การเดินเล่นในสวนของผมกับคุณหนูอนาสตาเซียพลันหยุดลงด้วยคำๆเดียวจากท่านดยุค
พวกเรากำลังอยู่ระหว่างกลับไปยังห้องนั่งเล่น พูดคุยในเรื่องรายละเอียดยิบย่อยด้วยกันกับท่านพ่อท่านแม่ของพวกเรา
คุณหนูอนาสตาเซียคอยแอบมองมาที่ผมอยู่เรื่อยๆ ผมจึงเลือกช่วงจังหวะเวลาที่พอดีในการจับตอนที่มองมาที่ผม ตาของพวกเราประสานกัน แก้มของคุณหนูอนาสตาเซียถูกย้อมด้วยสีแดงและรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว
น่าเอ็นดูจังเลยนะ
ผมไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ากำลังยิ้มไม่หุบปากแทบฉีกถึงหู และผมก็ยังคงมองเธอต่อไป
คุณหนูอนาสตาเซียยกสายตาที่หลุบลงขึ้นมาเพื่อแอบมองผม อาจจะเพราะว่าเธอรู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของผมเข้า ตาของพวกเราสองคนประสานกันอีกครั้ง และเธอดูตื่นตกใจในขณะที่รีบเบนสายตาของเธอหลบอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าของเธอยิ่งมีสีแดงเข้มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
สีหน้าของเธอดูมีความเศร้าสร้อยก่อนหน้านี้ แต่ตัวเธอในตอนนี้กลับยิ้มอย่างเขินอาย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตกอกตกใจขนาดนั้น
ดัชเชสยิ้มแป้นในขณะที่จ้องมองพวกเราที่เป็นเช่นนั้น ในขณะที่ฝ่ายดยุคเองก็ดูราวกับกลืนแมลงขมเข้าไปและพยายามที่จะขยี้มันให้ตายโดยการขบฟันของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมรีบละสายตาออกมาจากคุณหนูอนาสตาเซียเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขา
จะยังไง การหมั้นหมายของเราได้กลายเป็นทางการไปแล้วในตอนนี้
พวกเราจะคิดเสียว่าการหมั้นหมายนี้มาถึงขั้นสุดท้ายแล้วเมื่อพวกเราได้รับจบหมายจากทางตระกูลของดยุค เพราะงั้นในตอนนี้สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องทำคือสะสางงานเอกสารเท่านั้น แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียนี่
อย่างไรก็ดี ความจริงที่ว่าผมจะต้องถูกรับเข้าตระกูลอื่นนั้นยังคงส่งผลต่อผมเป็นอย่างมาก
มันจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชื่อตระกูลของผมเนื่องมาจากความแตกต่างในสถานะของทั้งสองตระกูล — ผมที่มาจากตระกูลของไวส์เคานต์ ในขณะที่ฝ่ายหญิงมาจากตระกูลที่มีความสำคัญต่อประเทศนี้อย่างถึงที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม เพราะการรับเข้าตระกูลจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่ากระบวนการขั้นตอนการหมั้นหมาย มันคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่ผมจะสามารถออกจากบ้านหลังนี้ได้
ผมจึงตัดสินใจที่จะย้ายศูนย์สั่งการหลักที่อดอร์นิ เครื่องหมายตราการค้าบริษัทของผม จากที่บ้านเกิดของตระกูลเราไปยังเมืองหลวง
แผนของผมคือเริ่มลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงในตอนที่กระบวนการรับเข้าตระกูลเสร็จสิ้นแล้ว
ดูเหมือนว่า ฝ่ายดยุคเองก็ได้มองหา — และได้ตัดสินใจ — เรื่องตระกูลที่จะรับลูกเขยของเขาในอนาคตไว้เรียบร้อยแล้วแม้เขาจะต้องเตรียมตัวเพื่อมาพบปะกับพวกเราในการพูดคุยเรื่องการแต่งงานนี้
สิ่งเดียวที่เราต้องทำคืองานเอกสารต่างๆ
แผนคือให้ผมอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูล ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่พื้นที่ของเหล่าขุนนางในเมืองหลวง
“ไว้ผมจะเขียนจดหมายหานะครับ”
ผมบอกคุณหนูอนาสตาเซียก่อนที่ครอบครัวของเธอจะขึ้นรถม้าที่จะพากลับไปยังคฤหาสน์ของพวกเขา ผมได้ร่วมตามไปส่งที่ทางเข้าเพื่อที่จะได้ส่งพวกเขา
“ฉะ-ฉันเองก็เหมือนกันค่ะ…”
ใบหน้าของเธอถูกย้อมอีกครั้งด้วยสีแดงเข้มในขณะที่เสียงแผ่วเบาจนเกือบจะเงียบเชียบ
ที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ยินท่อนสุดท้ายที่เธอเอ่ยหรอก เพราะว่าเธอพึมพำเสียงค่อนข้างเบา
น่ารักจังนะ
ความ “น่ารัก” นั่นค่อยๆสื่อออกมาจากท่าทางและสีหน้าของเธอ ผมคิดว่าความงามกับความน่าเกลียดของคนนั้นไม่ได้มีความหมายเลยเมื่อเป็นเรื่องของความน่ารัก ผมรับรู้เรื่องนี้ในขณะที่เฝ้าสังเกตุคุณหนูอนาสตาเซียในวันนี้
คุณหนูอนาสตาเซียนั้นเต็มไปด้วยความใสซื่อและความสุภาพเรียบร้อย และสิ่งเหล่านั้นก็แสดงออกมาในทุกท่วงท่าและสีหน้าที่เธอแสดงให้เห็น เพราะอย่างนั้นผมถึงได้คิดว่าเธอนั้นช่างน่านักน่าชังเสียจริงๆ
“ฟุฟุ จิโนเรียสจ๊ะ ฝากดูแลลูกสาวของฉันด้วยนะ”
ดัชเชสยิ้มแย้มขณะที่พูดกับผมเช่นนั้น
“ครับ ผมเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้อยู่เคียงข้างเธอในอีกหลายๆปีที่จะมาถึงนี้ครับ”
“ฝะ-ฝากตัวด้วยนะคะ”
คุณหนูอนาสตาเซียพึมพำเสียงค่อยออกมาหลังจากที่ผมตอบดัชเชสกลับไป
คำของเธอคล้ายกับเสียงร้องของนกตัวเล็กๆ เป็นการพูดที่นุ่มนวลมากๆ
และเพราะอย่างนั้น ในท้ายที่สุดแล้วตระกูลเซเว่นสเวิร์ธก็ได้เดินทางกลับคฤหาสน์หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันเช่นนั้น
◆◆◆◆◆
การติดต่อของผมกับคุณหนูอนาสตาเซียก็ได้เริ่มต้นขึ้นนับจากนั้น
รายมือที่เป็นระเบียบและงดงามของเธอนั้นดูราวกับสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนข้างในของเธอ
พวกเราได้พูดคุยกันในเรื่องต่างๆมากมาย และวิธีที่เธอคิดและเขียนให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและคล้อยตาม และจดหมายของเธอเองต่างก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก
บุคคลิกที่อบอุ่นและสุภาพเรียบร้อยของเธอนั้นแทงทะลุหัวใจผมราวกับแสงของดวงอาทิตย์ผ่านจดหมายเหล่านี้
ผมเริ่มที่จะหมกมุ่นอยู่กับการแลกเปลี่ยนจดหมายของพวกเรา
ตามปกติแล้ว มันจะต้องใช้เวลากว่าห้าวันสำหรับจดหมายธรรมดาๆจากเมืองหลวง สถานที่ที่เธอใช้ชีวิตอาศัยอยู่ เพื่อมาถึงยังเขตของอดอร์นิ
แต่ว่า มันจะใช้เวลาเพียงแค่สองวันถ้าหากพวกเราจ่ายค่าบริการส่งจดหมายแพงขึ้นอีก
ผมเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว และเธอก็ยังเป็นคุณหนูจากบ้านตระกูลดยุค
พวกเราไม่ได้กังวลเรื่องเงินถึงขนาดที่พวกเราจะจ่ายเงินค่าส่งไปรษณีย์นั่นไม่ไหว
ดังนั้น พวกเราจึงแลกเปลี่ยนข้อความกันเป็นประจำผ่านการส่งจดหมาย
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับผม สำหรับทั้งสองชีวิตเลย ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่จะกลายมาเป็นคนรักของผม
ผมได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้มีชัยชนะเหนือชีวิตแล้วเพียงเพราะว่าได้มีคู่แต่งงานที่ยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังแลกเปลี่ยนจดหมายอยู่เป็นประจำ
ที่จริงแล้ว ผมเป็นหนึ่งในคนที่ชอบมองเหยียดพวกคนที่บอกกันว่าประสบความสำเร็จในชีวิตราวกับพวกนั้นทำสิ่งที่ไม่มีแก่นสาร ‘ฮึ่ม พวกนั้นก็แค่กำลังใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้นล่ะ’ — นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ลึกๆข้างใน
นี่ ไอ้เจ้าพวกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเมื่อชาติก่อนน่ะ ฉันขอโทษที่งี่เง่าใส่ด้วยนะ
ในตอนนั้นผมไม่ได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของการมีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆและบทสนทนาตามปกติทั่วไปกับคนอีกคนหนึ่งเลย
◆◆◆◆◆
ผมใช้เวลาไปสองเดือนกว่าที่ผมจะได้ไปยังเมืองหลวงในท้ายที่สุด
ผมไม่ใช่จิโนเรียส อดอร์นิ อีกต่อไป แต่ผมคือ จิโนเรยส แวร์แวรี่ — จากบุตรชายคนที่สี่ของไวส์เคานต์สู่บุตรชายคนที่สองของมาร์ควิส
พิธีหมั้นจะถูกจัดขึ้นที่วิหารของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธทันทีที่ผมได้ถูกรับเข้ามายังตระกูลมาร์ควิส ดูเหมือนว่า พวกเหล่าขุนนางจะมีวิหารอยู่ภายในคฤหาสน์ของตนเองกันด้วย
ตระกูลของผมเอง ตระกูลไวส์เคานต์อดอร์นิ ก็เข้าร่วมพิธีหมั้นที่จัดขึ้นด้วย
พวกเขาต่างตกตะลึงเพื่อพบเข้ากับความงดงามแสนวิเศษของวิหารที่อยู่ในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ ยิ่งตกใจเข้าไปอีกเมื่อพวกเขาพบว่าที่อยู่อาศัยของดยุคนั้นยังมีโอเปร่าเฮาส์ที่หรูหราอลังการที่จำเป็นต้องสร้างโดยคำนึงถึงความสมดุลของเสียงอย่างสมบูรณ์แบบ และยังมีอีกหลายๆส่วนในคฤหาสน์ที่ถูกสร้างไว้ในตัวตึกหลัก
ที่จริงแล้ว ผมเองก็ตกตะลึงด้วยเหมือนกัน มันออกจะหรูหราเกินไปหน่อยสำหรับตระกูลที่มีกันอยู่สามคน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพิธีหมั้น แต่ก็ไม่ใช่งานแต่งอย่างเป็นทางการ เพราะงั้นพวกเราจึงไม่ได้ให้สัจสาบานหรือจูบกันซึ่งตามปกติแล้วเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องกระทำ
ทั้งสองตระกูลไปที่นั่นเพื่อทักทายกันและกัน และพวกเราก็ได้ลงนามในเอกสารต่อหน้านักบวช
ไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวระหว่างทั้งคู่ที่พึ่งจะเข้าหมั้นกัน เพราะว่านี่ไม่ใช่งานที่ถูกต้องตามขนบหรือธรรมเนียม เพราะงั้นการทั้งทายกันก็คล้ายกับตอนที่พวกเราได้พบกันเป็นครั้งแรก
ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ใช้ชีวิตร่วมกับมาร์ควิสแวร์แวรี่ และยังเดินทางไปเยี่ยมเยือนที่คฤหาสน์ดยุคเซเว่นสเวิร์ธอยู่ทุกวัน ที่จริงแล้ว ฝ่ายแวร์แวรี่ไม่จำเป็นต้องให้ผมอยู่ในคฤหาสน์ของพวกเขา และแค่การได้เป็นบุตรของพวกเขาตามเอกสารเพื่อการหมั้นหมายก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็จะไม่ได้อะไรเลยจากการรวมผมเข้ามาในตระกูลครั้งนี้ เหตุผลที่ว่าทำไมแวร์แวรี่ยอมรับข้อเสนอการรับเข้าตระกูลนี้ก็เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะสร้างสัมพันธ์กับผม บุคคลที่จะได้กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนของท่านดยุคในอนาคต นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของพวกเขา และผมเองก็เดินทางไปยังคฤหาสน์ของดยุคทุกๆวันเพื่อที่จะเรียนรู้ถึงวิธีบริหารจัดการตระกูลดยุคเซเว่นสเวิร์ธ
การบริหารจัดการที่ดินของตระกูลเองก็ข้องเกี่ยวกับบางเรื่องที่ต้องสนใจลำดับศักดินา และนั่นคือเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจดี
อีกอย่าง ผมเอกก็ต้องเรียนรู้ถึงการวางตัวของขุนนางที่ลำดับชั้นสูงกว่า และผมยังได้การศึกษาในบ้านของแวร์แวรี่อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมพ่อค้า เพราะงั้นผมจึงต้องไปโผล่ที่นั่นบ้างเป็นครั้งคราว
ชีวิตของผมเริ่มวุ่นวายตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาเหยียบที่เมืองหลวง
หัวหน้าตระกูลแวร์แวรี่รู้ดีว่าผมเป็นคนที่ช่วยตระกูลอดอร์นิฟื้นฟูปัญหาทางด้านการเงินขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาเองก็ต้องการที่จะทาบทามให้ผมดูแลบริหารจัดการที่ดินในเขตของเขาเหมือนกัน
พ่อเลี้ยงและน้องชายของผมมักจะนับถือและเอ่ยชมเชยในข้อเสนอต่างๆของผม และรับรู้ถึงความสามารถที่ผมมี…
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของผมกับบ้านแวร์แวรี่ก็เป็นไปได้ด้วยดีเช่นเดียวกัน
นอกจากน้องชายของผม ผู้ที่จะได้สืบทอดตระกูลแวร์แวรี่ ผมเองยังมีน้องสาวอีกสองคน พวกเธอต่างจากน้องสาวแท้ๆของผมที่วิ่งพล่านไม่มีใครไล่จับได้ไปทั่วโถงทางเดิน พวกเธอล้วนเป็นเด็กที่สงบเสงี่ยม
เมื่อไหร่ที่พวกเธอเรียกผมด้วยเสียงที่สงบนั่น พูดออกมาว่า “พี่ชาย” ผมจะรู้สึกเหมือนประตูสู่โลกอีกใบหนึ่งได้ถูกเปิดออก
ผมจะมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของเซเว่นสเวิร์ธในทุกวัน เพราะงั้นนั่นก็หมายความว่าผมจะได้เห็นคุณหนูอนาสตาเซียทุกวันด้วย พวกเราตัดสินใจที่จะหยุดใช้ภาษาสุภาพในตอนที่พวกเรานั้นกำลังปรับตัวเข้าหากันตั้งแต่ในวันที่จัดพิธีนั่น ตอนนี้พวกเราเลยได้มีความสุขกับการคุยเล่นเรื่องธรรมดาทั่วไป
พวกเรายังตัดสินใจที่จะเปลี่ยนวิธีเรียกกันและกัน ผมคือจิโน่ และเธอคือแอนนา — พวกเราตัดสินใจที่จะใช้ชื่อเล่นเหล่านั้น
ใบหน้าของเธอได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ในครั้งแรกที่ผมเรียกเธอด้วยชื่อเล่น และนั่นก็ดูน่ารักเอามากๆ
◆◆◆◆◆
“แน่ใจนะคะว่าคุณอยากจะฟังฉันต่อ? ไม่เหนื่อยบ้างหรือคะ?”
อึ่ก ดูเหมือนว่าผมจะยังขาดทักษะในการสนทนาที่จำเป็นต่อการพูดคุยกับผู้หญิงที่จะกลายมาเป็นคนรักในชีวิตของผม
มีช่วงเวลาที่ผมลงเอยด้วยการโปรยคำถามหลายข้อใส่แอนนา
วันหนึ่ง หลังแอนนาถามผมเสร็จ นั่นคือตอนที่ผมเหลิงได้ใจและด้วยความที่สนใจในหัวข้อนี้ จึงระดมยิงคำถามใส่เธออีกครั้ง
“ไม่มีทางที่ผมจะเบื่อหรอก ปากกาหมึกซึมที่คุณชอบ หมวกที่คุณถูกใจ และแม้แต่รองเท้าคู่โปรด สิ่งต่างๆที่คุณเลือก อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข อะไรที่ทำให้คุณเศร้า และเหล่าสิ่งที่คุณเกลียด — ผมอยากจะรู้จักสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ผมอยากที่จะรู้ทุกอย่างๆเกี่ยวกับคุณนะ แอนนา ผมอยากที่จะรู้สิ่งที่มีแค่ผมคนเดียวที่จะได้รู้เพิ่มอีก และนั่นคือสิ่งที่ผมคิด ถึงอย่างนั้น ผมต้องขอโทษด้วยที่ยิงคำถามใส่คุณไม่หยุด ผมเก็บความต้องการที่จะเข้าใกล้หัวใจคุณเอาไว้ไม่ไหว”
ผมรู้สึกผิดในการกระทำของผม ผมเลยเอ่ยสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปตรงๆ
อิงจากประสบการณ์ในชาติก่อนของผม ผมรู้เป็นอย่างดีถึงรูปร่างหน้าตาที่จะเหี่ยวแห้งและถูกลืมไปตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป
แม้แต่เด็กสาวที่งดงามที่สุดในโรงเรียนเองก็จะมีหน้าตาเป็นหญิงชราปกติธรรมดาทั่วไปเมื่อโตขึ้น
เพราะอย่างนั้นผมถึงได้อยากที่จะเข้าใกล้หัวใจของเธอ
ที่จริงแล้ว บุคคลิกกับจิตวิญญาณของเธอเองก็เป็นที่ชื่นชอบเหมือนกัน
ผมต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับความงดงามภายในของเธอ และเข้าใจถึงความคิดและหัวใจเธออย่างละเอียดลึกซึ้ง
ผมไม่รู้เลยว่าทำไมถึงได้จริงจังกับเรื่องนี้นัก แต่คิดว่านี่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไร
จะอย่างไรก็ตาม เมื่อผมได้ยินคำที่เธอกล่าวออกมา ผมก็เข้าใจแล้วว่าการที่ผมให้ความสำคัญกับความสนใจในตัวเธอมากกว่าความรู้สึกของเธอไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
เธอควรที่จะรู้สึกมีความสุขในการสนทนา มากเท่ากับเราที่กำลังมีความสุขไปกับมัน
ผมรู้ตัวขึ้นมาว่าผมกำลังหลงระเริงได้ใจเพราะว่าเจ้าสาวคนแรกที่ผมมีหลังจากแปดสิบสองปีในโลกใบก่อน และอีกสิบหกปีในโลกใบนี้
ผมยังคงรู้สึกผิดในขณะที่มองไปยังแอนนา แต่แก้มเธอกลับกำลังเขินอายหน้าเป็นสีแดง
“แอนนา? เกิดอะไรขึ้นน่ะ? หน้าเธอดูแดงๆนะ? มีไข้งั้นเหรอ?”
ดูจากการสนทนาของพวกเราแล้ว ผมไม่เห็นจะจำได้เลยว่ามีอะไรที่ทำให้เธอเขินได้ด้วย
ดังนั้น ผมจึงเป็นห่วงเรื่องที่ผิวเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมจึงถามเธอออกไป…
“อะ-เอิ่ม… ฉันรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขที่เห็นคุณมีความสนใจในตัวฉันมากมายขนาดนั้น และ…หัวใจของฉันเต้นแรงไม่หยุดเลยค่ะ”
โอ๊ะ แหม น่ารักอะไรขนาดนี้
ผมรีบเก็บความรู้สึกที่อยากจะสวมกอดเธอเอาไว้ในใจ
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex
MANGA DISCUSSION