“ทัต!”
“พี่ทัต!”
พิมกับฝ้ายตะโกนลั่นเหมือนหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อเห็นทัตอยู่กึ่งกลางการปะทะระหว่างมาร์คกับทอง
ทัตใช้ถุงมือเหล็กคว้าหมัดสวมสนับมือหนามของมาร์คด้วยแขนซ้าย และใช้โซ่ที่ต่อจากถุงมือเหล็กพันรอบมือขวาแทนสนับมือ ดันปากกระบอกปืนของทองขึ้นฝ้าเพดาน
การปะทะกันของคนระดับหัวหน้าหน่วยทำทั้งห้องปกคลุมด้วยความกังวล แต่การปรากฏตัวของทัตทำให้เปลี่ยนเป็นความสับสน
โดยเฉพาะทองที่ถูกดันกระบอกปืนเปลี่ยนทิศ
หมัดเหล็กสีดำกับลวดลายที่ดูละเอียดแบบนี้… เป็นอาวุธประจำตัวที่ดรอปจาก Chivalry ไม่ผิดแน่
นี่หน่วยที่ 2 มีคนขึ้นแรงค์ 2 นอกจากหัวหน้าหน่วยแล้วสินะ
ทองเข้าใจได้ทันที เพราะคนที่จะรับมือเขาได้ ยังไงก็ต้องเป็นแรงค์ 2 เหมือนกัน
แต่ทางด้านของมาร์คที่ถูกรับหมัดไว้ได้นั้นใจเย็นกว่า จึงทันสังเกตเห็นสิ่งอื่นที่ทัตซ่อนอยู่ด้วย
เมื่อกี้… ตอนที่หมอนี่พุ่งเข้ามามีประกายสายฟ้าด้วย
คงจะเป็นเวทมนตร์สายฟ้าที่มีพลังแฝงในการเพิ่มความเร็ว
แล้วดูจากอาวุธประจำตัวที่เป็นหมัดเหล็ก แสดงว่าหมอนี่น่าจะเป็น Mage Fighter
แต่ทั้งที่เป็นอาชีพผสานเหมือนกับเรา ทำไมพละกำลังถึงได้ไม่ต่างจากเราที่เลเวลมากกว่าล่ะ?
มาร์คสังเกตเห็นความพิเศษจนสงสัยใคร่รู้ จึงแอบใช้สกิลวิเคราะห์ดูข้อมูลของทัต
…โห น่าสนใจดีจริง ๆ
ผลลัพธ์ทำให้มาร์คยิ้มทั้งที่ตกตะลึง ผสมกับความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบเรื่องที่ไม่เคยรู้
เลยกลายเป็นว่ามีเรื่องที่เขาสนใจยิ่งกว่าการประชุมเกิดขึ้นมาแล้ว
“พอได้แล้วค่ะ! วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้เลยนะคะ!”
ฝ้ายตะโกนเสียงดังทำให้ทั้งทัต มาร์คและทองได้สติหันไปสนใจเธอ เพราะฝ้ายเค้นเสียงหนักแน่นแบบที่คนในห้องไม่เคยได้ยินจากเจ้าหญิงเย็นชาคนนี้
ถึงจะทำให้ควินน์ที่กำลังรอลุ้นผลมวยถอนหายใจเซ็งก็เถอะ
“เอ๋…. กำลังจะหนุกเลยอ่า”
“เงียบไปเลยค่ะ!!! จะบ้าก็ช่วยดูสถานการณ์หน่อยได้ไหมคะ!”
พิมตะโกนสวนใส่ควินน์อีกคน ถ้าความบ้าของควินน์ไปใช้กับคนอื่นพิมคงไม่เดือดร้อน แต่การที่เห็นแฟนของเธอเป็นของเล่นแบบนี้เป็นเรื่องยอมรับไม่ได้
“โถ่… ใจร้ายกันชะมัด ไม่มีอารมณ์ขันเลยน้า~~~~”
แต่แน่นอนว่าควินน์ไม่สลด แถมเธอยังกลับไปพิงเก้าอี้สบายใจเฉิบแล้ว
ส่วนมาร์คกับทองที่เริ่มใจเย็นลงก็ค่อย ๆ ถอนอาวุธออกมาจากทัต ทำให้เซนและน้ำหวาน รวมถึงพวกผู้ติดตามคนอื่นในห้องถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน
ทางน้ำหวานที่จับ ๆ จ้อง ๆ ทัตมาตลอดก็ยิ่งเริ่มแน่ใจในบางอย่าง
ทำได้เยี่ยมเลยนี่นา
น้ำหวานส่งยิ้มให้ทัต ชื่นชมความกล้าของเขาในใจ …ถึงทัตจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นก็เถอะ
กลับกัน ทัตหันไปมองทองกับมาร์คตัวต้นเรื่องแทน
“เมื่อกี้… พวกคุณไม่ได้จะเอาจริงกันใช่ไหม”
คำพูดทัตทำให้มาร์คกับทองหรี่ตามองเขากลับ
ไม่ใช่เพราะหงุดหงิด แต่เป็นแปลกใจมากกว่า
“ถึงคุณจะยกปืนขึ้นขู่แต่นิ้วก็ไม่ได้เอาเข้าไปในโกร่งไก แถมไม่ได้เล็งตรงตัวด้วย ส่วนคุณก็พุ่งเข้าไปโดยเล็งที่ปืนมากกว่าอาวุธ” ทัตพูดไปสลับมองทั้งมาร์คและทอง
“ฉันเองก็ไม่มีสิทธิพูดหรอก …แต่ถ้าไม่ได้คิดจะทำร้ายกันอยู่แล้ว ก็คุยกันดี ๆ น่าจะดีกว่า”
จบคำพูดของทัตทำให้ทั้งห้องเบิกตาโพลงอีกครั้งกับความช่างสังเกตของเขา แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ไม่ได้ตึงเครียดอย่างที่กลัว
เฮ้อ… เผลอพูดสิ่งที่คิดไปซะได้
ส่วนเจ้าตัวที่พูดไปก็ดันมาเกร็งซะทีหลัง ได้แต่มาคิดกับตัวเองว่าอะไรดลใจให้ไปพูดอวดเบ่งแบบนั้น จนรีบเก็บหมัดเหล็กแล้วลงจากโต๊ะประชุมแทบไม่ทัน
สงสัยเพราะก่อนหน้านี้ระบายความกังวลให้พิมกับฝ้ายฟังไปล่ะมั้ง เลยรู้สึกว่าจะพูดอะไรกับใครก็ได้
ไม่ไหว ๆ ตั้งสติด่วน
ทัตเตือนตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ …ทั้งที่คำพูดของเขามันส่งผลดีแท้ ๆ
พอทัตไปยืนข้างพิมอยู่หลังฝ้ายเหมือนเดิม เขาก็โดนพิมกระทุ้งศอกใส่สีข้างเข้าให้ แถมเธอยังขมวดคิ้วใส่ด้วย
“หัวใจจะวาย”
“…ขอโทษครับ”
ทัตตอบพิมที่บ่นอุบเบา ๆ เธอไม่ทำมากหรือน้อยกว่านั้น
ถึงจะเสียมารยาทก็เถอะ… แต่ทัตกลับมองว่าตรงส่วนที่ทั้งเป็นห่วงทัตมากเกินไปและไม่อยากว่าอะไรเกินไปด้วยนี่แหละที่น่ารัก
“พี่ทัตคะ”
“อึก!”
ต่างจากฝ้ายที่เรียกเขาเสียงเย็นชามาเชียว แถมยังไม่ได้หันหลังกลับมาคุยเลยไม่รู้ว่าเธอกำลังทำหน้าแบบไหน
…แต่ดูจากควินน์ที่กำลังยิ้มสนุกชอบใจอยู่ฝั่งตรงข้าม ทัตรู้ตัวเลยว่าเขากำลังจะโดนองค์ลง
“หลังจากนี้เราต้องคุยกันนะคะ”
“คะ ครับ…”
ทัตทำได้แค่ตอบกลับตัวสั่น ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าฝ้ายคงไม่ทำอะไรเขา แต่ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี
บรรยากาศนั้นดูขบขันไม่เบา รวมกับเรื่องที่ทะเลาะกันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทำให้บรรยากาศเริ่มจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
เซนสังเกตรอยยิ้มทุกคนเช่นกัน และตั้งใจจะจัดการความบาดหมางไม่ให้ค้างคา
“คุณมาร์คครับ”
“…อา”
เสียงเรียกเหมือนคำเตือน มาร์คเข้าใจทันทีว่าเซนอยากให้เขาทำสิ่งที่ควรทำ
มาร์คเลยหันไปทางทอง เก็บสนับมือเหล็กหนามให้หายไปจากมือตัวเอง
“โทษทีนะทอง ฉันพูดแรงไป”
“…ฉันเองก็หัวเสียง่ายไปเหมือนกัน โทษทีนะ”
เห็นมาร์คก้มหัวให้เบา ๆ ทองเลยก้มหัวคืนบ้าง เพราะถ้าไม่ทำ เขาคงได้กลายเป็นพวกใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางดังที่มาร์คพูดเป็นแน่
“ขอบคุณทั้งสองคนนะครับ” เซนเห็นทั้งสองคนดีกันแล้วยิ้มสบายใจ
“คุณทัตด้วย ขอบคุณนะครับ”
เซนไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณทัตด้วย เพราะถ้าไม่ใช่เพราะทัตเข้าไปหยุด รวมถึงสังเกตเห็นเจตนาของทั้งสองคน ป่านนี้มาร์คกับทองคงยังระแวงกันอยู่หรืออาจถึงขั้นแตกหักไปเลย
ถึงการที่ทัตเข้าไปยุ่ง มันจะทำให้ทุกคนสงสัยกันขึ้นมาแทนก็ตาม
“ว่าไปแล้ว” มาร์คถือโอกาสพูดขึ้นตามข้อสงสัยก่อนหน้านี้ สายตาเขามองไปที่ทัตเต็ม ๆ
“ได้ยินข่าวลือว่าในหน่วย 2 มีคนที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นทั้งที่เลเวลน้อยกว่าอยู่ด้วย คงไม่บังเอิญเป็นนายหรอกนะ”
“โทษทีละกันที่บังเอิญใช่”
ทัตไม่ปฏิเสธในเรื่องที่รู้กันอยู่ ทุกคนในห้องเห็นกับตาไปแล้วว่าเขารับมือหัวหน้าหน่วยสองคนพร้อมกันได้ จะให้โกหกก็เสียเรื่องเปล่า ๆ
แต่พอเจ้าตัวยืนยัน เรื่องน่าเหลือเชื่อนั่นเลยไปปลุกความสาระแนของควินน์เข้าให้ด้วย
“เดี๋ยวสิ! เรื่องนั้นมันยังไงอ่ะ! อยากฟังอ่ะ!!!”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ กรุณาอย่าก้าวก่ายกันด้วย”
ฝ้ายรีบเบรกทันทีเพราะรู้ว่าทัตไม่ชอบเปิดเผยไพ่ในมือ พิมที่อยู่ข้างหลังก็พยักหน้าตาม แถมกระซิบไล่หลังมาด้วยว่า “ใช่ ๆ”
แต่แทนที่ควินน์จะเงียบ เธอดันยิ้มแก้มปริกลับมาใส่ฝ้ายแทน
“ต๊ายตาย! ทำเป็นพูดนั่นพูดนี่ ที่จริงก็แค่หวงพี่ชายเฉย ๆ ล่ะม้างแม่บราค่อนตัวเป้ง”
“!?”
โดนควินน์พูดแทงใจดำเข้าไป ฝ้ายก็ถึงกับตัวกระตุกเหมือนโดนคำพูดแทง ฉึก! ที่กลางอก เธอถึงกับหน้าแดงตัวสั่นกึก เก็บอาการไม่อยู่พูดอะไรไม่ออกไปเลย
ถึงจะแอบน่ารักดีก็เถอะนะ
ทัตแอบนึกเอ็นดูฝ้าย แต่แน่นอนว่าไม่พูดออกมาแน่ ๆ
แล้วไม่รู้ว่าควินน์รู้เรื่องนั้นได้ยังไง …แต่ถ้าเธสังเกตด้วยตัวเองล่ะก็ ทัตก็เริ่มจะกลัวสัญชาตญาณของผู้หญิงคนนี้เข้าซะแล้ว
แถมความสนใจในตัวทัตยังไม่หยุดแค่ที่ควินน์ด้วย
“แต่เอาเข้าจริง ฉันเองก็เริ่มสนใจในตัวนายแล้วเหมือนกัน” น้ำหวานนั่งท้าวคางและส่งสายตามาทางทัตแบบไม่ปิดบังอีกคน
ช่างเป็นสายตาปริศนา ไม่รู้ว่าความสนใจนั้นไปจรดอยู่ที่พลังของทัตหรือว่าตัวเขาเอง
แต่เหมือนจะมีคนมองออก… พิมเลยเดินเข้าไปขวางสายตาของน้ำหวานไม่ให้ไปถึงทัต
“บอกไว้ก่อนนะคะ ทัตเป็นแฟนของฉันค่ะ” พิมท้าวสะเอว ส่งสายตาไล่อย่างไร้ความเกรงกลัว
“อ้าวเหรอ?” น้ำหวานเลิกคิ้วแปลกใจ …แม้จะไม่เสียรอยยิ้มไปเลยก็ตาม
“น่าเสียดายจัง”
“หา!?”
มาเสียดายอะไรยะหล่อน! ฮึ่ย!
พิมโกรธจนควันออกหู ปาฏิหาริย์แล้วที่ไม่ได้ด่ากลับหรือเข้าไปหาเรื่อง …ถึงนั่นจะเป็นเพราะทัตล็อคตัวเธอไว้ก่อนก็เถอะ
ไม่ไหว… ถ้าไม่พูดนี่ไม่จบแหง ๆ
“งั้นฉันบอกก็ได้ จะได้ประชุมกันต่อ”
“รบกวนด้วยนะครับ”
เซนยิ้มแห้งเป็นครั้งแรก ดูท่าคนจริงจังแบบเขาจะรับมือบรรยากาศกุ๊กกิ๊กแบบนี้ไม่ค่อยถนัดเหมือนกัน
ทองเองก็มองกลับหลังมาดูเห็นใจทัต ไม่สิ… เรียกว่าสงสารเลยก็คงไม่ผิด
และด้วยเหตุนั้น… ทัตเลยเปิดหน้าต่างข้อมูล และเปิดฉายา ‘The One’ ให้ทุกคนเห็น
โต๊ะประชุมเองก็ไม่ได้กว้าง แถมสายตาทุกคนตอนเกิดเฟิร์สไนท์ก็เหนือมนุษย์ตามร่างกายอยู่แล้ว จึงมองเห็นความน่าทึ่งของพลังทัตได้พร้อมกัน
ยกเว้นเซนกับคริส และมาร์คที่รู้ไปก่อนแล้ว ทุกคนเลิกคิ้วตกตะลึงกันหมด
“ยอดเลยนะ ไม่ยักรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย” ทองหันกลับไปมองทัตอีกครั้ง
รอบนี้ดูจะชื่นชม หรืออีกนัยนึงคือยอมรับเหตุผลที่ทัตรับมือเขาได้ก่อนหน้านี้
“หืม…” ทางน้ำหวานดูยิ่งยิ้มใส่ทัตหนักกว่าเดิม
และแน่นอน… นั่นทำให้พิม (และฝ้าย) หัวเสียยิ่งกว่าเดิม
“เดี๋ยวนะ? ไอ้นี่มันหมายความว่าไง?” ส่วนควินน์นั้นเธอหันไปถามลูกน้อง ชายที่ดูเป็นอันธพาลเลยต้องขยับเข้ากระซิบ
“แบบว่า… มันเหมือนกับเขาอัพทั้งสามอาชีพพร้อมกันเลยน่ะครับ” ชายตอบสั้น ๆ ดูจะเข้าใจอะไรง่ายทะลุปรุโปร่งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่ชอบใช้หัว
ส่วนคนที่ไม่มีหัวจริง ๆ คือทางควินน์มากกว่า
“เอ๋? ยังไงซิ? แล้วเก่งรึเปล่า?” ง่ายขนาดนี้ควินน์ยังทำหน้าไม่เข้าใจที่อธิบาย ทำเอาลูกน้องชายหมดคำจะพูด
“เขาเก่งสุด ๆ เลยครับ”
“โฮ้ว!”
ลูกน้องใช้ภาษาเดียวกัน ควินน์ก็ตื่นเต้นจนแทบจะดีดตัวตกเก้าอี้
แววตาเธอเลยจ้องมาทางทัตอีกคน เป็นความสนใจคนละแบบกับที่น้ำหวานส่งมา แถมควินน์ยังเลียริมฝีปากเหมือนอยากลองชิมเนื้อเขาอีก
ขนลุกชิบ
ทัตรับสายตานั้นไม่ไหว เลยหันไปมองทางเซนเหมือนขอร้อง
“งั้นในเมื่อทุกคนหายสงสัยแล้ว เรามาประชุมกันต่อนะครับ”
“อืม” ทองพยักหน้า
“สักทีเถอะ” มาร์คเองก็ดูรอนานแล้ว
“ได้เลยค่า”
“ยอมไปก่อนละกันน้า”
น้ำหวานกับควินน์ก็ตอบกลับอย่างครึกครื้น
มีแต่ทัต พิมและฝ้ายถอนหายใจพร้อมกันเหมือนได้เวลาพักกลับมา
เซนเองก็ปรับลมหายใจตัวเองใหม่ และกลับไปยังประเด็นเริ่มต้นที่ทองเสนอ
“ก่อนอื่นที่คุณทองเสนอ… มีใครเห็นด้วยไหมครับที่อยากจะให้เอากฎห้ามฆ่าคนออก ทั้งแบบที่มีหลักการและไม่มีหลักการ”
เซนกลับไปพูดถึงข้อเสนอของทองอีกครั้งและเริ่มมองไปรอบห้อง ทองเองแม้จะทำเหมือนไม่สนใจแต่สายตาก็กวาดไปรอบทิศด้วยความลุ้นระทึก
และผลลัพธ์ก็คือ… น้ำหวาน ควินน์ และฝ้าย แม้กระทั่งมาร์คที่พูดขัดเองก็ยกมือขึ้นเห็นด้วย
“งั้นเหรอ…”
ทองกระซิบเบา ๆ อย่างโล่งใจ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบ
“ว่าแต่… ที่บอกว่ามีหลักการเนี่ย ในทางปฏิบัติหมายความว่ายังไงเหรอ?” ทองเอ่ยถามทุกคน น้ำเสียงเขาดูผ่อนคลายลงเยอะมากเมื่อรู้ว่าความเห็นไปในทางเดียวกัน
มาร์คยกมือขึ้นในจังหวะนั้น
“พอดีเลย… งั้นไหน ๆ ฉันก็ขอพูดข้อเสนอของฉันบ้าง” มาร์คกระแอมครั้งนึงก่อนจะเริ่มพูด
“การยกเลิกกฎการฆ่าคนเป็นส่วนหนึ่งของแผนฉัน แต่ภาพใหญ่ที่ฉันอยากจะทำจริง ๆ คือการสร้างกฎหมายของผู้มีพลังขึ้นมา”
คำพูดของมาร์คทำให้ทุกคนเงียบยำเกรง จากที่คำว่า ‘กฎหมาย’ ออกมาจากปากของผู้สวมชุดพิทักษ์สันติราษฎร์
แต่ฝ้าย พิมและทัตนั้นนิ่งไปคนละสาเหตุ… พิมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหลือบมองทัตด้วยรอยยิ้มเหมือนข้อสอบออกตรงกับที่อ่าน
กฎหมายเหรอ
งั้นหมอนี่ก็… คิดเหมือนกับเรา
ทัตเริ่มเห็นความหวัง รอยยิ้มเผยที่มุมปาก พิมเห็นแล้วก็พลอยสบายใจ
แต่เรื่องรายละเอียดนั้น ทัตยังต้องฟังต่อ
“กฎหมายเหรอครับ… ที่จริงนั่นก็เป็นหนึ่งในสองอย่างที่ฉันคิดเหมือนกันเลย” เซนเองก็ดูจะวางแผนมาคล้าย ๆ กัน
แถมยังหันไปมองทัตอีกรอบต่างหาก เป็นไปได้ว่าแผนของเซนคิดขึ้นโดยมีความเห็นของทัตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นต้นน้ำ
ส่วนทางมาร์ค ยิ่งเขาได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าใหญ่เขายิ่งมีแรงผลักดันและความมั่นใจ
“อา… ถ้าเรามีกฎหมายและบังคับใช้ได้ ความเรียบร้อยจะเกิดขึ้นได้แน่ ยกตัวอย่างเช่นบทลงโทษประหาร ถ้าพวกเรามีระบบที่ตรวจสอบผู้กระทำผิดและลงโทษพวกนอกคอกด้วยโทษตาย ถึงพวกนั้นจะไม่ยอมรับกฎของเราก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงไม่ทำตามก็จะลงโทษอยู่ดี และเมื่ออำนาจบังคับใช้ขยายเป็นวงกว้าง มันก็จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ไปเอง”
มาร์คผายมือพูด การอธิบายนั้นดูเป็นผู้ใหญ่สมกับที่เขาน่าจะมีอายุสูงสุดในห้อง ทำให้ทองจับคางเริ่มคิดตาม
“งั้นเหรอ… โดยหลักการแล้ว มันก็ไม่ต่างกับตาต่อตาฟันต่อฟันที่พอฝั่งเราโดนฆ่า เราก็ไปฆ่าพวกมันกลับ แต่พอมีกฎระบุชัดเจน มันจะเห็นภาพชัดขึ้นว่าอะไรควรทำไม่ควรทำสินะ”
“อืม …นอกจากนี้ ฉันคิดจะลงโทษเซฟเวอร์ที่ทำผิดด้วยกฎเดียวกันด้วย พอแจกความเท่าเทียมแบบนี้ กฎของเราก็จะชอบธรรมมากขึ้นอีก”
มาร์คเสริมให้ทองอีกต่อ ทำให้ทุกคนนึกถึงกรณีที่เซฟเวอร์เป็นฝ่ายผิด ซึ่งถ้าบังคับใช้กับพวกตัวเองด้วย เซฟเวอร์ก็ยังคงภาพลักษณ์ผู้ช่วยเหลือและเป็นกลางได้อยู่ เนื่องจากไม่ได้อุ้มชูแค่พวกตน หากแต่ผดุงธรรมให้ทุกฝ่าย
การสร้างกฎหมายที่บังคับใช้ทั้งเซฟเวอร์และกลุ่มอิสระ… แกนหลักนั้นเริ่มชัดขึ้นมาในหัวทุกคนแล้ว
“คุณน้ำหวานคิดว่าไงครับ” เซนถามความเห็นเพิ่ม
“เอาจริง ๆ ฉันพกมาแค่ความตั้งใจ ไม่ได้มีแผนหรอก แต่ได้ยินพวกนายคุยกันแล้วก็เข้าท่าดีนะ”
น้ำหวานดูผ่อนคลายกว่าที่คิด น้ำเสียงเย็นเยือกเป็นน้ำแข็งตอนพูดถึงพวกนอกคอกก็หายไปแล้ว
บางทีเธอคงแค่อยากได้วิธีรับมือพวกนอกคอกแบบเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าตั้งรับเฉย ๆ แบบนี้เธอจึงพอรับได้
“คุณฝ้ายล่ะครับ”
“เห็นด้วยในส่วนกฎหมายค่ะ ถึงในรายละเอียดจะมีส่วนที่อยากเสนอเพิ่ม แต่ส่วนหลักนั้นเห็นตรงกันค่ะ”
ฝ้ายตอบเรียบเฉยไร้อารมณ์ร่วมตามเคย เดิมทีเธอก็มาที่นี่เพื่อให้ทัตเสนอแผนตัวเองอยู่แล้ว ส่วนที่บอกว่าอยากเพิ่มก็เป็นแผนของทัตด้วยซ้ำไป
“เดี๋ยวนะ? ไม่มีใครถามฉันเลยเหยอ?” ควินน์เอียงคอมองเซนรู้สึกเหมือนถูกทิ้งอยู่คนเดียว ทำน้ำหวานยิ้มแห้ง
“อย่างเธอคงแค่จะฆ่าคนที่มาฆ่าเธอก่อนเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอกมั้ง”
น้ำหวานพูดไปจิ้มแก้มตัวเองไปหวังจะให้ดูน่ารักขึ้น แต่แน่นอนว่าคำพูดเธอยังจิกกัดเหมือนเดิม
…ถึงเซนจะพยักหน้าเห็นด้วยก็เถอะ
“ถ้าไม่นับเรื่องนิสัยส่วนตัวของคุณควินน์ แต่ที่เขาพูดมันก็ถือเป็นการป้องกันตัว เพราะงั้นก็ถือเป็นหลักการนึงที่รับได้แหละครับ”
“เดี๋ยวสิ ไม่นับนิสัยส่วนตัวนี่มันยังไงเนี่ย!”
ควินน์เริ่มจะบ่นอุบ แต่ถามว่าเธองอแงไหม? ก็ไม่ตามเคย
ดูท่าการแสดงออกแบบนี้จะเป็นบุคลิกของเธอเองมากกว่าจะทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“แล้วคุณทัตคิดยังไงเหรอครับ?”
จู่ ๆ เซนก็เปลี่ยนเป้าไปหาทัต ทำเอาเตรียมใจไม่ทัน แถมสายตาทุกคนก็เพ่งเล็งมาทางเขากันหมดเลย
เห็นชัดว่าแม้ทัตจะไม่ใช่ระดับหัวหน้าหน่วย แต่ความแข็งแกร่งอันทัดเทียมกันที่แสดงให้เห็น มันมากพอแล้วให้เหล่าผู้ติดตามและหัวหน้าหน่วยคนอื่นยอมรับ
งั้นก็พอดีเลย…
“ฉันเห็นด้วยเรื่องที่ต้องมีกฎหมาย และระบบตรวจสอบเพื่อบังคับใช้กฎหมายนั้นนะ คิดว่าคงต้องสร้างเป็นหน่วยงานนึงขึ้นมาเพื่อจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
ทัตไม่รอช้าและใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ …เพื่อที่จะนำไปสู่เส้นทางที่ตัวเองอยากเดิน
“และหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายนั่น ฉันอยากมีส่วนในการบังคับบัญชาด้วย”
คำพูดของทัตดึงความสนใจทุกคนอีกครั้ง กระทั่งบางคนถึงกับตกใจและหวาดกลัว
เพราะคำพูดของทัตมันแทบจะหมายความว่า ‘ฉันอยากจะสร้างองค์กรตำรวจของเซฟเวอร์ และมีฉันเป็นหัวหน้าเอง’
อย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้หลายคนระแวง โดยเฉพาะมาร์คที่เป็นตำรวจ
เพราะบางที… เขาอาจกำลังหวังอย่างเดียวกันอยู่ก็ได้
“เหตุผลล่ะครับ” เซนที่ใจเย็นกว่าถามกลับอย่างระวัง แทบไม่ต่างจากครั้งของทองเลย
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทัตต้องการตำแหน่งเพราะเชื่อว่าตัวเองมีความยุติธรรมที่สุด
ทว่า… ความต้องการส่วนตัวไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทัตยืนกราน แต่เป็นเพราะเขามีพลังที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งนั้นด้วยต่างหาก
“สำหรับกฎหมายที่ว่ามา… ในทางปฏิบัติ บทลงโทษที่เราทำได้คงมีแต่โทษประหารสินะ” ทัตหันเปลี่ยนไปถามมาร์ค
เขาดูจะครุ่นคิดเหมือนพยายามอ่านทางทัต แต่สุดท้ายก็ตอบไปตามตรง
“ก็คงงั้น… เพราะต่อให้ขังหรือลงโทษทางร่างกายไป แต่พอตอนเช้ามาถึงทุกอย่างก็ถูกรีเซ็ท ถ้าไม่ใช่การลงโทษที่มีผลลัพธ์ต่อเนื่องอย่างการตาย คนพวกนี้ไม่กลัวอยู่แล้ว”
คำตอบของมาร์คทำให้ทุกคนกลับมาหน้านิ่ว เพราะนั่นแหละคือปัญหาใหญ่ของกฎหมายที่กำลังจะสร้าง
กฎหมายโดยปกติแล้วจะมีตั้งแต่โทษสถานเบาไปจนถึงสถานหนักตามความผิดที่ทำ แต่จะปรับโทษด้วยสิ่งของหรือกักขังผู้มีพลังไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิมในตอนเช้าแม้กระทั่งอวัยวะที่ขาด
ครั้นจะใช้การประหารกับโทษทุกสถานก็รุนแรงไป แต่จะไม่ลงโทษเลยก็ไม่ได้ เพราะหากปล่อยให้มีการข่มขู่ ขโมยหรือทำร้ายร่างกาย ก็เรียกไม่ได้ว่ามีความสงบตามความคาดหมาย
ทว่า… แสงแห่งความหวังนั้นไม่ได้ริบหรี่
เพราะวิธีแก้ปัญหานั้น มันอยู่ในมือของทัตแล้ว
“ถ้าฉันบอกว่ามีการลงโทษแบบอื่นอยู่ด้วยล่ะ”
“…ยังไงเหรอ?”
มาร์คเริ่มใช้น้ำเสียงเร่งเร้าสนใจ สายตาของเหล่าหัวหน้าหน่วยก็มองไปทางทัตด้วยเหมือนกัน
ทัตเลยเปิดหน้าต่างข้อมูลขึ้นอีกครั้ง แต่หนนี้สิ่งที่เขาเปิดคำอธิบายให้ดูคือสกิลเฉพาะอย่าง ‘ถ่ายโอน’
นั่นทำให้ทุกคนในห้องเบิกตาโพลงอีกครั้ง
“นี่มัน… พูดง่าย ๆ คือดูดเลเวลกับสเตตัสคนอื่นได้สินะ” ทองสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ แบบนั้น
“เห…” น้ำหวานส่งเสียงด้วยรอยยิ้มแบบไม่ตอบอะไรตามเคย
แล้วสายตาที่มองทัตก็ยิ่งรุนแรงขึ้นอีกเช่นกัน
“สกิลนี้ได้มายังไงเนี่ย?” มาร์คชี้นิ้วสงสัยเรื่องนั้นก่อน และคนที่ยกมือขึ้นตอบคือฝ้าย
“ฉันเคยรายงานให้ฟังแล้วว่าพวกเราเจอมอนสเตอร์ประเภท ‘ลอร์ด’ เป็นครั้งแรก และสกิลนี้ของพี่ทัตคือสิ่งที่ได้มาจากมันค่ะ”
“…งั้นเหรอ”
มาร์คกอดอกครุ่นคิดถึงข้อมูลที่เคยได้รับรายงานก่อนหน้า ดูท่าสกิลนี้จะใช้ได้จริง และการมีสกิลนี้จะอุดช่องโหว่ของการลงโทษสถานเบาได้แน่
ในขณะที่ทัตนั้นจับจ้องท่าทางของมาร์คอย่างใกล้ชิด เพราะรู้สึกว่าคำถามนั้นมีเจตนาแฝง
ต้องขอบคุณฝ้ายที่ย้ำเรื่องลอร์ดมอนสเตอร์ ทำให้ทุกคนรู้ว่าสกิลนี้ไม่ได้หามาได้ง่าย ๆ
พูดอีกอย่างคือ เธอกำลังสร้างข้อได้เปรียบให้เราเป็นตัวตนที่ขาดไม่ได้ในแผนการสร้างหน่วยใหม่นี้
ทั้งหมดก็เพื่อให้ฉันได้ควบคุมทิศทางของการปราบปราม
อาจจะดูเหมือนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเกินไปหน่อย… แต่ยังไงฉันก็เชื่อว่าตัวเองจะใช้พลังนี้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดอยู่ดี
เพราะถึงจะมีกฎหมายในมือ แต่ถ้าคนบังคับใช้มีอคติและลงโทษโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวจนกลายเป็นสองมาตรฐาน สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีกฎหมายหรอก
ฉันเกลียดเรื่องแบบนั้น… สัญญากับสินไว้แล้วว่าจะไม่เปลี่ยนไป และจะเป็นคนที่ทำทุกอย่างแบบมีเหตุมีผลไปจนสุดทาง
เพราะงั้น จะให้คนอื่นทำแทนน่ะยังเชื่อใจไม่ได้หรอก
มาร์คนี่ถึงจะดูเป็นคนดีก็เถอะ แต่รู้จักกันแค่วันเดียวคงฝากฝังความหวังไว้ไม่ได้ขนาดนั้น
ไม่สิ… อีกฝ่ายก็คงคิดเหมือนกันแหละมั้ง
ทัตจับสังเกตมาร์คมากขึ้น พยายามจะอ่านใจเขาให้ได้
เพราะถ้าทัตเป็นมาร์ค เขาคงจะพยายามหาความชอบธรรมให้ตัวเองได้เป็นหัวหน้าหน่วยใหม่นี้เหมือนกัน
ต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่มีใครดีกว่าตนในเรื่องที่ตนถนัด… นั่นเป็นธรรมดาของมนุษย์
“ก็จริงที่ถ้ามีการดูดเลเวลและสเตตัส บทลงโทษก็จะมีหลากหลายขึ้น อาชญากรรมที่เบากว่าอย่างการขโมย ข่มขู่และทำร้ายร่างกายก็จะถูกแก้ปัญหาด้วย” มาร์คมองตาทัตตรง ๆ
…แต่แล้วแววตาก็คมกริบขึ้นมา
“แต่ขอโทษทีนะ นั่นก็ยังไม่ได้อธิบายว่าทำไมนายถึงควรได้คุมหน่วยใหม่”
มาร์คเริ่มผสานมือ ทำท่าทางกดดันการเจรจาเหมือนกับเซน
กะแล้วเชียว…
สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่ทัตคิด คนที่อยากคุมหน่วยปราบปรามใหม่นี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
ซ้ำร้ายกว่านั้น…
“ไม่ได้จะชวนทะเลาะซ้ำหรอกนะ… แต่ฉันเองก็สนใจจะคุมหน่วยใหม่เหมือนกัน”
ช่างผีซ้ำด้ำพลอยที่ทองเองก็ยกมือขึ้นเข้าท้าชิงตำแหน่งด้วยอีกคน ทำให้สถานการณ์เริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
เซนเห็นสถานการณ์แล้วเริ่มเหงื่อตกเป็นครั้งแรก
สองคนเป็นหัวหน้าหน่วยที่มีประสบการณ์สูง ส่วนอีกคนเป็นบุคลากรคุณภาพที่ควรได้รับตำแหน่งแต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ จะให้เลือกแค่คนเดียวจากในนี้มันไม่ใช่ง่าย ๆ เลย
เอาไงดี… ถ้าจะให้โหวตกันคงจะยุติธรรมที่สุด
แต่ปัญหาคือตัวแกนหลักของแผนคือคุณทัตเนี่ยสิ
ถ้าขืนผลโหวตออกมาเป็นคนอื่น แล้วคุณทัตไม่เอาด้วยจนออกจากเซฟเวอร์ไปทุกอย่างก็จบอยู่ดี
…นี่หรือว่าพวกเราถูก ‘รุกจน’ มาตั้งแต่แรกกันแล้วเนี่ย
เซนคิดแล้วก็เหงื่อตกอีกครั้งแม้พยายามตีหน้านิ่ง รู้สึกเหมือนทางเลือกมีแค่ลองให้ทัตเป็นหัวหน้าหน่วยใหม่หรือไม่ก็จมอยู่กับโลกแบบเดิม
เขาสงสัยแบบนั้นเลยแอบเหลือบตามองทัต
…เข้าใจล่ะ ไม่ได้มีดีแค่ความกล้าสินะ
เซนเห็นสีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่งของทัตแล้วเชื่ออย่างนั้น เรื่องทั้งหมดนี้ทัตวางแผนไว้แล้วแน่นอน รวมกับความแข็งกร้าวที่ทัตแสดงออกเมื่อสัปดาห์ก่อนด้วย
หากทัตไม่ได้รับตำแหน่งนี้… เขาจะต้องออกจากเซฟเวอร์ไปแน่ ๆ รวมถึงพิมกับฝ้ายที่สนิทสนมกันกับทัตก็อาจจะออกด้วยเหมือนกัน
ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมห้องประชุมอีกครั้ง เพราะเซนไม่อยากเสียบุคลากรอันมีค่าทั้งสามไป
ผู้ท้าชิงทั้งสามเลยได้แต่เงียบตาม เพราะถ้าแสดงออกว่าอยากได้ตำแหน่งมากเกินไปมันก็ไม่ดีอีก
“ฉู้กันเลย! ฉู้กัน! ใครชนะได้เป็นหัวหน้า!!!”
อยู่ ๆ ควินน์ตบโต๊ะพูดโพล่งขึ้นมาเฉยเลย ช่างเป็นความร่าเริงที่ไม่ดูจังหวะตามเคย
“เฮ้อ… ใครจะไปทำแบบนั้นกันคะ?” ฝ้ายที่นั่งฝั่งตรงข้ามถึงกับถอนหายใจ
“อ้าวแหม? ฉันว่าน่าสนุกออก” แต่น้ำหวานดันพูดเหมือนเห็นด้วยแถมยังยิ้มแย้มอีก ยิ่งทำให้พิมที่หงุดหงิดอยู่แล้วยิ่งยั๊วเข้าไปใหญ่
“จะพูดเล่นก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะค่ะ คนที่ใช้ความรุนแรงเพื่อตำแหน่งได้น่ะ ไม่เหมาะสมจะควบคุมความสงบเรียบร้อยหรอก”
“แหม ๆ พูดได้คมดีเหมือนกันนี่นา”
“…อะไรของคุณกันคะเนี่ย”
โดนน้ำหวานชมพิมก็ถึงกับขมวดคิ้วงง ผู้หญิงคนนี้นี่ยังอ่านไม่ออกตามเคย
แต่ก็จริงดังที่พิมว่า… ขืนมีใครเล่นตามลูกบ้าของควินน์เข้า คน ๆ นั้นนั่นแหละที่จะถูกตัดสิทธิก่อนเพื่อน
ถึงเจตนาพิมจะพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ทัตสู้ก็เถอะ แต่คำพูดนั้นมันก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี
ใครที่นิ่งได้นานกว่าคนนั้นคือผู้ชนะ
…และคนที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ชนะอย่างทัตนี่แหละที่ได้เปรียบที่สุด
ก็ไม่อยากทำเหมือนขู่กันหรอกนะ… แต่ตอนนี้อีกฝ่ายคงเริ่มมีคิดกันแล้วล่ะ ว่าถ้าไม่ทำตามข้อเสนอของฉัน พวกนั้นก็จะเสียทั้งฉัน พิมแล้วก็ฝ้ายที่เป็นแรงค์ 2 ไปจากองค์กร
แต่ถึงพวกนายจะไม่เอาฉันเป็นหัวหน้าหน่วยใหม่จริง ๆ ฉันเองก็มีแผนสำรองที่จะตั้งกลุ่มใหม่เองอยู่แล้ว
ก่อนอื่นก็คงชวนพวกเจสันมาร่วมด้วยแบบเป็นพันธมิตรไม่ใช่ลูกน้อง จากนั้นก็ดำเนินแผนการสร้างกฎหมายด้วยตัวเองโดยเริ่มจากเมืองของเราก่อน
จากนั้นพอควบคุมความสงบได้แล้ว การชวนกลุ่มอื่น ๆ เข้ามาใช้กฎระเบียบร่วมกันก็จะยิ่งง่ายขึ้น
ถึงจะใช้เวลาเยอะหน่อยเพราะต้องเริ่มจากศูนย์ แต่มันก็ยังดีกว่าเดินตามอุดมคติของตัวเองไม่ได้
แล้วพอทุกอย่างเรียบร้อย… เราก็จะสะสมกำลังพลเพื่อไปฆ่าไอ้ลอร์ดนั่น เฟิร์สไนท์ก็จะได้จบลงสักที
นี่แหละสุดยอดแผนของเราสามคน… ถึงไม่ทำตามพวกเราก็ไม่ง้ออยู่แล้ว
ที่เหลือก็แค่รอการตัดสินใจของพวกหัวหน้าหน่วยเท่านั้———
“ “ “ “ “!!!?” ” ” ” ”
พริบตานั้น อยู่ ๆ ทัต พิม ฝ้าย เซน มาร์ค ทอง น้ำหวานและควินน์ทุกคนต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ กระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วแผ่นหลังของเหล่าผู้มีพลังแรงค์ 2 พร้อมกัน
พวกเขาตระหนักรู้สัญญาณของความกลัวนี้ดี …ว่ามันมาจากสกิล ‘ซิกส์เซนส์’
เซนรีบกระโดดลงจากเก้าอี้พุ่งเข้าไปคว้าตัวคริสให้หมอบลง
มาร์คลุกจากโต๊ะเอาตัวบังให้ลูกน้องด้านหลังเขา
ควินน์รีบพลิกตัวเตะลูกน้องสองคนของเธอออกไปจนถึงหลังห้อง
ทองรีบจับลูกน้องทั้งสองคนโยนไปด้านหน้าห้อง
น้ำหวานพลิกตัวกลับ ใช้แขนล็อคเอวลูกน้องพ่อบ้านสองคนกระโดดหนีไปหน้าห้อง
ส่วนทัตจะพุ่งเข้าไปคว้าตัวพิมกับฝ้าย แต่ทั้งสองคนก็พุ่งเข้ามาพร้อมกันจนล้มคะมำกันหมด
…แต่เพราะแบบนั้น ทั้งสามคนเลยรอดแบบหวุดหวิด
ตู้ม!!!
หอกยักษ์สองง่ามแทงเฉียงขึ้นจากพื้นเข้ามาในห้องประชุมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันพุ่งผ่านด้านหลังทัตเข้าไปแทงฝ้าเพดานฝั่งของพวกมาร์ค เฉียดทัตไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
หากทัตยังยืนอยู่ที่เดิม หอกยักษ์นี่คงตัดร่างเขาเป็นสองส่วนไปแล้ว
หอกยักษ์เหรอ!? แถมยังสีดำแล้วก็มีลวดลายแบบนี้อีก
อย่าบอกนะว่า!!!
ทัตรู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง สัมผัสอันตรายนั้นไม่ได้มาจากแค่สกิล แต่ยังมาจากสัญชาตญาณ
เขารีบมองผ่านผนังที่พังทลายลงไปเพื่อยืนยันสถานการณ์ ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิด
…โคตรซวยเลย
แต่โชคชะตาไม่เคยเข้าข้าง… หรือจะเรียกว่าซ้ำเติมเลยก็ได้
เพราะศัตรูที่อยู่เบื้องล่างบนถนนโรงพยาบาล คืออัศวินเกราะสีดำทมิฬ ‘Chivalry’ ศัตรูอันดับหนึ่งของเหล่าผู้มีพลัง
…แต่ที่หนักกว่าเดิม คือมันกำลังขี่มังกรสีแดงเพลิงขนาดยักษ์อยู่ด้วย
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION