“แน่นอนว่าก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าไม่ว่าฝ่ายหญิงจะพยายามเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ก็ยังจบเห่อยู่ดี และไม่มีอะไรที่เธอจะแก้ไขเรื่องนั้นได้ ถึงอย่างนั้นถ้าหากการหมั้นหมายถูกยกเลิกภายใต้สถานการณ์ปกติ มันก็จะเกิดขึ้นแค่ภายใน ไม่มีบุคคลที่สามที่จะมารับรู้รายละเอียดว่าทำไมถึงถูกถอนหมั้น
ในกรณีนั้น ผู้คนที่ไม่ได้รู้ถึงเหตุผลก็จะชี้นิ้วไปที่แอนนาและโทษเธอ ถึงมันจะไม่ใช่ความผิดของเธอก็ตาม พวกเขาก็จะวิจารณ์เธอ และถือว่าเป็นความล้มเหลวของเธอที่ไม่สามารถเติมเต็มภาระหน้าที่ในการคงไว้ซึ่งความกลมเกลียวในระหว่างคู่หมั้นด้วยกันได้”
“หืม แล้ว?”
“ถึงอย่างนั้น ก็มีตัวอย่างที่หาได้ยากมากที่การถอนหมั้นส่งผลให้คุณค่าของฝ่ายหญิงเพิ่มสูงขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ก็คือที่องค์มกุฎราชกุมารทรงถอนหมั้นกับคุณหนูฟรานเซสแห่งตระกูลลิลลาร์ด”
“อ้อ ฉันพอรู้เรื่องนั้นอยู่นะ นายก็เลยเลียนแบบสินะเนี่ย”
“ใช่ ในเหตุการณ์นั้น เหล่าคนนอกจะได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถอนหมั้น เพราะว่ามันเกิดขึ้นในที่สาธารณะ ในระหว่างงานเลี้ยงเต้นรำสำเร็จการศึกษา เพราะอย่างนั้นคุณหนูลิลลาร์ดจึงไม่ถูกกล่าวโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น และทุกคนในที่นั้นต่างก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว องค์มกุฎราชกุมารทรงขาดสามัญสำนึกที่พาหญิงอื่นมาแล้วยังกอดเอวเธอในขณะที่ประกาศการถอนหมั้นอีก จึงมีส่วนช่วยในกรณีของคุณหนูลิลลาร์ดอย่างมหาศาล ถึงแม้จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงในการรักษาความกลมเกลียวในความสัมพันธ์เอาไว้ ถ้าหากว่าฝ่ายชายนั้นเป็นสวะน่าสมเพช เธอก็ต้องกัดฟันทนในเรื่องนั้น แต่มันก็มีขีดจำกัดอยู่ ถ้าหากฝ่ายชายเกินเยียวยา งั้นฝ่ายหญิงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทน ในทางกลับกัน เธอกลับจะถูกชมเชยที่ทนกับคู่สวะแบบนั้นมาได้นานขนาดนี้แทน”
“เพราะงั้นนายถึงได้จำเป็นต้องมีคู่ชู้สินะ?”
“ใช่ และถ้าแค่ชู้ธรรมดาคงเอาไม่อยุ่ ส่วนที่สำคัญคือฉากที่กอดเอวหญิงอื่นในขณะที่ประกาศการถอนหมั้น”
“ถึงอย่างนั้น คุณหนูนั่นก็ยังแต่งงานกับองค์ชายลำดับที่หนึ่งได้ถึงนายไม่ทำอย่างนั้นนี่ใช่มั้ย? ฉันไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ว่าตระกูลเซเว่นสเวิร์ธเองก็ออกจะน่าเกรงขามหรอกเหรอ?”
“ถ้าหากว่าเราคำนึงถึงอำนาจของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธในตอนนี้ ก็ใช่ พวกเขาสามารถแต่งงานกันได้ แต่ถึงอย่างนั้น พอมาคิดเรื่องที่ว่าทางตระกูลได้รับอำนาจมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แล้วพวกเขายังเป็นตระกูลที่เรืองอำนาจมาตั้งแต่แรกอีก ต้องมีหลายคนที่ไม่พอใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว ถ้าหากการยกเลิกการหมั้นหมายกลายเป็นความด่างพร้อยในชื่อเสียงของเธอล่ะก็ เธอก็จะกลายเป็นเป้าชั้นดีของฝักฝ่ายที่ต้องการจะกดอำนาจของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ”
แอนนาสามารถที่จะเป็นองค์หญิงได้
ถึงอย่างนั้น เธอจะกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกใช้เพื่อให้ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่งั้นเธออาจจะถูกโจมตี องค์ราชินีและองค์มกุฎราชกุมารมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ และมันอาจจะยากเย็นแสนเข็ญสำหรับพวกพระองค์ — ถึงขั้นเป็นภัยเลยล่ะ — หากคุณสมบัติของพวกพระองค์ทรงถูกตั้งคำถามในทุกครั้ง พวกพระองค์ก็จะมีความสุ่มเสี่ยงในตำแหน่งภายในพระราชสำนัก”
“ฟังดูเหมือนการขึ้นเป็นราชินีเนี่ยเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ พระองค์จะต้องทรงคิดคำนึงถึงเรื่องต่างๆที่ทั้งเล็กน้อยและไร้ค่าแต่แรกด้วย”
“ก็นะ พวกพระองค์เองก็คงจะไม่ได้มองว่ามีปัญหาอะไร ราชินีที่ผนึกกำลังในฝ่ายของพระองค์เอาไว้ได้เป็นอย่างดีจะคิดแค่อย่างใดอย่างหนึ่งในสองเรื่องนี้ พระองค์ทรงสมบูรณ์แบบ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความอยุติธรรม หรือไม่ก็ทรงเป็นหุ่นเชิดที่ง่ายต่อการควบคุมของข้าหลวงของพระองค์เอง จะอย่างไหนก็ลำบากทั้งนั้น”
“แต่ว่านายไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะประกาศตอนงานเลี้ยงเต้นรำนี่นา?”
“ไม่หรอก เวลามันเหมาะเจาะ ยังมีอันตรายที่แอนนาจะไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้เพราะอาการช็อคอย่างหนัก ถ้าหากฉันทำมันลงไปก่อนพวกเราจะสำเร็จการศึกษา ระดับผลการเรียนของเธอเองก็สำคัญต่อการขึ้นเป็นราชินี มันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เธอได้รับวุฒิการศึกษาแล้ว — พูดสั้นๆก็คือ มันจำเป็นที่จะต้องเป็นระหว่างพิธีสำเร็จการศึกษา”
ฉันเลือกช่วงเวลา ทำให้แน่ใจว่าจะเป็นช่วงก่อนที่ฉันจะเปิดตัว เพราะว่าฉันไม่คุ้นเคยกับสังคมชนชั้นสูง ที่ที่มีขุนนางผู้ใหญ่อยู่มากมาย แต่มีผู้คนเพียงน้อยนิดที่ได้เปิดตัวไปแล้วที่จะรู้ว่าฉันเป็นใคร เพราะว่าฉันยังไม่ได้เปิดตัว
พวกนั้นบางคนมีอำนาจมากพอที่จะหยุดฉันจากการระเบิดอารมณ์นั่น แต่ฉันไม่ได้มีข้อมูลอะไรเลยว่าคนๆนั้นจะเป็นใครได้บ้าง
แต่ในสถาบันแห่งนี้ถือเป็นอีกเรื่อง ฉันพอจะรู้คร่าวๆว่าใครจะเข้าร่วมบ้าง เพราะงั้นโอกาสที่จะสำเร็จมีค่อนข้างสูงในงานเลี้ยงเต้นรำ
ฉันรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครกล้าที่จะมาหยุดฉันอยู่แล้วไงล่ะ”
“แต่ว่ามันจะไม่ไปทำให้พวกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงสำเร็จการศึกษานั่นรำคาญเอาเหรอ?”
เป็นเด็กใสซื่ออะไรขนาดนี้เนี่ย
ผมช่วยไม่ได้ที่จะมองไปที่เคตด้วยความอบอุ่น
“เธอเห็นพวกนั้นรำคาญบ้างไหมล่ะ?”
“ไม่อ่ะ พวกนั้นดูเหมือนกับกำลังยินดีอยู่เลย”
“มันอาจจะยากที่เธอจะทำความเข้าใจ ในเมื่อเธอไม่ได้มีแผนที่จะเข้าไปร่วมสังคมของขุนนางชนชั้นสูง สำหรับขุนนางแล้ว มันถือเป็นข้อยกเว้น แต่ว่าแม้แต่สามัญชนที่ปรารถนาที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชนชั้นสูงจะไม่ปฏิบัติเหมือนกับงานเลี้ยงเต้นรำและงานปาร์ตี้เป็นสถานที่ที่หาความสุขใส่ตัวได้หรอก
มันเอาไว้รวบรวมข้อมูลและสร้างเครือข่าย มันเป็นงาน
ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธที่มีอำนาจมากมายในอาณาจักร
ปริมาณอำนาจนั้นใหญ่โตกว่าที่เธอจะจินตนาการได้เยอะ
ถ้าหากการหมั้นหมายถูกถอนไป ทุกคนก็จะพยายามมองหาข้อมูลรายละเอียดเบื้องหลังกันมากขึ้น ด้วยการที่ประกาศถอนหมั้นต่อหน้าทุกคน เราก็ได้มอบโอกาศให้พวกเขาได้รวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้น และพวกเขาเองก็ยินดีที่จะทำอย่างนั้นด้วย
ถึงจะไม่เป็นอย่างนั้น พวกขุนนางเองก็ชอบเรื่องซุบซิบนินทาแบบนี้ ทุกคนจะพูดถึงเกี่ยวกับงานเลี้ยงเต้นรำสำเร็จการศึกษาหลังจากนี้ และในตอนนี้เองพวกเขาก็จะไม่มีปัญหาอะไรกับการหาหัวข้อขึ้นมาพูดอีกไม่ว่าจะสนทนากับใครก็ตาม
ดูพวกสามัญชนสิ พวกนั้นก็มีความสุขทั้งที่สงบใช่ไหมล่ะ?
เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ มันเลยทำให้พวกนั้นเข้าหาขุนนางได้เพราะว่าพวกนั้นมีเรื่องที่พอจะคุยด้วยได้ง่ายขึ้นแล้ว การเข้าสังคมเองก็ง่ายขึ้น และทุกคนก็มีความสุข”
“นั่นสิ โลกนี่เน่าเฟะจังเนอะ”
ผมเห็นด้วยกับเคต
มีตัวอย่างให้เห็นเมื่อคุณจำต้องถอนหมั้นกับคนอื่นในที่สาธารณะ แม้ว่าคุณจะรักเธอคนนั้นมากก็ตาม
และยังมีบางครั้งที่คุณจำต้องเมินเฉยต่อน้ำตาของผู้เป็นที่รักและเก็บกดความต้องการที่จะดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนเพื่อปลอบเธออย่างสุดความสามารถ
โลกแบบนั้นน่ะมันห่วยแตกจริงๆนั่นล่ะ
“ถึงอย่างนั้น นี่นายคิดมาดีจริงๆแล้วสินะ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ย ฉันก็คิดว่านายเป็นขุนนางสวะที่ดันเสียสติไปแล้วซะอีก โทษทีเรื่องนั้นละกัน”
“นี่เธอคิดกับฉันแบบนั้นเองสินะ…”
“ก็เห็นๆกันอยู่แล้วนี่? สามัญชนน่ะไม่สนกฎเกณฑ์ของขุนนางอย่างพวกนายหรอก แล้วนายจะไม่คิดงั้นบ้างรึไง ถ้ามีใครเดินเข้ามาหาแล้วขอร้องให้ช่วยเพื่อที่เขาจะได้ถอนหมั้นอย่างดุเดือดกับผู้หญิงที่เขาหลงหัวปักหัวปำขนาดนั้นน่ะ? บ้าบอใช่ไหมล่ะ?”
“งั้นเหรอ คนธรรมดาเห็นเป็นอย่างนั้นสินะ ขอโทษทีที่ไปก่อเรื่องให้เธอ คงจะน่ารำคาญมากเลยสินะที่ต้องมาตกลงกับพวกคลั่งน่ะ”
“นั่นสิ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงค่าตอบแทนก็หอมหวานดีด้วยนี่นะ”
“ฉันได้ให้เธอเสียหายเข้าเนื้อไปตั้งเยอะแล้วด้วย ไม่ได้มีแค่ฉันหรอก แต่เธอเองก็จะไม่สามารถไปยืนอยู่ในวงสังคมของขุนนางชั้นสูงได้อีกแล้วเพราะสิ่งที่เราทำกันไปในวันนี้ เธออาจจะไม่ได้สนใจเรื่องสังคมขุนนางในตอนนี้ แต่เรื่องนั้นอาจจะเปลี่ยนไปตอนที่เธอทำธุรกิจในอนาคตก็ได้ เธออาจจะอยากมีส่วนร่วม แต่ถึงตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว”
“ไม่ล่ะ เป็นงั้นก็ไม่เห็นเป็นไร ฉันไม่ได้ต้องการตำแหน่งขุนนางถึงนายจะโยนมาให้ฉันฟรีๆก็เถอะ แล้วฉันก็ไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วย
การขาดทุนแค่นั้นน่ะ จะให้ฉันจ่ายเพิ่มอีกหน่อยก็ได้ในเมื่อฉันจะได้บริษัทเลอร์แวนเป็นค่าตอบแทนนี่นา”
“งั้นเหรอ ฉันดีใจที่เธอคิดเป็นอย่างนั้นนะ ฉันจะมอบสิทธิทุกอย่างในบริษัทให้เธอตามที่สัญญา”
“เย้!”
เคตดีใจอย่างมาก เสียจนเธอไม่อาจจะหยุดยิ้มหลังจากนั้นได้
“ฉันน่าจะตกเป็นเป้าการล้างแค้นจากตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ ถ้าเธอไม่มาเจอฉันหลังจากนี้คงจะเป็นการดีที่สุด ก็มีเท่านี้ล่ะ เคต ฉันขอถอนการหมั้นหมายกับเธอ”
เมื่อผมพูดออกไปเช่นนั้น เคตดูตกตะลึง ก่อนที่เธอจะระเบิดหัวเราะออกมาในขณะที่กุมท้องเอาไว้
“ฮิฮิฮิฮิฮิ มุกบ้าอะไรเนี่ย แล้วยังจะพูดจริงจังซะขนาดนั้นอีก ฮิฮิฮิ ฮ่าฮ่าฮ่า ขี้โกงกันนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ผมไม่ได้ตั้งใจให้นี่เป็นมุก แต่เธอกลับคิดไปเองซะอย่างนั้น
ตระกูลลิลลาร์ดได้แปรพักตร์ออกมาจากฝ่ายขององค์มกุฎราชกุมารหลังจากที่คุณหนูฟรานเซส ผู้ซึ่งแบกรับชื่อของตระกูลลิลลาร์ดเอาไว้ถูกทำให้ขายหน้าอย่างเปิดเผย พวกเขาจึงไปอยู่ฝ่ายขององค์ชายลำดับที่หนึ่ง
ทางลิลลาร์ดคงจะพยายามไปไม่น้อยในการที่จะทำให้ตำแหน่งของพวกเขามั่นคงในฝ่ายขององค์มกุฎราชกุมารหลังจากที่อยู่ภายในฝ่ายนั้นมาเนิ่นนาน
ถึงแม้ว่าจะต้องเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายไปอยู่กับองค์ชายอีกพระองค์ มันก็ยังถือว่าปลอดภัยที่เปลี่ยนเพียงแค่บุคคลที่เป็นศูนย์กลางในพรรคพวกของตน
ถึงอย่างนั้นตระกูลลิลลาร์ดได้ละทิ้งทุกสิ่งอย่างที่พวกเขาได้สั่งสมมาด้วยความยากลำบากภายในฝักฝ่ายของตนและผลักไสฝ่ายขององค์ชายลำดับที่หนึ่ง ซึ่งเดิมทีเป็นคู่แข่งของพวกเขา
พวกเขายังปรารถนาที่จะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่หนึ่งอีกครั้งและพยายามอย่างเต็มที่ในเมื่อพวกเขานั้นเป็นหน้าใหม่ในฝ่ายนี้ ในความเห็นของผม พวกเขาเลือกศักดิ์ศรีมากกว่าผลประโยชน์ ดูจากการที่พวกเขาเปลี่ยนท่าทีเป็นศัตรูกับองค์มกุฎราชกุมารในทันทีแทนที่จะยังคงดำเนินในเส้นทางที่เสียเวลามาเนิ่นนานต่อไป
ดยุคเซเว่นสเวิร์ธและท่านแม่ยายเองก็เป็นขุนนางที่ให้ค่าศักดิ์ศรีเหมือนกัน
ไม่ว่าพวกเราจะสนิทกันแค่ไหน หลังจากที่เกิดปัญหาที่อาจจะเป็นอันตรายต่อศักดิ์ศรีของพวกท่านขึ้น ท่านก็คงจะไม่มีความเมตตา แม้คนนั้นจะเป็นผมก็ตาม
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ผมอาจจะเสียชีวิต หรืออย่างน้อยๆก็ต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง ถึงแม้พวกท่านจะเคยดูแลผมด้วยความอบอุ่นมาก่อน
เพื่อที่จะรักษาอำนาจของตระกูลเอาไว้ พวกท่านจะต้องไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจ
เพราะอย่างนั้นผมถึงได้ยกบริษัทให้กับอีกบุคคลหนึ่งเผื่อไว้ว่าพวกท่านจะมาเอาคืน และผมยังวางแผนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าผมจะถอนการหมั้นหมายกับเคตด้วย ดังนั้นจึงถือเป็นการตัดความเกี่ยวข้องกับฝ่ายนั้นจนหมดแล้ว”
“ฮิฮิฮิฮิฮิฮิ เล่นถอนหมั้นสองหนในวันเดียวเนี่ยนะ อะฮ่าฮ่าฮ่า โอ๊ย ท้องแข็งไปหมดแล้ว ฮ่าฮ่า”
เธอยังคงหัวเราะอยู่
การที่ไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรเนี่ยน่าอิจฉาจังเนอะ
“อ๊ะ-อา น่าเสียดายจังเนอะ พึ่งจะได้รับอนุญาติให้พูดคุยกับท่านจิโน่ อุ๊ป หมายถึงท่านแวร์แวรี่น่ะ สบายๆด้วยความที่เป็นคู่หมั้นแล้วเชียว ทีนี้พอการหมั้นหมายระหว่างเรากลายเป็นโมฆะไปแล้ว ฉันก็จะต้องกลับไปคุยด้วย การให้เกียรติ กับท่านแล้วน่ะสิ~ น่าเสียดายชะมัด~”
เอ๊ะ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงพูดจาให้เกียรติเราก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?
แต่แบบว่า เธอไม่ได้เปลี่ยนวิธีการพูดจากับผมตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันทีแรกแบบเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้วนี่นา?
“ไม่ล่ะ ช่างเรื่องให้เกียรติไปเถอะ ตั้งแต่วันนี้ไปฉันเองก็กลายเป็นสามัญชนแล้วด้วย”
“เอ๋!?”
ดวงตาของเคตเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ
“มันก็ปกตินี่นา? ฉันดันไปหยามตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ ตระกูลที่ใหญ่และทรงอำนาจที่สุดในอาณาจักรกันโต้งๆขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางไหนก็เถอะ พวกนั้นจะต้องตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีกับฉันไปเพราะกลัวการล้างแค้นของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ นั่นล่ะคือวิธีปกป้องตระกูลของพวกขุนนาง”
เคตยังจดจ้องมาที่ผมด้วยดวงตาที่กลมโตราวกับไข่ห่าน แต่ดวงตานั้นก็พลันถูกเติมเต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจอย่างมาก
เธอยังคงมองผมต่อไป
“ท่านจิโน่ นี่ท่านรักท่านหญิงคนนั้นมากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เธอพึมพำออกมาเสียงแผ่ว
ผมไม่รู้ว่าจะตอบเธอกลับไปยังไง ผมจึงพยายามที่จะปกปิดเรื่องนั้นโดยการหันหนีไปทางอื่น
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex
พิสูจน์อักษรโดย: Rain K.
MANGA DISCUSSION