถึงของเหลวสีแดงที่เริ่มจะไหลซึมออกมาอีกครั้งเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ…! จนกว่าเพื่อนๆ ของฉันจะกลับมา ฉันจะเป็นคนหยุดพวกแกทั้งหมดเอาไว้เอง!!”
ปังปังปังปังปัง!!!
ฟ๊าววววววว—
“อาวุธพวกนั้นมากันอีกแล้ว รีบหลบกันเร็ว!!”
ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก หลังจากที่แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากหอกเหล็กขนาดยักษ์ที่ตกกระทบลงที่ใจกลางสนามรบเพิ่งจะสงบลงไปได้ไม่ทันไรก็ได้มีเสียงร้องเตือนของชายหนุ่มผมสีดำในชุดเครื่องแบบที่ดูคล้ายกับชุดนักเรียนสีขาวดังขึ้นมาเพื่อเตือนพวกทหารและเพื่อนนักเรียนที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ กันเมื่อเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างกำลังพุ่งตรงเข้ามาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะต้องรีบหดหัวกลับลงไปในร่องดินที่ถูกขุดเอาไว้เป็นสถานที่หลบภัยในการตั้งรับการโจมตีเมื่อมีฝนกระสุนจำนวนหนึ่งจากอีกฟากหนึ่งของสนามรบถูกส่งตรงเข้ามาทางเขาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งที่ด้านในร่องดินเองนั้นก็มีหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่มีเขาสีดำประดับอยู่ที่ข้างศีรษะที่แต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบคล้ายๆ กันกำลังมองดูอาการบาดเจ็บของหญิงสาวอีกคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดสอบถามอะไรขึ้นมา หอกเหล็กขนาดยักษ์พวกนั้นก็ได้พุ่งผ่านท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขาไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็วจนทำให้ชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นสามารถคาดเดาได้ในทันทีว่าเป้าหมายของอาวุธเหล่านั้นในคราวนี้ไม่ใช่พวกเขาแต่ว่าเป็นตัวเมืองที่ถูกใช้เป็นที่มั่นในการตั้งรับที่ตั้งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออก หรือไม่ก็ถ้าเป็นในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเป้าหมายของหอกยักษ์พวกนั้นก็อาจจะเป็นขบวนอพยพที่เพิ่งจะเคลื่อนตัวออกจากเมืองไปตามแผนการอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวสิ— ไม่ใช่ว่าทางฐานบังคับการเพิ่งจะประกาศดำเนินการทำตามแผนอพยพขั้นสุดท้ายไปเมื่อกี้นี้เองไม่ใช่หรอ แบบนี้พวกระบบป้องกันของตัวเมืองมันก็ไม่ทำงานแล้วสิ!?”
“ก็ใช่น่ะสิคะ! เพราะแบบนั้นพวกเราถึงต้องลงมาหดหัวกันอยู่ในรูนี่เพราะว่าไม่มีระบบป้องกันของทางเมืองคอยช่วยเหลือนี่ไงล่ะคะ!!”
ปังปังปังปังปัง—ตู้ม!!
ในขณะที่หญิงสาวผมสีน้ำเงินกำลังร้องโวยวายออกมาอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของปืนที่มีขนาดใหญ่ดังขึ้นจากที่ไกลๆ อย่างต่อเนื่องพร้อมๆ กับที่มีฝนกระสุนจำนวนมากพุ่งออกมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกขึ้นไปปะทะกับหอกเหล็กยักษ์พวกนั้นจนทำให้มันระเบิดออกกลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่างราวกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ
“นั่นมันระบบป้องกันของตัวเมืองนี่คะ… แต่ว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนการแล้วในตอนนี้ในเมืองนั่นน่าจะไม่มีใครเหลืออยู่แล้วนะคะ…”
“อย่าบอกนะว่ายัยบ้านั่น—”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ในขณะที่ชายหนุ่มผมสีดำที่ดูเหมือนว่าจะสามารถคาดเดาได้ว่าเพราะสาเหตุใดระบบป้องกันของตัวเมืองถึงกลับมาทำงานได้อีกครั้งหนึ่งกำลังจะพูดบ่นออกมาอยู่นั้นเอง เครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่ทั้งตัวเขาและหญิงสวมผมสีน้ำเงินสวมใส่เอาไว้ก็ได้ส่งเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างออกมาก่อนที่มันจะส่งเสียงของหญิงสาวผมสีม่วงทรงทวินเทลที่ชื่อว่ามายะตามออกมา
“ถึงเหล่านักเรียนและสมาชิกกลุ่มดอว์นรวมถึงกองกำลังทหารของเมืองรีมินัสทุกคน ดิฉัน มายะ ลูแคสตร้า ผู้บัญชาการภารกิจในครั้งนี้… ตอนนี้ขบวนอพยพของชาวเมืองและบุคลากรต่างๆ ได้ออกเคลื่อนตัวไปจากเมืองรีมินัสตามแผนการ ลาส เจอร์นี่ย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้แนวหน้าทุกนายถอนกำลังออกมาจากแนวหน้าแล้วมาปักหลักป้องกันอยู่ที่ตัวเมืองด้วยค่ะ! อ้อ… แล้วก็ทางฝั่งของหน่วยที่หนึ่งระวังกระสุนปืนใหญ่ที่ฉันยิงไปสนับสนุนด้วยนะคะ”
ฟ๊าววววววว— ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!
หลังจากที่สิ้นเสียงประกาศผ่านทางเครื่องมือสื่อสารได้ไม่ทันไรก็ได้มีเสียงของลูกกระสุนที่กำลังพุ่งแหวกอากาศดังขึ้นมาให้ชายหนุ่มและหญิงสาวได้ยินก่อนที่จะเกิดระเบิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตรงบริเวณที่กองทัพของศัตรูกำลังปักหลักสาดกระสุนเข้ามาหาพวกเขาอยู่จนทำให้ฝนกระสุนที่ถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่องหยุดชะงักไป และนั่นก็ทำให้หญิงสาวผมสีน้ำเงินรีบก้มลงไปพูดบอกหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่นอนเจ็บอยู่ในทันที
“กำลังเสริมมาแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบพาคุณไป—”
“……..”
“….ฉันจะรีบพาคุณไป… ไป… บ้าจริง!!”
ในขณะที่หญิงสาวผมสีน้ำเงินกำลังเอ่ยปากพูดออกมาอยู่นั้นเธอก็ได้สังเกตเห็นว่าหญิงสาวคนที่บาดเจ็บอยู่ได้นอนแน่นิ่งไปกับพื้นโดยไร้ซึ่งจังหวะของชีวิตเสียแล้วเธอจึงได้แต่ต้องกัดฟันพูดขึ้นมาด้วยความอัดอั้น
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ชายหนุ่มผมสีดำได้แต่ต้องยื่นมือไปเลื่อนปิดเปลือกตาให้กับหญิงสาวผู้จากไปเบาๆ แล้วจึงร้องเรียกหญิงสาวผมสีน้ำเงินขึ้นมา
“พวกเรารีบกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ กันก่อนเถอะ… ระหว่างนั้นเธอลองมองหาพวกรถหรือว่าอุปกรณ์อะไรที่น่าจะยังใช้งานได้ด้วยล่ะ”
“…ค่ะ”
หญิงสาวผมสีน้ำเงินพูดตอบชายหนุ่มกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะละสายตาออกมาจากหญิงสาวผู้ล่วงลับและรีบแบกอาวุธของเธอที่เป็นขวานศึกขนาดใหญ่วิ่งตามหลังชายหนุ่มผมสีดำไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของมายะดังออกมาจากเครื่องสื่อสารของชายหนุ่มผมสีดำอีกครั้งหนึ่ง
“จากฐานบังคับการถึงหัวหน้าหน่วยรบที่หนึ่ง ฉันสั่งให้กองกำลังสำรองขับรถออกไปรับพวกคุณแล้วค่ะ… แต่ว่าพวกเขาเป็นกองกำลังส่วนสุดท้ายที่พวกเรามีแล้วจริงๆ นะคะ…”
“นี่อย่าบอกนะว่าที่เธอติดต่อเข้ามาบอกฉันแค่คนเดียวนี่เป็นเพราะว่าเธอไม่อยากจะให้คนอื่นๆ เขาใจฝ่อกันไปหมดก่อนจะได้สู้น่ะมายะ?”
“ค่ะ… แล้วฉันเองก็มีอีกเรื่องนึงที่อยากจะขอร้องคุณที่เป็นผู้บังคับบัญชาภาคสนามอยู่ด้วย…”
“…….”
ปิ๊บ
คำพูดของมายะได้ทำให้ชายหนุ่มผมสีดำเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมากดไปที่เครื่องสื่อสารของเขาจนมันส่งเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ แล้วจึงพูดถามมายะที่อยู่ที่ปลายสายกลับไป
“ไหนลองว่ามาสิ”
“หลังจากที่พวกคุณรวมพลกันเสร็จแล้วฉันอยากจะให้พวกคุณกระจายตัวกันอีกครั้งนึงเพื่อช่วยกันรวบรวมพวกทหารที่ยังเหลืออยู่แล้วพาพวกเขาหลบหนีตามขบวนอพยพไปด้วยค่ะ”
“…แล้วถ้าเกิดว่าพวกฉันทำแบบนั้นแล้วใครจะเป็นคนถ่วงเวลาหยุดศัตรูเอาไว้ให้กับขบวนอพยพล่ะ?”
“ฉันจะเป็นคนทำเองค่ะ ตอนนี้ฉันเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับระบบอาวุธทั้งหมดของเมืองรีมินัสเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพราะงั้นฉันสามารถหยุดพวกนั้นเอาไว้จนกว่าพวกคุณกับทุกๆ คนจะข้ามมหาสมุทรไปถึงเมืองมาร์นาฟได้—”
“นี่เธอกำลังจะบอกว่าเธอจะเป็นคนใช้อาวุธที่คุณเอริกะเขาติดตั้งเอาไว้ให้ทุกๆ คนใช้งานไปถ่วงเวลาด้วยตัวคนเดียวทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วตัวเธอเองก็ควรจะนั่งอยู่ในขบวนรถอพยพหลบหนีไปกับคนอื่นๆ ตั้งแต่แรกแล้วน่ะนะ…? ถ้าจะให้ฉันเดานี่ฉันคิดว่าคุณรองประธานเขาคงจะไม่รู้ว่าเธอทำอะไรแบบนี้จนกระทั่งเขาเห็นว่าระบบอาวุธในเมืองมันทำงานขึ้นมางั้นสินะ…?”
“…….”
มายะที่ถูกชายหนุ่มผมสีดำเปิดโปงเรื่องที่เธอแอบทำลงไปอย่างลับๆ ออกมาตรงๆ แบบนั้นได้ปิดปากเงียบไม่ยอมพูดตอบอะไรกลับมาจนทำให้ชายหนุ่มผมดำที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะใช้ไพ่ตายที่เขาเตรียมการเอาไว้ออกมาในทันที
“เธอรู้อะไรหรือเปล่าล่ะมายะ ต่อให้ทางด้านฉันจะยอมตกลงทำตามแผนการของเธอก็เถอะ แต่ว่าคนอื่นๆ ที่นั่งฟังกันอยู่นี่คงจะไม่ยอมทำตามดีๆ หรอกนะ… ใช่มั้ยล่ะทุกคน?”
ปิ๊บ
“ยัยบ้าเอ๊ย…”
“แหม่ๆ เธอนี่โตขึ้นเยอะเลยนะมายะจัง~ แต่ว่าในฐานะอดีตอาจารย์ของเธอแล้วฉันคงจะยอมปล่อยให้เธอทำอะไรแบบนั้นด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอกนะ~”
“นี่พี่มายะคิดว่าพวกหนูจะยอมปล่อยให้พี่มายะได้ทำตัวเท่ๆ อยู่ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ หรือไงกันคะ!?”
“—!?”
เสียงของหญิงสาวที่ฟังดูห้วนๆ กับเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูขี้เล่นและเสียงของเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ดังขึ้นมาในสายสนทนาที่ควรจะเป็นความลับระหว่างชายหนุ่มผมดำกับตัวเธอเองนั้นได้ทำให้มายะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพยายามพูดต่อว่าชายหนุ่มผมดำขึ้นมา
“นี่นาย—”
“พอดีว่าฉันเคยขอให้พวกอาจารย์เขาเพิ่มระบบนี้ให้กับเครื่องสื่อสารส่วนตัวของฉันมาได้สักพักนึงแล้วน่ะ เพื่อที่ฉันจะได้กระจายคำสั่งให้กับคนอื่นได้สะดวกๆ หน่อยแต่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เอามันมาใช้งานเอาซะตอนนี้… เอาเป็นว่าเธอคงจะได้ยินคำตอบของพวกฉันแล้วสินะ”
“เฮ้อ… ถ้าเกิดว่าจบเรื่องแล้วคงจะต้องมีการลงโทษกันยกหน่วยบ้างแล้วล่ะค่ะ…”
“หึ ถ้าเธอพูดอย่างนั้นงั้นเธอก็สัญญาก่อนสิว่าจะรอดไปกว่าจนจบเรื่องจะได้มาลงโทษพวกฉันได้น่ะ เพราะว่าทางด้านหน่วยจู่โจมของกลุ่มดอว์นอย่างพวกฉันไม่มีใครคิดจะตายไปก่อนหรอกนะ!”
“…ค่ะ! ถ้างั้นก็มาปกป้องบ้านของพวกเราจนกว่าพวกนากาเขาจะกลับมากันเถอะค่ะ!!”
MANGA DISCUSSION