Artifact Reading Inspector - ตอนที่ 19
TL : ขอแก้ชื่อของเจ้านายของโมโมโกะเป็น “มิซึโนะ โทรุ นะครับ
“ฮา… เฮ้ ฉันเหนื่อยแล้ว เราช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม?”
แฮจินช้าลงเมื่อเขาเห็นบยองกุกหอบ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ขโมยอะไรมา แต่เขาก็ยังรู้สึกประหม่า
“โอเค เราไปหาอะไรดื่มที่ร้านกาแฟตรงนั้นกันดีกว่า”
“ได้เลย ฮฺ่ เหนื่อยแทบตาย”
พวกเขาสั่งเครื่องดื่มของตัวเองและนั่งลง จากนั้นก็ใช้เวลาสักพักในการหายใจ
บยองกุกถามออกมา “เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? ทําไมโมโมโกะถึงบอกความลับพวกนั้นกับเรา และเธอรู้ได้ยังไงว่าเธอจะบอกเราทุกอย่าง?
แฮจินไม่สามารถพูดได้ว่ามันคือเวทมนตร์ แม้ว่าเขาจะสนิทกับบยองกุก แต่เขาก็รู้ตัวดีว่ามันเป็นความลับที่ไม่ควรพูดออกมาดังๆ
“ที่จริงแล้ว”
“ที่จริงแล้ว?”
“ผมสะกดจิตเธอ”
“อะไรนะ? สะกดจิตเธอ? ตอนไหน?”
แม้มันจะไม่สมเหตุสมผล แต่นั่นก็เป็นข้อแก้ตัวเดียวที่แฮจินคิดได้
“ผมสะกดจิตเธอทันทีที่เราเข้าไปในแกลเลอรี่ ผมกังวลว่ามันอาจจะไม่ได้ผล แต่ใครมันจะไปคิดกัยล่ะว่ามันจะทํางานได้ดีขนาดนี้”
“จริงเหรอ? เธอสะกดจิตเธอจริงๆ?”
“ใช่ ผมเคยไม่เชื่อเรื่องนั้น แต่คุณก็น่าจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของผม ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าไปในสุสานประหลาด และติดโรคหนึ่งที่แม้แต่แพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้”
“ใช่ แน่นอน ฉันรู้เรื่องนั้น”
“ผมพยายามทําทุกอย่างเพื่อรักษาเขา ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินมาจากนักจิตวิทยาว่าการสะกดจิตตัวเองสามารถใช้ได้กับโรคร้ายแรงแม้กระทั่งกับมะเร็ง หากมีคนเชื่อว่าตัวเองฟื้นตัวเต็มที่แล้วจากนั้นก็ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอผลที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้น”
“อืม ฉันคิดว่าเคยเห็นมันในข่าว”
“ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ทักษะการสะกดจิตจากนักจิตวิทยาคนนั้นและคิดว่าถ้าผมทําให้พ่อเชื่อว่าเขาฟื้นแล้วเขาจะหายดีจริงๆ… เฮ้อ… อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่ผมพบเขาอีกทีมันก็สายไปแล้ว ส่วนนี้คือจี้ที่ผมใช้สะกดจิตคน”
จากนั้นแฮจินก็หยิบสร้อยคอนางฟ้าตัวน้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาซื้อมันมาระหว่างเดทกับแฟนเก่า จากนั้นเขาก็ทิ้งมันไว้ที่ไหนสักแห่งและตัดสินใจนํามันมาด้วยสําหรับสถานการณ์ในครั้งนี้
ส่วนสาเหตุที่เขาไม่ทิ้งมันไปเพราะ… เขาขี้เกียจและไม่ได้สนใจมันจริงๆ
อย่างไรก็ตามการที่เขาต้องลากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้มันทําให้เขารู้สึกแย่ พ่อครับผมขอโทษ
“โอ้ ฉันก็หวังว่าเขาจะมาหาเธอเพื่อรักษาโรคของเขา! แต่มันก็สายเกินไป ดังนั้นเธอก็ถูกเธอสะกดจิตแล้วสารภาพทุกอย่างงั้นเหรอ? แล้วการสะกดจิตของเธอทําได้มากแค่ไหน?”
เป็นเรื่องปกติที่บยองกุกจะสงสัยเขา อย่างไรก็ตามมันคงไม่มีใครคิดหรอกว่า “ไม่ใช่ว่าแฮจินเพิ่งใช้เวทมนตร์งั้นเหรอ?
ส่วนข้ออ้างว่าโมโมโกะหลงเสน่ห์ก็คงใช้ไม่ได้เช่นกัน บางทีเธออาจถึงขั้นถามตัวเองเลยด้วยซ้ําว่า “นี่ฉันหลงเสน่ห์ของปาร์ค แฮจินงั้นเหรอ?” แล้วหลังจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? และถึงแม้ว่าเธอจะคิดอย่างนั้นแล้วใครมันจะเชื่อเธอ?
ทางกล้องวงจรปิดก็มีไว้เพื่อพิสูจน์ว่าแฮจินมองไปที่ศิลาดลเท่านั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนคิดว่าโมโมโกะที่ตื่นตระหนกเพราะแฮจินใช้เวทมนตร์กับเธอ
หากมิซึโนะ โทรุเจ้านายของโมโมโกะได้ยินคําแก้ตัวของเธอ เขาคงคิดว่าเธอเข้าข้างซองจุนและบอกเขาทุกอย่าง
ไม่มีคนสติดีที่ไหนหรอกที่คิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเวทมนตร์
“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะได้ผลมากขนาดนี้ บางทีผมอาจจะมีพรสวรรค์ก็ได้ ยังไงก็เถอะผมว่าเราควรเก็บเรื่องนี้ เอาไว้เป็นความลับเพื่อที่ผมจะได้ยังสามารถสะกดจินคนอื่นได้ โอเคไหม?”
“โอ้ แน่นอน ฉันไม่รู้ว่าจะไปบอกใครด้วยซ้ํา?”
แฮจินรู้ว่าบยองกุกกําลังคล้อยตามข้ออ้างของเขา ดังนั้น เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ยังไงก็เถอะผมไม่เห็นรู้เลยว่าถ้วยชาอันนั้นมันเป็นของแม่ ทัพอีซุนชิน
“เธอไม่รู้? แล้วทําไมเธอถึงยังทําแบบนั้น?”
“เพราะยิ่งผมคิดถึงมันมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลก ถ้วยชาไม่ได้ไร้ค่า แต่ศิลาดลมันมีค่ามากกว่าอย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังยืนกรานที่จะแลกเปลี่ยนมัน ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันต้องมีบางอย่างที่เราไม่รู้ และผมก็ไม่สามารถบอกได้ ว่าผมไม่รู้ต่อหน้าลูกสาวของรองประธานกรรมการ ดังนั้นผมจึงของเวลาและแน่นอนว่ามันมีบางอย่าง…”
แฮจินคิดว่าเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในขณะที่ส่ายหัว
“ฉันก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน ไม่มีใครที่จะแนะนําการข้อตกลงแบบนั้นยกเว้นแต่จะเป็นไอโง่ แล้วตอนนี้เธอจะทํายังไงต่อ? เราสามารถบอกพวกเขาในสิ่งที่เราเพิ่งได้ยินได้ แต่ถ้าโมโมโกะบอกว่าเรากําลังโกหก มันก็คงจะจบแค่นั้น”
แฮจินบันทึกทุกสิ่งที่โมโมโกะพูดเอาไว้แล้วเหมือนอย่างตอนหน่วยงานประเมินราคาชอนจิน แต่เขาไม่สามารถเล่นบันทึกต่อหน้าซองจุนได้ เขาคงจะต้องรู้สึกแปลกๆแน่ที่โมโมโกะกําลังบอกทุกอย่าง
ให้บอกเขาว่าเธอถูกสะกดจิตเลยยอมบอกทุกอย่างให้? นั่นมันเสี่ยงมาก แฮจินสามารถเชื่อใจบยองกุกได้เพราะแม้ว่าพวกเขาจะแตกหักกันในภายหลัง บยองกุกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าโจรปล้นสุสาน อย่างไรก็ตามแฮจินก็ไม่สามารถทําตัวเด่นต่อหน้าซองจุนที่มีทั้งอํานาจและความมั่งคั่งได้เช่นกัน
“ผมควรบอกเขาเรื่องสมบัติของตระกูลเทราอุจิ แน่นอนว่าผมต้องแต่งเรื่องโกหกเพิ่มเข้าไปอีก และคุณต้องช่วยผมในส่วนนั้น”
“เธอต้องการให้ฉันช่วยทําให้เรื่องของเธอน่าเชื่อถือ? เธอก็รู้ว่าฉันทําได้ดี”
“ประเด็นคือผมไม่รู้ว่าสมบัติของเทราอุจิเขียนไว้ว่ายังไง แต่เมื่อพวกเขาพบว่าถ้วยชาเป็นของแม่ทัพอีซุนชิน พวกเขาก็จะไม่สามารถขายมันได้”
“มันแน่อยู่แล้ว ใครจะกล้าขายถ้วยชาของอีซุนชินกัน? มันเป็นถึงสมบัติของชาติเชียวนะ!”
ความจริงแล้วถ้วยชามันไม่ถือว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่เป็นสมบัติที่มีความหมายอันยิ่งใหญ่และมีมูลค่ามากมายมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ชื่นชมอีซุนชินยิ่งแล้วใหญ่
“อะ แต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่นะว่าสมบัติตระกูลเทราอุจิคืออะไร เฮ้อ…. ผมน่าจะถามเธอด้วย แต่เธอดันหนีไปซะก่อนผมเลยถามไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ”
แฮจินคิดว่าถ้าเขาใช้เวทมนตร์ของเขา เขาก็จะได้รับคําตอบจากเธออย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเธอกลับวิ่งหนีไป.. กลายเป็นว่าเวทมนตร์ที่ใช้เค้นความจริงมีข้อบกพร่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้
“ไม่มีอะไรที่เราทําได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เรากําลังจะไปแซยอนแกลเลอรี่กันใช่ไหม? ซูจองกําลังจะมาถึงในคืนนี้ ดังนั้นพวกเราต้องไปสนามบิน
“แต่งานนี้มันได้เงินค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็สิบล้าน”
“เฮ้ เธอเพิ่งหาเงินได้ห้าร้อยล้านไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ”
“คุณหมายถึงเงินห้าร้อยล้านที่ยังไม่เข้าบัญชีของผม? เงินที่ผมยังไม่เห็นเลยด้วยซ้ํา ”
“อืมม. ยังไงก็เถอะเราควรจบงานนี้ให้เร็วที่สุด รีบไปกันเถอะ”
บยองกุกรีบลุกขึ้นและเดินออกจากร้านอย่างอายๆ ทําให้แฮจินยิ้มและเดินตามหลังเขาไป ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะกินมื้อเที่ยง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบตรงไปยังแซยอนแกลเลอรี่ทันที เมื่อพวกเขามาถึงก็พบกับอื่นแฮที่กําลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานนิทรรศการ
“เรียบร้อยแล้ว?”
“ใช่ครับ คุณช่วยโทรเรียกคุณฮโยยยอนให้ผมด้วย ผมได้ข้อสรุปแล้วดังนั้นเราควรพบกัน อีกอย่างผมควรรายงานเธอหรือพ่อของเธอดี?”
อึนแฮต้องสงสัยมากแน่ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรกลับเมื่อเห็นว่าแฮจินไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “เธออดทนเก่งจริงๆ” แฮจินคิด
“ได้เลยงั้นช่วยรอสักครู่นะคะ”
ไม่นานเธอก็กลับมา
“คุณพอมีเวลาไหม? เราต้องไปที่พย์องชั่ง”
“เขาเป็นถึงรองประธานกรรมการแต่กลับมีเวลาว่างมาก? นี่มันยังไม่เที่ยงเลย แต่เขาจะให้เราไปพบที่บ้านของเขา”
นั่นอาจฟังดูเหมือนไม่พอใจ แต่แฮจินตอนนี้กําลังยิ้มจางๆ
“ลุงของฉันมีประชุมสําคัญที่บ้านของเขา อีกอย่างเขาไม่ได้ไปทํางานทุกวัน
“โอ้…. ดังนั้นคนรวยก็มีวิธีการทํางานที่แตกต่างจากเรา ยังไงเราก็ไปกันเถอะ”
“เราไปด้วยรถของฉันกันเพราะเขาขอให้ฉันมากับคุณ”
อึนแฮดูประหม่าขณะที่เธอกําลังขับรถ การได้พบกับซองจุนลุงของเธอและรองประธานกรรมการอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับเธอ
มันเป็นการพบกันครั้งที่สองของพวกเขาและครั้งนี้ซองจุนดูใจดี
“ยินดีต้อนรับ เชิญนั่ง”
แฮจิน บยองกุก และอึนแฮนั่งลงตรงข้ามซองจุน
“ขอบคุณครับที่ส่งค่าประเมินให้ไวมาก”
ซองจุนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะถึงแม้มันจะฟังดูเหมือนกําลังขอบคุณ แต่ก็เป็นการร้องเรียนเรื่องที่ไม่ได้รับเงินสําหรับวัตถุโบราณที่ขายไป ในขณะที่ค่าธรรมเนียมการประเมินนั้นได้รับเร็วมาก
“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันยังไงมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนเงินที่เธอควรจะได้ผู้อํานวยการลีจะดูแลให้เธอได้รับเงินโดยเร็วที่สุด”
“โอ้ ขอบคุณครับ”
บยองกุกดูดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ไหนเธอบอกว่าจะต้องใช้เวลาสามวัน เธอมาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้”
“คือผมต้องตรวจสอบบางอย่าง และผมก็ทํามันเสร็จเร็วกว่าที่คิด”
“อืม”
ซองจุนพยักหน้า จากนั้นก็เป็นฮโยยอนที่วิ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมกับส่งเสียงดัง
“นายบอกว่าต้องใช้เวลาสามวัน แต่ดูเหมือนมันจะไวกว่านั้น พ่อคะหนูขออยู่ฟังด้วยได้ไหม?”
เธอนั่งลงก่อนที่ซองจุนจะตอบ นั่นคงเกิดขึ้นตลอดตั้งแต่ซองจุนไม่คิดจะดุเธอ เขามองไปที่แฮจิน
“ประการแรกศิลาดลสีเทาอมฟ้านั้นยอดเยี่ยมมาก คุณคงได้ยินเรื่องนี้จากคุณฮโยยอนแล้วซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกับเครื่องเคลือบองุ่นดําซึ่งเป็นสมบัติของชาติ แน่นอนว่าศิลาดลชิ้นนี้ไม่ใช่สมบัติของชาติ แต่มันมีมูลค่ามหาศาลแน่นอน”
เครื่องเคลือบองุ่นดําผลิตในกวานโย (เตาเผาสําหรับใช้ในรัฐบาล) และถูกตกแต่งโดยช่างฝีมือที่ดีที่สุดในยุคนั้น ทําให้มันมีคุณค่าทางศิลปะที่ไม่สามารถวัดได้
“ผมไม่ได้จะบอกว่ามันมีค่ามากขนาดนั้น แต่โดยรวมแล้วมันถือเป็นวัตถุโบราณที่ยอดเยี่ยม”
“อืม”
ปากของซองจุนขยับ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา
“หืมม… เท่าที่ฉันรู้ถ้วยชานั่นไม่ได้มีค่าเท่าศิลาดล เธอได้เห็นมันแล้วดังนั้นเธอน่าจะรู้ดี ผู้ประเมินรายอื่นบอกว่ามันมีมูลค่าไม่ถึงร้อยล้าน กระทั่งมันมีคนบอกเลยด้วยซ้ําว่าสามสิบล้านสําหรับมันก็ยังมากเกินไป นั่นคงเป็นเหตุผลสินะว่าทําไมเธอถึงขอเวลาสามวัน?”
“ก็ประมาณนั้น”
“ประมาณนั้น? งั้นเธอรู้ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาหรือไม่ หลังจากเธอตรวจสอบมันแล้ว?”
“ผมคิดว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ”
“นั่นฟังดูคลุมเครือนะ”
“ดังนั้นผมเลยไปหาหยาง โซจินเพื่อตรวจสอบ โดยเฉพาะคิตากาวะ โมโมโกะ เธอเป็นคนที่ทํางานให้กับมิซึโนะ โทรุชายที่จ้างหยางโซจิน”
ความสนใจของซองจุนพุ่งสูงขึ้น เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและถามด้วยเสียงต่ํา “ดังนั้น?”
“เธอบอกผมอย่างหนึ่ง ถ้วยชาใบนั้นถูกชาวญี่ปุ่นขโมยไป เมื่อประมาณศตวรรษที่แล้ว แต่มันเพิ่งหายไปในปี 1985 จากนั้นมันก็ถูกพบอีกครั้งในแซยอนแกลเลอรี่ ดังนั้นผมเลยถามออกไปว่าถ้วยชาใบนั้นเดิมเป็นของใคร และน่าแปลกที่เธอบอกว่ามันถูกขโมยมาจากลูกหลานของแม่ทัพอีซุนชิน”
ซองจุนรู้สึกประหลาดใจ
“แม่ทัพอี ซุนชิน?”
“ใช่ครับ จริงๆแล้วมันไม่มีบันทึกเกี่ยวกับถ้วยชาในเกาหลี ดังนั้นการจะประเมินมูลค่าที่แท้จริงจึงยากมาก อย่างไรก็ตามการที่พวกเขารู้เรื่องนี้มันเนื่องมาจากมีการบันทึกเกี่ยวกับถ้วยชาอยู่ในสมบัติที่ตกทอดมาในตระกูลเทราอุจิ และนั่นก็คือสาเหตุว่าทําไมพวกเขาถึงรู้ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาได้ทันที”
“อืมม. ตระกูลเทราอุจิ เธอหมายถึงตระกูลของเทราอุจิ มาซาทาเกะ? ผู้ว่าการคนแรกในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น?”
อย่างที่แฮจินคาดไว้ ซองจุนรู้จักตระกูลเทราอุจิ
“ใช่”
“แต่มันยังมีบางอย่างที่ฉันอยากรู้ เธอทําให้โมโมโกะยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังได้ยังไง? ฉันได้ยินมาว่าเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
นี่คือส่วนสําคัญ
“เราทําข้อตกลงกัน”
“ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไร?”
แฮจินรู้สึกสงสารโมโมโกะ แต่เขาไม่มีทางเลือก