หลังจากนั้นบทสนทนาจอมหลอกลวงก็ยังคงดำเนินต่อไป แม่เลี้ยงกับพ่อที่ทะนุถนอมลูกสาว สามีที่รักภรรยา รวมถึงฉันที่ยิ้มราวกับเขินอายเพราะบทสนทนาของพวกเขาพร้อมกับพูดเสริมเป็นครั้งคราว ไม่ว่าภายในใจจะรู้สึกยังไง ถ้ามองแค่เพียงภายนอก มันก็เป็นภาพที่เหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ
ระหว่างที่กำลังรับประทานผลไม้ง่ายๆ หลังรับประทานอาหารเสร็จ ฮวาน ลูกติดของแม่เลี้ยงและถือเป็นพี่ชายของฉันคนหนึ่งก็เดินเข้าบ้านมา
“เราเพิ่งจะทานข้าวเย็นกันไป ลูกก็น่าจะกลับมาให้เร็วกว่านี้สักนิดไม่ใช่เหรอ”
“ขอโทษครับ พอดีมีงานเลี้ยงต้อนรับสำคัญน่ะครับ ผมทานข้าวเย็นแล้ว ถ้าไม่ได้เตรียมแยกไว้ให้ผมก็ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเหรอ อ้อ ทักทายซะสิ ยอนจินเขามาทักทายพร้อมกับเจ้าบ่าวคังน่ะ”
ตอนนั้นพี่ฮวานถึงได้เบนสายตามาทางพวกเราแล้วสบตาทักทายกับสามีสั้นๆ ก่อนจะมองฉันแล้วยกยิ้มขึ้นบางๆ บนมุมปาก
“มาแล้วสินะ เพราะแต่งงานแล้วหรือเปล่าถึงได้ดูโตขึ้นอีกเนี่ย”
“งั้นเหรอ ฉันไม่รู้ตัวเลยนะ ยังไงก็เถอะ จะคิดซะว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”
“เป็นคำชมน่ะ ถูกแล้ว ฉันบอกว่าเธอสวยขึ้นไง”
ฉันเองก็ยิ้มเล็กน้อยให้กับคำพูดหยอกล้อนั่น
“ถ้างั้นก็ทำตัวตามสบายนะครับ”
พี่ฮวานพูดเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องตัวเองไปเปลี่ยนเสื้อผ้า การดำเนินบทสนทนาต่อไปท่ามกลางคนทั้งสามคนล้วนเป็นเรื่องที่ฉันไม่สามารถจดจ่อได้อีกต่อไป ในระหว่างบทสนทนาฉันจึงแอบลุกออกจากที่มาปอกผลไม้อีกรอบในครัวแล้วเอาขึ้นไปชั้นบน
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องครู่หนึ่ง เป็นเพราะมันยากที่จะเคาะประตูเพราะกำลังถือถาดอยู่ ฉันเลยใช้มือข้างหนึ่งจับถาดให้สมดุลกันให้มากที่สุด แล้วตั้งใจจะใช้มืออีกข้างเคาะอย่างระมัดระวัง
“เฮ้ย อันตรายนะ”
ทว่าแขนของใครบางคนกลับยื่นเข้ามาจากด้านหลัง แล้วมือใหญ่ก็รองถาดไว้อีกชั้น
พอฉันตกใจแล้วหันหน้าไปมองข้างหลังก็เห็นกรามคมสันของพี่ฮวาน เพราะอยู่ในท่าที่มืออีกข้างจับลูกบิดประตูอยู่ หลังของฉันจึงแนบสนิทกับแผ่นอกของพี่ชาย
“อ๊ะ ขอบคุณ คือ…ฉันเอาผลไม้มาให้กินน่ะ”
เพราะเป็นท่าทางที่ทำให้เก้อเขินโดยไม่มีสาเหตุ ฉันเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงก่อนจะขยับตัวออกอย่างเชื่องช้า พี่จึงดึงถาดจากมือของฉันไปถือเองพลางพยักพเยิดไปทางประตูห้องเหมือนบอกให้เดินเข้าไป
ฉันยืนงงหลังจากเข้ามาในห้องอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่พอเห็นพี่วางถาดไว้บนโต๊ะแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าก็เลยสะดุ้งพลางหันหน้าหนี เพราะตอนนี้พี่คงเพิ่งอาบน้ำเสร็จเลยสวมเพียงแค่เสื้อคลุมอาบน้ำ ขณะที่เขาปลดชุดคลุมอาบน้ำลงมาใต้ไหล่เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เดี๋ยวฉันออกไปให้พี่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน”
พอฉันพยายามไม่หันมองด้านนั้นแล้วเดินออกจากห้อง พี่ฮวานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ถึงอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่อะไรหรอกน่า พี่ชายกับน้องสาวมีอะไรให้อายกัน ยัยกายองน่ะ อย่าว่าแต่เขินเลย ยัยนั่นนั่งวิจารณ์ร่างกายพี่ด้วยซ้ำ”
“ถึงอย่างนั้น…”
เพราะเขาไม่ต่างอะไรกับคนอื่นที่ไม่มีสายเลือดเดียวกับฉันเลยแม้แต่หยดเดียวเลยน่ะสิ ต่างกับกายองที่เกิดมาจากพ่อกับแม่เลี้ยง
“ยังไงก็เถอะ ฉันจะออกไปอยู่แล้ว เพราะงั้นถ้าเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วก็เรียกนะ”
พูดเสร็จก็รีบปิดประตูแล้วออกมา
* * *
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางลูบตรงหน้าอกที่เต้นรัวด้วยความตกใจให้สงบลง เพราะเป็นพี่ชายที่สุภาพและดูโตตั้งแต่ตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่เขาพูดหยอกล้อออกมาจึงรับมือได้ยากไม่เหมือนปกติและลุกลี้ลุกลนไปเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์แล้ว แถมยังเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของผู้ชายมาบ้าง แต่ทำไมถึงได้ทำอะไรไม่ถูกแบบนี้นะ ความเสียดายว่าตัวเองน่าจะรับมือแบบเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้สักหน่อยถาโถมเข้ามา
“คุณหนูครับ ทีนี้เข้ามาได้แล้วครับผม”
“อ๊ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“อืม ตอนนี้เธอมีสามีแล้วนะ จะมาตกใจกับเรื่องแค่นี้ได้ยังไงกัน”
พี่ฮวานส่ายหัวไปมาราวกับเป็นห่วงจริงๆ
“ถึงพูดแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมองร่างกายผู้ชายคนอื่นนอกจากสามีนี่คะ ถึงจะเป็นพี่ชายก็เถอะ”
พี่ฮวานพูดเห็นด้วยออกมาว่า ‘อืม ก็ต้องเป็นแบบนั้นสิเนอะ’ ให้กับคำตอบของฉัน ก่อนจะเอ่ยถามออกมาราวกับสงสัย
“จริงสิ ไปฮันนีมูนมาสนุกไหมล่ะ”
“โอ๊ย เฉยๆ น่ะ”
“ทำไม ไม่ค่อยดีเหรอ”
“ก็แค่เฉยๆ”
“หรือว่าสามีดูแลไม่ดีงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น บ้านพักตากอากาศก็ดี ข้าวก็อร่อย อากาศก็ดี น้ำก็ใส มีหมาด้วย แถมยังได้ไปทะเลหลังจากไม่ได้ไปมานานมากแล้วด้วยนะ ดีมากๆ เลยแหละ”
“แล้วหมอนั่นล่ะ อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”
พอคำตอบเรื่องสามีออกมาแบบไม่ตรงคำถาม พี่ฮวานก็ทำหน้าเคร่งเครียดแล้วถามย้ำถึงคำตอบ
ฉันจึงกลั้นถอนหายใจแล้วตอบกลับเขาไปอย่างสุขุม
“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รักฉัน ทุกคนรู้กันอยู่แล้วนี่ ถึงอย่างนั้นก็นะ ฉันตั้งใจจะทำหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก”
เรื่องที่เขาไม่ได้ทำตามหน้าที่เลยแม้แต่น้อย ฉันเก็บไว้เป็นความลับเพียงคนเดียว บอกไปสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะทำให้เสียอารมณ์เปล่าๆ
แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตลอดระยะเวลาการแต่งงานของฉัน พี่ฮวานเจ็บใจและขุ่นเคืองใจยิ่งกว่าฉันเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังแต่งงาน พี่ก็ไม่เคยพอใจเลย ถึงขนาดกับไปโต้เถียงคุณพ่อแทน
ตอนที่ฉันแยกกันอยู่กับคุณทงอู คนที่สังเกตเห็นและตักเตือนฉันคนแรกก็คือพี่ พี่ถามว่ายังมีอะไรที่อยากได้จากผู้ชายแบบนั้นมากกว่านี้อีกเหรอ ถึงจะหย่าตอนนี้ก็ไม่สร้างความเสียหายให้ครอบครัวหรอก พี่บอกว่าพี่รู้ทุกอย่างก็เลยพูด อย่าทนใช้ชีวิตแบบนั้นแล้วหย่ากับเขาซะ แต่ฉันยังหลงเหลือความอวดดีอยู่ก็เลยปฏิเสธไปอย่างดื้อดึง พี่จึงมักจะหันหลังกลับไปด้วยใบหน้าเจ็บปวดเสมอเพราะท่าทีของฉัน
ตอนนี้ฉันเลยมีเพียงความรู้สึกผิดต่อพี่ฮวาน
“ไม่เป็นไรจริงๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ฉันก็เผชิญหน้ากับเขาตามหน้าที่เหมือนกัน”
“ไม่ใช่ว่าเธอมีใจให้คุณคังทงอูหรอกเหรอ”
พี่ฮวานถามออกมาอย่างระมัดระวังและห่วงใย เพราะฉันมีท่าทีชื่นชอบคังทงอูมาตลอดหลังจากนัดดูตัวกับเขา ไม่มีทางที่พี่จะไม่สังเกตเห็น
“ก็แค่ชื่นชมเท่านั้นแหละ ฉันไม่สนใจผู้ชายที่มีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้วหรอกนะ”
“เฮ้อ…พ่อคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงจะบอกว่าเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทก็เถอะ แต่ยกเธอให้ผู้ชายแบบนั้นมัน…”
“…”
“ถ้าทนมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ก็บอกพี่ได้ตลอดเลยนะ ไม่ว่าจะต้องทำยังไง พี่…”
“แต่โปรเจกต์ที่กำลังดำเนินการอยู่…”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกันมาตั้งแต่แรก ถึงเธอไม่ได้แต่งงาน แต่ถ้าเป็นประโยชน์ต่อบริษัท แล้วต่างฝ่ายต่างคาดการณ์ถูกต้อง มันก็ต้องเริ่มดำเนินการอยู่แล้ว”
“แต่ฉันก็เป็นตัวแปรที่สำคัญนะ ถ้าปฏิเสธข้อเสนอก็อาจจะล่มได้…”
“เพราะงั้นเรื่องนั้นแม่ก็เลย…!”
“แม่เหรอ”
เขาพูดเรื่องอะไรอยู่กันนะ… ระหว่างทำความเข้าใจ ฉันก็มองใบหน้าบูดเบี้ยวของพี่ฮวาน จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แม่เลี้ยงรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนกับฉัน
“เฮ้อ ขอโทษนะ”
“ทำไมพี่ถึงขอโทษล่ะ”
“ไม่หรอก เธอไม่รู้ แต่ดูยังไงก็เพราะฉัน…”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกนะ ฉันไม่ได้โทษแม่ด้วย ยังไงก็ต้องแต่งอยู่แล้วนี่นา”
ฉันรู้อยู่แล้วว่าทำไมพี่ฮวานถึงเอ่ยขอโทษ
แต่ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ คนที่ควรจะต้องขอโทษไม่ใช่พี่ฮวาน แต่น่าจะเป็นฉันมากกว่า
พี่ฮวานเป็นลูกติดที่ถูกแม่เลี้ยงพามาด้วยตอนแต่งงานใหม่กับพ่อ
คุณย่ารู้สึกว่าไม่คู่ควรหากเอาสายเลือดของครอบครัวอื่นเข้ามาปะปน ส่วนญาติๆ ก็คงกลัวว่าคนที่ปรากฎตัวกะทันหันอย่างพี่ฮวานจะกลายเป็นผู้สืบทอดบริษัทจึงพากันยกคุณย่ามาเป็นข้ออ้างแล้วเริ่มไปๆ มาๆ ที่บ้านตลอดเวลาพร้อมกับขวางกั้นอำนาจของเขาเอาไว้
พี่ฮวานต้องยอมฝืนทนสายตาของพวกเขาจนกระทั่งข้ออ้างที่พวกญาติๆ ใช้มาตลอดหายไปเพราะคุณย่าเสียชีวิตลง
ตอนนั้นฉันเองก็ถูกมองอย่างเกลียดชังเนื่องจากเรื่องน่าขายหน้าของแม่แท้ๆ พี่ฮวานคงสัมผัสความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับฉัน เขาจึงรู้สึกเห็นใจ
บางทีคงเพราะเขาโตประมาณหนึ่งแล้วเลยสามารถรับมือได้อย่างมีชั้นเชิง และยิ่งกว่านั้นยังมีแนวร่วมผู้แข็งแกร่งก็คือแม่เลี้ยงด้วย เขาบอกว่าต้องปกป้องฉันที่ยังเด็กและไร้ที่พึ่งพิงเลยอาจจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบก็ได้
เพราะพี่ฮวานมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล อีกทั้งยังหัวดี เป็นนักเรียนเกียรตินิยม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็สามารถทำได้อย่างราบรื่น จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่ลูกชายของแม่เลี้ยง เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้และสามารถพึ่งพาได้เช่นกัน
พี่ฮวานปฏิบัติต่อฉันด้วยความเอาใจใส่อย่างมากที่สุดเท่าที่ตัวเขาจะสามารถทำได้ ถึงแม้จะน้องสาวสายเลือดเดียวกับตนเองจริงๆ เกิดมาทีหลัง แต่เขาก็ไม่เคยแบ่งแยกฉันกับน้องเลย
น้องสาวคนเล็กที่ไม่อยู่บ้านตอนนี้เพราะไปเรียนต่างประเทศรู้ว่าฉันกับพี่ฮวานไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน เธอจึงทำตัวเย็นชาอยู่บ่อยๆ พลางบ่นพึมพำราวกับมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจอีกด้วย
เพราะพี่ฮวานเป็นแบบนั้น ฉันเลยไม่อยากสูญเสียความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวในครอบครัวที่ตัวเองสามารถพึ่งพิงได้ไป ถึงแม้จะรู้ว่าความรู้สึกของเขาคืออะไร แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และเพิกเฉยมัน
แกล้งทำตัวใสซื่อพร้อมกับรอยยิ้ม เอาแต่พูดว่าเชื่อในตัวพี่แล้วทำให้เขาสารภาพออกมาไม่ได้ ดังนั้น ถ้ามีใครบางคนต้องขอโทษ คนๆ นั้นก็ไม่ใช่พี่ฮวานหรอก แต่ต้องเป็นฉันเท่านั้น
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ แค่นั้นฉันก็พอใจแล้วล่ะ”
เพราะจริงๆ แล้ว ตัวฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์จะได้รับแม้แต่ความเป็นห่วงใยแบบนั้น
* * *
“อ๊ะ คุยกันเสร็จแล้วเหรอคะ”
เมื่อออกมาจากห้องของพี่ชาย ก็เจอสามีที่เพิ่งจะเดินขึ้นมายังชั้นสอง
“ใช่”
“ห้องของฉันอยู่ทางนู้นค่ะ”
ฉันชี้ไปทางประตูห้องที่อยู่ด้านขวาพลางพูดขึ้น
พอเข้าไปในห้องนอนที่ถูกตกแต่งด้วยสีขาวแทบทุกอย่าง คนเป็นสามียืนนิ่งอย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง คงเพราะอยู่ในห้องเพียงสองคนกับฉันที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันเท่าไรนัก ก็เลยสับสนขึ้นมาว่าจะต้องทำยังไงสินะ
หลังจากคิดขึ้นมาว่าเขาก็มีมุมน่ารักเกินคาดอยู่ด้วย ฉันก็หลุดหัวเราะออกมาสั้นๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปบนเตียงแล้วพูดกับเขากำลังมองฉันหัวเราะอยู่
“เชิญนั่งตามสบายเลยค่ะ จริงสิ เผื่อไม่รู้ ฉันเตรียมเสื้อมาให้ด้วย… คุณมามือเปล่าจริงๆ สินะคะ รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าต้องค้างก่อนแล้วถึงจะกลับ ก็น่าจะเตรียมมาสักหน่อยสิคะ”
พอนึกขึ้นมาได้ ฉันก็พูดเหน็บแนมเขา ไม่รู้ทำไมเวลามองใบหน้านิ่งเฉยนั่น ฉันก็เหมือนจะทำอะไรใจร้ายไปโดยไม่รู้ตัว
โชคดีที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ระหว่างที่คิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้สิ ฉันก็เอาเสื้อที่เตรียมมาเผื่อยื่นให้เขา
“ไปอาบน้ำเถอะค่ะ ประตูที่อยู่ตรงข้ามบันไดคือห้องน้ำค่ะ”
“…ขอบคุณที่เตรียมมาให้”
“เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ภรรยาก็ต้องดูแลสามี ถ้าไม่งั้นใครจะดูแลล่ะคะ”
เขามองฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ เพราะคำพูดนั้น
“ทำไมคะ ไม่ชอบให้ฉันพูดแบบนี้เหรอ แต่จะทำยังไงล่ะคะ เราแต่งงานกันแล้วนี่นา”
“ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก แต่…”
“จากนี้ไปคุณจะคุ้นเคยขึ้นค่ะ บทบาทของสามีน่ะ”
MANGA DISCUSSION