1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ - ตอนที่ 3-4 การเริ่มต้นครั้งใหม่
ตลอดเวลารับประทานอาหาร คุณพ่อสามีไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ท่านมีความสุขุมเยือกเย็นและเคร่งครัดในฐานะนักธุรกิจ อีกทั้งยังเข้มงวดกับลูกชายด้วย แต่ท่านก็พูดกับฉันด้วยความเมตตา ใกล้จะได้รู้แล้วว่าความโกรธเคืองของท่านมีมากมายแค่ไหน
คงเพราะทุกคนต่างจดจ่อกับมื้ออาหารเงียบๆ โดยไม่ได้พูดคุยอะไรกัน จึงทานอาหารเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่นาน
คนที่รับประทานอาหารเสร็จเป็นคนแรกคือคุณพ่อ หลังจากวางตะเกียบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียง ท่านก็หันไปพูดกับสามีของฉัน
“ทงอู ถ้าแกกินเสร็จแล้ว มาหาฉันที่ห้องด้วย”
“ครับ”
สามีหยุดตะเกียบในมือครู่หนึ่งแล้วมองคุณพ่อ ก่อนจะตอบออกมาอย่างแผ่วเบา
“คุณพ่อคะ ถ้างั้นหนู…”
“ไม่ต้อง ลูกสะใภ้ไม่ต้องมาด้วยหรอก ฉันมีเรื่องจะคุยกับเจ้าทงอูน่ะ”
หลังจากนั้นก็เหลือเพียงฉันกับคุณแม่สามีในห้องนั่งเล่น เพราะเขาเข้าไปพูดคุยกับคุณพ่อแล้ว
“แกกำลังทำอะไรอยู่กันแน่!”
เสียงตะโกนของคุณพ่อดังลอดเข้าประตูห้อง พอฉันสะดุ้งตกใจพลางมองไปทางประตูห้องเพราะเสียงตะโกนอย่างรุนแรง คุณแม่ก็ทอดสายตามองฉันพร้อมกับขยับมาจับมือ
ฉันเอ่ยถามคุณแม่ราวกับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
“คุณแม่คะ ทำไมคุณพ่อถึงได้โกรธ…”
“แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ถึงทำแบบนั้น อย่างน้อยถ้ายังเป็นคน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ก็ต้องรู้ว่าไม่ควรทำแบบนั้นกับภรรยาของตัวเองสิ! แม้กระทั่งคืนแรกของฮันนีมูน แกยังอดทนไม่ได้ ทำไมถึงทำตัวแบบนั้นฮะ!?”
“…”
ทว่าเสียงตะโกนของคุณพ่อกลับดังต่อก่อนคุณแม่จะตอบเสียอีก ฉันจึงแกล้งทำเป็นกัดริมฝีปากแน่นจากคำพูดที่เพียงพอจะคาดคะเนสถานการณ์ได้
ทันใดนั้นคุณแม่ก็กระชับมือข้างที่จับมือฉันอยู่ให้แน่นขึ้น
“คะ คุณแม่…”
“ใช่จ้ะ ได้ยินหมดแล้ว”
“ทำไม…”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ควรปกปิดเลยนะจ้ะ ฉันไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องฮันนีมูนหรอก แต่ไม่มีการติดต่อเข้ามา พวกเราก็เลยติดต่อไปหาคนดูแลแทน เพราะสงสัยด้วยว่าเป็นยังไงกันบ้าง แล้วก็ทักทายทางนั้นพร้อมกับฝากดูแลพวกหนูไปด้วย”
“อ๊ะ เพราะอย่างนั้น…”
กลายเป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วยสินะ ถึงแม้ฉันจะขอว่าไม่ให้พูด แต่ตัวต้นเหตุไม่ใช่ฉัน ถ้าลองคิดดูสักหน่อยก็จะรู้ได้ว่าถ้าเกิดพวกผู้ใหญ่ซักถาม คุณป้าก็คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกไปตามตรง
ฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย มองยังไงก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่คาดการณ์เอาไว้อยู่ ถึงแม้ช่วงเวลามันจะเร็วกว่าที่คิดก็เถอะ
“ฉันถามถึงพวกหนู ก็รู้สึกแปลกๆ ที่เขาพูดอึกอักก็เลยซักไซ้ เขาเลยเล่าให้ฟังหมดเลย ได้ยินว่าหนูขอร้องไม่ให้เขาบอกพวกเราด้วยเหรอจ๊ะ”
“ขอโทษที่ทำให้กังวลนะคะ”
“ไม่หรอก พวกเราสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ทำไมถึงไม่บอกพวกเราล่ะ ถ้าบอกให้รู้ก่อนหน้านี้…”
“ถ้าทำได้ ฉันก็อยากจะจัดการเองน่ะค่ะ”
ในดวงตาของคุณแม่เจือความอิ่มอกอิ่มใจกับคำพูดของฉัน
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ปกติทั่วไป แล้วพวกเราจะมองหน้าเธอกับครอบครัวของหนูได้ยังไงกันล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่ารู้สึกผิดมากเกินไปเลยค่ะ ยังไงช่วยเก็บเป็นความลับกับครอบครัวของหนูด้วยนะคะ หนูไม่อยากทำให้พวกเขาเจ็บปวดค่ะ”
ในใจคงมีส่วนที่กังวลอยู่ สีหน้าของคุณแม่จึงผ่อนคลายลงพอฉันพูดคำนั้น ทว่าหลังจากทำสีหน้าคลายความกังวลไปได้เปราะหนึ่ง อยู่ๆ ท่านก็กัดฟันขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วเอ่ยต่อ
“อืม พวกเราจะทำตามที่หนูต้องการแล้วกัน ฉันคิดแล้วว่ามันต้องเกิดเรื่องไร้มารยาทสักวัน ก่อนหน้านี้ฉันน่าจะทำให้อยู่ข้างๆ ทงอูไม่ได้อีก คนน่าสะอิดสะเอียนแบบนั้น…!”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ คนที่เข้าไปแทรกระหว่างพวกเขาทั้งสองคนตั้งแต่แรก น่าจะเป็นหนูมากกว่า ทั้งเขา ทั้งเธอ คงต้องการเวลาจัดการหัวใจของตัวเองเหมือนกันค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ พวกเรารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แล้วก็จะจัดการเองด้วย”
“จะทำยังไงเหรอคะ”
คงไม่ใช่ว่ากำลังวางแผนเรื่องเดียวกับเมื่อก่อนนะ ฉันจึงรีบถามขึ้นทันที
“ก็ต้องทำให้คิดอะไรไร้สาระ ไร้มารยาทแบบนั้นไม่ได้อีกน่ะสิ ถ้าหากทงอูพูดอะไรกับหนูเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ก็บอกพวกเราทันทีเลยนะ”
“อย่าเป็นแบบนั้นสิคะ หนูไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนูเถอะค่ะคุณแม่ การเปลี่ยนแปลงจิตใจของสามีเป็นหน้าที่ของภรรยาไม่ใช่เหรอคะ เพราะฉะนั้น…”
ฉันทำสีหน้าลำบากใจพลางปล่อยให้ท้ายประโยคเลือนหายไป
“แต่ว่า…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าใช้มาตรการรุนแรงไปตอนนี้ คุณทงอูคงจะไม่มีทางมีใจให้หนูจริงๆ เขาคงคิดว่าหนูอยากครอบครองสถานะนี้ ทั้งๆ เขาไม่เต็มใจ แล้วถ้าเกิดผู้หญิงที่เขารักถูกรังควานเพราะหนู ตอนนั้นคงจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้จริงๆ แน่ค่ะ”
คุณแม่ตกอยู่ในความกลุ้มใจพร้อมกับมองใบหน้าของฉัน ฉันสบตากับท่านแล้วพยักหน้าให้อย่างแน่วแน่ สื่อความหมายขอให้เชื่อในตัวฉัน
หลังจากมองท่าทางของฉัน ท่านจึงให้สัญญาว่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันก่อน และสุดท้ายเมื่อฉันเกลี้ยกล่อมและขอร้องคุณพ่อสามีได้สำเร็จเหมือนกัน ฉันจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
* * *
“ถูกต่อว่าเยอะมากไหมคะ”
ฉันเอ่ยถามสามีอย่างระมัดระวัง หลังจากอีกฝ่ายกลับมาที่ห้องแล้วคลายเนคไทออกราวกับเหนื่อยล้า
“คุณคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นคนบอกหรอกใช่ไหมคะ”
“…”
“คุณแม่บอกว่าเป็นห่วงก็เลยโทรไปที่บ้านพักตากอากาศค่ะ ฉันบอกคุณป้าไว้แล้วว่าไม่อยากให้พวกท่านรู้ แต่พวกท่านโทรไปโดยตรงเลย คุณป้าก็เลยต้องเล่าออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้น่ะค่ะ”
“ผมก็ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นคนเล่าหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีหน่อยค่ะ”
ฉันมองเขาปลดกระดุมด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ต จากนั้นก็ถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แล้ว คุณพ่อพูดว่าอะไรบ้างเหรอคะ”
“เตือนน่ะ”
“ว่าอะไรคะ”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วหันมาหาฉัน
“บอกให้ทำตัวดีๆ กับคุณ”
“แล้วอะไรอีกคะ”
“…”
“แค่นั้นเหรอคะ”
“เฮ้อ”
“ก็บอกว่าเตือนนี่นา น่าจะมีอะไรมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็มีแค่นั้นแหละ”
หื้ม? ไม่มีทางจะมีแค่นั้นแน่ๆ ไม่อยากบอกฉันมากกว่าล่ะมั้ง ก็นะ…เพราะถึงไม่ฟังก็จิตนาการได้คร่าวๆ แล้วว่าพวกเขาพูดคุยกันเรื่องอะไร ฉันจึงยินยอมแต่โดยดี
“ถ้างั้นไม่สงสัยเรื่องฉันเลยเหรอคะ”
“หืม”
“ระหว่างที่คุณกำลังคุยกับคุณพ่อ ฉันกับคุณแม่คุยเรื่องอะไรกันอยู่”
เขาไม่ได้ตอบอะไรออกมาชัดเจน แต่ทำสีหน้าสงสัยแทน ฉันเลยจงใจเว้นช่วงเงียบไม่พูด ถ้าไม่ถาม ฉันก็จะไม่พูดเหมือนกัน
“อะไรล่ะ”
“ท่านโกรธมากเพราะเรื่องคราวนี้ แล้วก็บอกว่าเธอคนนั้นเล่ห์เหลี่ยมเยอะ หลอกล่อผู้ชายในคืนแรกของฮันนีมูน ถ้าเอาแต่คอยดูแล้วปล่อยให้เธอทำตัวไร้มารยาทแบบที่ทำอยู่ เธอก็จะคิดอะไรไร้สาระ แล้วสุดท้ายก็ต้องเกิดเรื่องอีกแน่ๆ ค่ะ”
สามีทำสีหน้าคล้ายกับคาดไว้แล้ว
ฉันคิดว่าบางทีเขาอาจจะคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้และเตรียมพร้อมไว้แล้ว ระหว่างรอเขาส่งสายตาน่ากลัวหรือไม่ก็ทำท่าทางจนปัญญา ก็ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไร้ประโยชน์เลยพูดเรื่องต่อไปอย่างนุ่มนวลแทน
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันพูดให้เรียบร้อยแล้วว่าจะแก้ไขเรื่องคราวนี้เอง คุณแม่ก็บอกให้ทำแบบนั้น กับคุณพ่อ ฉันก็คุยแล้วก็ขอร้องเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกับเธอระมัดระวังตัวให้ดี ก็น่าจะไม่มีปัญหานะคะ”
“…งั้นเหรอ”
“สบายใจหรือยังคะ”
“ทำไมถึงทำขนาดนั้น”
“บอกไปแล้วนี่คะ ว่าฉันไม่คิดจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างคุณสองคน แล้วฉันก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนโดยเปล่าประโยชน์ด้วยค่ะ”
ฉันพูดต่อว่า ‘ฉันไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญใจ’ ก่อนจะพยักพเยิดไปทางโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายที่ดังขึ้นตั้งแต่เมื่อครู่นี้
“ไม่รับเหรอคะ”
คงไม่คิดจะรับ เขาถือมันไว้ในมือแล้วก้มมองเท่านั้น แต่ฉันทนดูท่าทางของเขาไม่ได้ก็เลยพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ รับสิคะ”
เขาทำหน้าตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา ถึงแม้จะไม่ชอบใจกับท่าทางราวกับกำลังสำรวจท่าทีของฉัน แต่ฉันก็รู้ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วล่ะ
“เธอคนนั้นนี่คะ รับเถอะค่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
เพราะเรื่องที่เคยพูดไปเมื่อวานหรือเปล่านะ
เขาทำเหมือนกลุ้มใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะกดปุ่มโทรศัพท์ ไม่ใช่ปุ่มรับสายแต่เป็นตัดสายแทน เมื่อเสียงเรียกเข้าเงียบไป ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ฉันทำตาโตด้วยความตกใจกับสถานการณ์เหนือความคาดหมายแล้วพูดขึ้นด้วยความงุนงง
“ก็แค่ขอให้รักษาบทบาทเล็กๆ น้อยๆ เองค่ะ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกันถึงขนาดนี้หรอก”
“ไม่ต้องรับก็ได้น่ะ”
เขาพูดเสริมว่าไม่ใช่สายจากผู้หญิงคนนั้น
“อ้อ งั้นเหรอคะ”
“แล้วก็…ถึงจะพูดแบบนั้น แต่จะให้รับสายทั้งที่ยืนอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันเหมือนผมไม่มีความละอายใจเลยนะ”
ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อย ตอนนั้นคุณทำท่าทางอารมณ์เสียให้ฉันเห็นอย่างไม่รู้สึกรู้สา บอกฉันว่าจะไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วก็ออกไปเลยนี่นา
ยังไงซะ เขาคงคิดแค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างบาดแผลให้เธอคนนั้น ก็เลยไม่จำเป็นต้องทำตัวใจร้ายเหมือนตอนนั้น การกระทำในตอนนี้ก็เหมือนกัน คงเพราะตอนนี้อยู่ที่บ้านของเขาด้วยเลยตัดสินใจไม่ทำอะไร
“จะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“อะไร”
“เดี๋ยวเธอจะเข้าใจผิดน่ะค่ะ”
“มีเรื่องให้เข้าใจผิดด้วยเหรอ”
“ถ้ารู้สึกเหมือนมีลางแปลกๆ แค่นิดเดียว แต่ผู้หญิงก็รู้นะคะ เรียกว่าเป็นเซนส์ของผู้หญิงก็ได้”
แต่เขากลับหัวเราะออกมาเพราะคำพูดนั้น ฉันพูดเรื่องจริงนะ คิดว่าล้อเล่นงั้นเหรอ
“วันนี้ก็จะแยกกันนอนใช่ไหมคะ เมื่อวานมันเป็นบ้านของฉัน ฉันเลยนอนบนเตียง งั้นเดี๋ยววันนี้ฉันนอนบนพื้นเองแล้วกันนะคะ”
“ไม่หรอก ไม่จำเป็นจะ…”
“คุณนอนกับฉันแล้วไม่สบายใจไม่ใช่เหรอคะ”
ฉันพยักหน้าให้กับท่าทางของเขา พร้อมกับพูดขึ้นราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“มีผ้าห่มสำรองอยู่ไหมคะ ถ้าในห้องไม่มี ฉันนอนแบบไม่ห่มผ้าก็ได้ค่ะ ถ้าเกิดออกไปเอาผ้าห่มแล้วพวกผู้ใหญ่เห็นเข้า ก็แย่เลยใช่ไหมล่ะค่ะ”
“ผมจะนอนบนพื้นเอง คุณขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ”
“จะดีเหรอคะ”
“ผมปล่อยให้ผู้หญิงนอนพื้นไม่ได้หรอกน่า”
ฉันจึงนั่งลงบนเตียง ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนนอกส่งให้เขา
“ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็เอาอันนี้ปูนอนเถอะค่ะ”
“ตอนกลางคืนจะหนาว คุณเอาไปห่มนอนเถอะ”
“งั้นนอนด้วยกันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
ฉันพึมพำเบาๆ
“ถ้าต้องทำถึงขนาดนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องแยกกันนอนก็ได้มั้งคะ อย่างแรกเลย เราเป็นสามีภรรยากัน…เคยหลับนอนด้วยกันมาแล้วด้วย”
หลังจากพูดราวกับชี้แจงจบ ก็เสริมต่อว่า ‘แต่ถ้าไม่อยาก ก็ไม่ต้องนอนด้วยกันก็ได้นะคะ’
“ทำแบบนั้นก็ได้”
พอคิดว่าคนเป็นสามีอาจจะไม่สะดวกใจ ฉันเลยเอนตัวลงบนเตียง แต่จู่ๆ เขาก็ตอบกลับมา
“คะ?”
“ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น ก็นอนด้วยกันสิ ก็นั่นแหละ มีปัญหาหรือเปล่า”
“…ไม่มีหรอกค่ะ ถ้างั้นช่วยปิดไฟให้หน่อยนะคะ”
เมื่อทัศนวิสัยมืดลง ไม่นานเตียงก็กระเพื่อมด้วยน้ำหนักที่กดลงมา
คิดดูแล้ว นี่เป็นการนอนร่วมเตียงอีกครั้งในระยะเวลาอันยาวนาน เพราะช่วงชีวิตที่เคยผ่านมา ถ้าไม่นับคืนแรกของฮันนีมูน ฉันก็ไม่เคยนอนร่วมเตียงกับเขาอีกเลย
พอเอนตัวนอนลงบนเตียงของเขา ก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของคังทงอู ฉันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ก่อนจะกลั้นหายใจอย่างกระสับกระส่ายเมื่อได้ยินเสียงหายใจของเขาจากด้านข้าง
หลังจากนั้นก็เกิดความสงสัยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ฉันจึงพลิกตัวหันไปเผชิญหน้ากับสามี
“หลับแล้วเหรอคะ”
“ยัง”
“ฉันลองคิดดูแล้วค่ะ”
“อะไรล่ะ”
“ระหว่างใช้ชีวิตแต่งงาน ถ้าพวกเราปฏิบัติต่อกันเหมือนเพื่อน ก็น่าจะดีนะคะ”
“เพื่อนเหรอ”
“ไหนๆ ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านหลังเดียวกันแล้ว ถ้ามัวแต่ใช้ชีวิตโดยเว้นระยะห่างแบบนี้ ก็คงจะเหนื่อยกันทั้งสองฝ่ายนะคะ”
ฉันไม่อยากเห็นท่าทางเหมือนตั้งใจคำนวณระยะห่างอีกแล้ว ไม่ชอบการใช้ชีวิตที่ต้องคอยระแวง คอยเฝ้าดู และคอยคำนวณอะไรแบบนั้น…
“ฉันคิดว่าบ้านควรเป็นพื้นที่ที่เราสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจที่สุดน่ะค่ะ”
จากนั้นก็พูดต่อพลางมองหน้าเขาไปด้วย
“จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะคะ”
พอฉันยิ้มเล็กน้อยหลังจบคำพูด สามีก็ตอบกลับมาว่า ‘อืม’ ด้วยน้ำเสียงสบายใจขึ้นอีกขั้นเช่นกัน เป็นการกระซิบเบาๆ ที่สามารถปล่อยผ่านโดยไม่สนใจได้ แต่ฉันกลับได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจนท่ามกลางความสงบเงียบภายในห้องนอน