หลังจากที่ฉันแสดงความต้องการว่าอยากจัดระเบียบสังคมของพวกผู้มีพลังใหม่ เซนก็สังบัตรเชิญมาให้ในตอนเย็นของวันถัดมา
เป็นบัตรเชิญเข้าประชุมทางการแบบไม่ได้ทำลวก ๆ แถมมาพร้อมตั๋วเครื่องบิน 3 ใบอีกต่างหาก
ดูแล้ว หัวหน้าใหญ่นี่คงรวยเอาเรื่องเลยแฮะ
…แต่จะว่าไป หมอนี่ก็มีทั้งเส้นสายและเครือข่ายที่สามารถสร้างเซฟเวอร์ได้ คงไม่น่าใช่ลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ อยู่แล้วล่ะมั้ง
ส่วนเรื่องของบัตรเชิญ ดูเหมือนจะนัดไว้วันเสาร์หน้า เวลา 17.00 น. ที่ รพ. แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดเฟิร์สไนท์พอดี
แล้วเห็นว่าหัวหน้าหน่วยหลักทุกคนไปที่นั่นด้วย เลยเป็นเหตุผลที่ฝ้ายเองก็ต้องไป
เพราะเธอเป็นหัวหน้าหน่วยประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือล่ะนะ
และที่ตั๋วมีอีก 2 ใบก็เพราะเซนให้พาผู้ช่วยมาด้วย 2 คน
ซึ่งคนนึงต้องเป็นฉันที่เซนเชิญให้มาเป็นการส่วนตัว
ปัญหาก็คือที่ว่างอีกคนจะเป็นของใครนี่แหละ …ซึ่งว่ากันตามหลักแล้วก็ควรจะเป็นมิ้นที่เป็นมือขวาของฝ้าย
แล้วทำไมถึงบอกว่าเป็นปัญหางั้นเหรอ? ก็เพราะพิมอยากจะเป็นคนไปแทนน่ะสิ
เหตุผลทางมิ้น เธอน่ะอยากตามฝ้ายไปอยู่แล้ว ก็เป็นติ่งซะขนาดนั้น
ส่วนพิมก็ …แน่นอนล่ะว่าอยากตามฉันไป แต่เดาว่าอีกสาเหตุนึงก็คงไม่อยากให้ฉันอยู่นอกสายตากับผู้หญิงคนอื่นนี่แหละ
มิ้นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่พิมกังวลคงเป็นฝ้ายนี่แหละ
แล้วถึงจะซื้อตั๋วไปเอง (ซึ่งเธอซื้อได้อยู่แล้ว) แต่ก็ไม่ได้เข้าประชุมด้วยกันอยู่ดี
“ถ้าเกิดทัตโดนหัวหน้าหน่วยคนอื่นโจมตีเข้าจะทำยังไงล่ะ?”
จากเรื่องที่เกิดขึ้นในการประชุมครั้งก่อน เธอจะเป็นห่วงก็ไม่แปลกหรอก
…ก็ถ้าสถานการณ์กลับกัน ฉันเองก็คงดื้อดึงจะไปด้วยเหมือนกัน
เพราะงั้นก็คงเถียงไม่ได้แหละนะ
ในตอนนั้นฝ้ายก็เสนอขึ้นมา…
“พี่พิมเองก็เป็นแรงค์ 2 แล้ว ถึงจะไม่คุ้นงานเท่ากับพี่มิ้น แต่ในแง่กำลังรบแล้วก็ถือว่าสูงกว่าค่ะ”
ว่าแบบนั้นไปทำเอามิ้นน้ำตาตกในเลยล่ะ แต่หัวหน้าว่าแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ล่ะนะ
ด้วยเหตุนั้น… คนที่ได้ไปประชุมตามคำเชิญของหัวหน้าใหญ่เลยเป็น ฝ้าย พิม แล้วก็ฉัน
ปัญหาเรื่องเลือกคนจบไปแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือการอนุญาตให้เดินทาง
ก็พวกเราเป็นแค่เด็ก ม.ปลายนี่นะ จะให้ขึ้นเครื่องไปกรุงเทพกันแค่ 3 คนมันก็ดูน่าเป็นห่วงไปหน่อย
…ซึ่งใจนึงก็หวังว่าจะเป็นห่วงกันนั่นแหละ
แต่สุดท้าย พอบอกไปว่าเป็นคอร์สติวหนังสือที่สุ่มได้รางวัลมา พ่อกับคุณเฟรย์ก็อนุญาตอยู่ดี
ไม่สิ… พูดแบบนั้นเรามันก็อคติไปหน่อย
ที่จริงพ่อกับคุณเฟรย์ก็เป็นห่วงจนอยากจะคัดค้านนั่นแหละ มองดูสีหน้าก็รู้ แต่ก็เหมือนจะเกรงใจเราและเห็นว่าไปด้วยเรื่องเรียนก็เลยยอม
เห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทั้งรู้สึกผิดแล้วก็ลำบากใจด้วย
…แต่เรื่องความรู้สึกส่วนตัวของฉันน่ะเอาไว้ก่อน
เพราะแบบนั้น วันเสาร์หน้าพวกเราเลยมีงานใหญ่ที่ต้องทำ
ฝ้ายแค่รายงานสถานการณ์ในภูมิภาคที่เธอรู้อยู่แล้วเลยไม่ได้มีอะไรใหม่
แต่สำหรับฉันที่อยากเสนอแนวทางใหม่เลยต้องเตรียมตัวมากเป็นสองเท่า
เพราะ ‘แผนของฉัน’ ไม่ได้เป็นแค่วิธีการรับมือพวกนอกคอกและควบคุมผู้มีพลังอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างสังคมแบบใหม่ให้ผู้มีพลังด้วย
แต่เรื่องทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมันเป็นแค่เปลือกเท่านั้น
เป้าหมายของฉันน่ะคือการหยุดเ ‘เฟิร์สไนท์’ ลงให้ได้ต่างหาก!
เพราะงั้น ระบบและโครงสร้างสังคมที่จะใช้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายนั้นก็ต้องเปลี่ยนด้วย
เซฟเวอร์ในตอนนี้น่ะจบเฟิร์สไนท์ไม่ได้หรอก ฉันที่เจอเจ้าลอร์ดมอนสเตอร์มาน่ะรู้ดี
หลังจากนี้จะต้องเกิดสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกมากแน่
แถมไม่รู้เลยว่าพวกมอนสเตอร์จะมาไม้ไหน เพราะงั้นถ้าระบบจัดการไม่ดีล่ะก็ตายกันหมดแน่
เพราะงั้นฉันถึงต้องเปลี่ยนมันให้หมด
พูดไปอาจจะดูเว่อเกินจริง… แต่ถ้าแผนของฉันสำเร็จ ก็คงจะเปลี่ยนโลกของผู้มีพลังไปเลยนั่นแหละ
ดังนั้น การเสนอแผนการในครั้งนี้จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้
เพื่อพิม เพื่อฝ้าย เพื่อสิน เพื่อเราทุกคน
❖❖❖❖❖
————5 วันต่อมา, วันเสาร์ เวลา 12.40 น. , โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับ รพ. นัดหมาย
หลังลงจากสนามบิน ทัต พิมและฝ้ายก็รีบนั่งแท็กซี่มาจนถึงโรงแรมที่หัวหน้าใหญ่จองไว้ให้ถึง 2 ห้อง
ตอนนี้ทัตกำลังอยู่ในห้องสำหรับสองคน ส่วนพิมกับฝ้ายอยู่อีกห้องและกำลังจัดข้าวของตามประสาผู้หญิงกันอยู่
…นี่จ่ายเงินไปเท่าไหร่กันเนี่ย
ทัตมองรอบห้องแล้วอดรู้สึกผิดไม่ได้
ห้องของทัตเป็นแบบ 2 เตียงในห้องเดียว มีห้องน้ำในตัว และยังมีระเบียงพร้อมเฟอร์นิเจอร์สำหรับนั่งดื่มชา ในตัวห้องเองก็ดูดีมีราคาด้วยวัสดุไม้คุณภาพสูง เตียงเองก็ดูนุ่มสะอาดยังกับโรงแรมห้าดาว
ไม่สิ… ดูจากรีวิวก่อนที่จะมา นี่คือห้องโรงแรมห้าดาวไม่ผิดแน่ แถมหัวหน้าใหญ่ยังจองให้ถึง 2 ห้องต่อหนึ่งคณะที่มาอีก
หากคำนึงถึงความเหมาะสม ก็คงไม่แปลกที่จองเผื่อไว้สำหรับชายและหญิง แต่ในแง่ของค่าใช้จ่ายแล้ว คนทั่วไปแบบทัตคงต้องขอมองว่าสิ้นเปลือง
เอาเถอะ พวกคนรวยคงคิดไม่เหมือนกันหรอกมั้ง
แต่เอาจริงแบบนี้ก็ดีอยู่…
…เพราะถ้าต้องอยู่ห้องเดียวกันมันก็แอบประหม่าอยู่แหละนะ
ทางพิมคือแฟนที่เพิ่งคบหากันอย่างหวานชื่น ส่วนอีกคนคือน้องสาวไม่แท้ที่รู้อยู่ว่าเธอมีใจให้
หากต้องอยู่ร่วมห้องกันจริง เขาคงอดประหม่าผสมกังวลไม่ไหว
ทัตเลยหย่อนก้นลงเตียง พยายามสลัดความคิดแปลก ๆ ทิ้งไป แล้วหยิบซองกระดาษออกมาจากกระเป๋าส่วนตัวซึ่งเป็นคนละใบกับกระเป๋าเดินทาง
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะได้หยิบกระดาษออกมาทำงาน แต่ก็พอดีกับที่ทัตต้องการความช่วยเหลือจากคนที่มาเยือน เขาเลยรีบเดินไปเปิดประตู
“มาเที่ยวแล้วจ้า”
“ขอรบกวนด้วยนะคะ”
และแน่นอน… คนที่ยืนรออยู่หน้าประตูคือพิมและฝ้ายในชุดไปรเวทอย่างเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นแบบสบาย ๆ
สองสาวเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่รอรี
“ห้องเหมือนกันเลยนะคะเนี่ย” ฝ้ายมองไปรอบ ๆ ทำให้ทัตได้รู้ข้อมูลไปด้วย
“นั่นสิ แต่ออกจะเสียของไปหน่อยนะเนี่ย”
ส่วนพิมนั้นเอาแต่มองเตียงทำหน้าเสียดายเพราะมันเกินจำนวน แม้เธอจะเป็นลูกคนรวยเหมือนกัน แต่ก็ยังใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมเหตุสมผล
…นั่นเป็นหนึ่งในจุดที่ทัตชื่นชอบในตัวพิม
ส่วนทางฝ้ายเดินไปนั่งที่เตียง เธอสังเกตเห็นซองกระดาษที่ทัตหยิบออกมาพอดี
“พี่ทัตกำลังจะตรวจข้อมูลเหรอคะ?” ฝ้ายหันไปมองทัตที่กำลังเดินมานั่งข้าง
ทัตเองก็พยักหน้ารับพร้อมกับหยิบกระดาษออกมาจากซอง
“ก็ใกล้จะได้เวลาแล้วนี่นะ คงต้องขอตรวจซะหน่อยแหละ”
ทัตขมวดคิ้วจริงจังมองปึกกระดาษในมือ เพราะนี่คือผลลัพธ์ของความพยายามตลอดเกือบสัปดาห์
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉันได้คิดแผนการที่จะรวมผู้มีพลังเป็นกลุ่มเดียวกันขึ้นมา
โดยมีพิมและฝ้าย รวมถึงทุกคนในเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือคอยช่วยดูจนออกมาสมบูรณ์พอที่จะทำให้เกิดขึ้นได้จริง
แต่แน่นอนว่าแผนการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากเซฟเวอร์
ไม่สิ… เราจะลงมือสร้างองค์กรขึ้นใหม่ก็ได้ แต่แบบนั้นมันจะเสียเวลาเกินไปเพราะไม่รู้ว่าพวกนอกคอกกำลังวางแผนอะไรอยู่รึเปล่า
ถ้าเกิดเราตามหลังพวกนั้นอยู่ สุดท้ายแผนการที่จะรวมคนก็คงล้มเหลวอยู่ดี
ดังนั้น ถ้าจะทำให้แผนสำเร็จก็มีแต่ต้องดึงเซฟเวอร์ให้มาเป็นหัวหอกด้วยนั่นแหละ
แล้วถ้าพูดถึงตัวแปรสำคัญของการร่วมมือก็คงต้องเป็น…
“จะว่าไป… ต่อให้คิดแผนมาดีขนาดไหน แต่ถ้าพวกหัวหน้าหน่วยคนอื่นไม่เห็นด้วยมันจะเป็นยังไงนะ”
ทัตเงยหน้าขึ้นมองฝ้ายจากการครุ่นคิด มั่นใจว่าจุดตายของการนำเสนอแผนคงไม่พ้นความเห็นของหัวหน้าหน่วยหลักคนอื่นแน่ ๆ
เพราะถึงจะมีหัวหน้าใหญ่เป็นลำดับบังคับบัญชาบนสุดก็เถอะ
แต่ก็มีปัญหาเดียวกับที่เซฟเวอร์คุมพวกนอกคอกไม่ได้ นั่นคือเซฟเวอร์ไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎที่ตัวเองสร้าง
ก็ถึงขนาดเซฟเวอร์ยังคุมคนของตัวเองไม่ได้ 100% เลย กรณีกลุ่มของเจสันที่เคยโดนรังแกมาก่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น
เพราะงั้น… หากพวกหัวหน้าหน่วยไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างใหม่ที่เรานำเสนอ พวกนั้นก็มีโอกาสทรยศหัวหน้าใหญ่ได้เหมือนกัน
ทัตนั่งลงที่เตียงอีกหลังตรงข้ามฝ้าย เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาทำเอาเธอพลอยกังวลไปด้วย
อีกคนที่รู้สึกเป็นห่วงคือพิมที่เดินผ่านมานั่งข้างฝ้าย
“นั่นสิ… หัวหน้าที่ดูแลภูมิภาคเนี่ย เดิมทีพวกนี้มีอำนาจขนาดไหนเหรอ?”
พิมกังวลเรื่องเดียวกับทัต ถ้าจะมีใครขัดขวางแผนของแฟนเธอได้ก็น่าจะเป็นคนกลุ่มนี้
ส่วนทางฝ้าย… พอได้ยินคำถามเธอก็ขมวดคิ้วตาม
“พูดตามตรงก็แอบน่าห่วงค่ะ… รูปแบบการปกครองของเซฟเวอร์เป็นแบบกระจายอำนาจค่อนข้างมาก มีแค่ระบบฐานข้อมูลเท่านั้นที่ช่วยดึงทุกคนให้อยู่ด้วยกันได้”
“…จะบอกว่าจำนวนข้อมูลที่เซฟเวอร์มี คืออย่างเดียวที่ทำให้พวกระดับหัวหน้าหน่วยยังจงรักษ์ภักดีอยู่เหรอ?”
ทัตขมวดคิ้วแน่นขึ้น รู้สึกว่าโครงสร้างของเซฟเวอร์เปราะบางกว่าที่คิด
ฝ้ายพยักหน้าให้ด้วยท่าทางที่ใจเย็นขึ้น
“ใกล้เคียงค่ะ… นอกจากนี้ก็ยังมีเงินทุนสนับสนุน แล้วก็สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลในเครือ ทำให้ใช้เป็นฐานที่มั่นในช่วงเกิดเฟิร์สไนท์ได้ด้วยค่ะ”
“อ้อ! จะว่าไปหัวหน้าใหญ่เนี่ย เห็นว่าเป็นทายาทเจ้าสัวธุรกิจโรงพยาบาลใช่ไหมนะ?” พิมนึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินเรื่องนั้นจากคุณหมอนิว
และฝ้ายก็พยักหน้ารับตามนั้น ทัตคิดตามแล้วก็มองว่าเป็นข้อได้เปรียบที่สมเหตุผล
ก็จริง… การตั้งฐานที่มั่นก่อนเกิดเฟิร์สไนท์ได้เร็วจะทำให้ได้เปรียบผู้มีพลังกลุ่มอื่น
ถ้ามีสถานที่แบบนี้โอกาสเอาตัวรอดก็จะสูงขึ้น ทุกคนจะยังอยากใช้โรงพยาบาลที่เป็นสมบัติของเซฟเวอร์ก็ไม่แปลก
…แต่นั่นมันก็แค่ช่วงแรกเท่านั้น
ถ้าผู้มีพลังเริ่มตั้งตัวได้ โดยมีเลเวลและลูกน้องในกำมือจำนวนนึง จะใช้ที่ไหนเป็นฐานก่อนที่จะเกิดเฟิร์สไนท์ก็เอาตัวรอดได้ทั้งนั้น
อย่างกลุ่มปลอกแขนแดงหรือพวกพยัคฆ์ฟ้านั่นแหละ
กล่าวคือ… ผลประโยชน์แค่นี้ไม่สามารถรั้งคนไว้ได้
หากหัวหน้าบางคนไม่ชอบใจกับระบบใหม่จริง พวกเขาคงไม่รู้สึกเสียดายที่จะออกจากเซฟเวอร์เลย
“แอบหละหลวมเหมือนกันนะ” ทัตถอนหายใจพูดออกมาตามตรง
“นั่นสิ… ขืนเอาคนที่ไว้ใจไม่ได้มาเป็นหัวหน้า คงเสี่ยงโดนทรยศแล้วฮุบเขตปกครองได้ง่าย ๆ เลยนะเนี่ย”
พิมเองก็เห็นด้วยตามทัต แต่เธอมองลึกไปถึงขนาดที่ว่า ‘หัวหน้าหน่วยหลักอาจยึดอำนาจปกครองเป็นของตัวเอง’ เลยทีเดียว
แต่… โลกนี้ก็ไม่ได้มีเหรียญแค่ด้านเดียว
สีหน้าของฝ้ายจึงไม่ได้ดูกังวลเท่าทั้งสองคนและส่ายหน้าปฏิเสธ
“ค่ะ… นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ระดับหัวหน้าจะถูกส่งต่อให้กับคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น”
“ประโยชน์ของระบบอุปถัมภ์สินะเนี่ย”
พิมพูดเสียจริงจัง ทำฝ้ายกับทัตยิ้มแห้งเพราะเหมือนประชดประชัน
“แต่ก็จริง… ทุกอย่างมันก็มีข้อดีข้อเสียของมัน ถ้าคนข้างบนเลือกคนได้ดีก็ดีไปแหละนะ” ทัตพยักหน้าเห็นด้วยกับฝ้าย
“ใช่ค่ะ อย่างหนูที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหน่วยหลัก ก็เพราะช่วยเหลือคนได้เยอะที่สุดจนเป็นที่ประจักษ์เหมือนกันค่ะ”
“เห… เก่งจังเลยนะเนี่ย”
พิมเห็นแล้วอดไม่ได้จนเผลอลูบหัวเข้าให้ จะว่าชื่นชมในความพยายามที่ผ่านมาของฝ้ายก็ไม่ผิด
แต่เดี๋ยวสิ! ไปลูบหัวฝ้ายแบบนั้นจะไม่โดนโกรธเหรอเนี่ย?
ทัตเห็นแล้วแอบรู้สึกกลัว เพราะช่วงหลังสองสาวดูเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน
แต่เปล่าเลย… ฝ้ายดันยิ้มมั่นหน้าแบบที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อนเสียอย่างนั้น
“ของมันแน่อยู่แล้วค่ะ”
“…ยอดไปเลยนะ”
ทัตชมไปแต่ใจยังติดสงสัยที่ฝ้ายไม่หงุดหงิด นั่นเพราะเขาเห็นฝ้ายวางตัวห่างเหินกับลูกน้องมากแม้ทุกคนจะเข้ามาตีซี้ด้วย (เช่นมิ้นเป็นต้น) ทัตเลยนึกว่าฝ้ายถือเรื่องพวกนี้
แถมทัตเองก็เพิ่งจะลูบหัวฝ้ายได้อย่างสนิทสนมหลังจากที่คืนดีกันมา จึงน่าแปลกใจที่พิมเองก็ทำได้แล้ว
สงสัยฉันกับพิมคงเป็นกรณีพิเศษมั้ง
แต่ถ้าทั้งสองคนสนิทกันได้ก็นับว่าโล่งอกล่ะนะ
ยามสงบย่อมดีกว่าสงคราม ทัตคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น เพราะอย่างไรเสียเขาก็อย่างให้ทั้งสองคนดีกันไว้อยู่แล้ว
ฝ้ายผายมือพูดต่อในจังหวะนั้นพอดี
“นอกจากเรื่องความไว้ใจของหัวหน้าแล้ว อัตราส่วนของคนที่ภักดีก็มากกว่าด้วยค่ะ เรียกว่าคนที่เข้ามาใหม่มีโอกาสจะถูกเปลี่ยนให้เข้ากับเซฟเวอร์มากกว่าด้วย”
ฝ้ายพูดเสริมว่าวัฒนธรรมองค์กรทำงานได้ดีกว่าระบบโครงสร้าง
ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบแห่งความเชื่อใจแบบนี้มันก็สร้างความเข้มแข็งได้มากกว่าการสร้างกฎมาครอบ เนื่องจากโดยพื้นฐานไม่มีใครชอบโดนบังคับอยู่แล้ว
ดังนั้น แม้จะมีความเสี่ยงในแง่ของระบบโครงสร้างจริง… แต่ภาพลักษณ์ก็สมกับที่เรียกได้ว่าเป็นองค์กรสำหรับช่วยชีวิตแล้ว
“…ความเชื่อมั่นสินะ”
แบบนี้… แผนที่เราคิดมันจะดีกับคนพวกนี้ไหมนะ
จู่ ๆ ทัตก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง สีหน้าที่หมองลงทำให้พิมและฝ้ายจ้องเขาตาไม่กะพริบ
หากเป็นทัตคนก่อน เขาคงรู้สึกว่าไม่ต้องพูดก็ได้เพราะเตรียมตัวมาขนาดนี้แล้ว
แต่ข้างหน้าเขาคือแฟนสาว และน้องสาวที่เชื่อใจเขา
ถ้าเป็นทั้งสองคน… ทัตคิดว่าคงไม่เป็นไรที่จะบ่นอิดออดเกินความจำเป็นบ้าง
“แค่กำลังรู้สึกว่าแผนของฉันมันจะไปทำลายความเชื่อมั่นของคนพวกนี้รึเปล่าน่ะ”
“…พี่คะ”
“เป็นงั้นเหรอ”
ฝ้ายกับพิมสัมผัสความกังวลในน้ำเสียงได้ พวกเธอรู้อยู่แล้วว่าพื้นฐานทัตเป็นคนคิดถึงความรู้สึกคนอื่น
แต่ทัตก็ยิ้มแห้งต่อ สองสาวเห็นจึงรู้ว่ามันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ
“แต่ก็แค่คิดแหละนะ… ยังไงฉันก็รู้สึกว่าแผนของฉันจะสร้างประโยชน์ให้ทุกคนมากกว่าอยู่ดี”
“นั่นสินะคะ แผนของพี่สมบูรณ์แบบเท่าที่จะทำได้แล้วค่ะ”
“อย่างที่น้องฝ้ายเขาว่านั่นแหละ มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
“ก็มั่นใจอยู่แหละน่า”
สองสาวยิ้มให้กำลังใจทำให้ทัตสบายใจขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าแผนตัวเองด้อยกว่าแต่แรกอยู่แล้ว
“แต่แบบนี้ถือว่าพี่ทัตพัฒนาขึ้นรึเปล่าคะเนี่ย?”
“นั่นสิ! อุตส่าห์พูดเรื่องที่กังวลให้ฟังเลยนะเนี่ย”
พิมพยักหน้าดีใจกับฝ้ายใหญ่ ไม่สิ… ฝ้ายเองก็ยิ้มโล่งใจแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นเหมือนกัน
เห็นชัดว่าที่ผ่านมา ทัตดูจะเก็บกดอารมณ์พวกนั้นภายใต้สีหน้าของตัวเองมามากพอควร
เป็นพ่อแม่ฉันกันรึไงเนี่ย
แต่… เป็นห่วงกันขนาดนี้ เอาจริง ๆ ก็ดีใจแหละนะ
ทัตรู้สึกอบอุ่นไม่เบา รู้สึกชอบความรู้สึกแบบนี้เอามากอยู่เหมือนกัน หากจะให้โกหกตัวเองอีกเขาคงถอยหลังลงคลองเต็มที
ทัตจึงรู้ว่ามีเรื่องที่ควรต้องพูด ไม่สิ… มีความรู้สึกที่ต้องแสดงออกมาให้ชัด
“ขอบคุณนะ ทั้งสองคน”
ทัตยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างสดใส ถ่ายทอดออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะฝ้ายที่ยอมรับในตัวทัตมาตลอด เขาคงไม่กล้าที่จะคืนดีกัน
หรือถ้าไม่ใช่เพราะพิมที่ไม่เคยยอมแพ้ในตัวทัต เขาคงไม่กล้าสารภาพรักกับเธอ
ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคน ทัตคงยังกลัวที่จะแสดงความรู้สึกตัวเองอยู่เหมือนเดิมเป็นแน่
รอยยิ้มขอบคุณนี้จึงได้สดใส เจิดจ้าและส่องสกาวกว่าครั้งไหน
และยิ่งร้อนแรงเป็นพิเศษ… เมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีใจให้เขาเป็นทุนเดิม
“แบบนี้… ก็ทำเอาเขินอยู่นะคะ”
“นะ นั่นสิ ทำเอาร้อนเลยนะเนี่ย ฮะฮะ”
ดาเมจรุนแรงเลยทำฝ้ายและพิมประหม่าจนแก้มแดงไปหมด พวกเธอไม่เคยคิดเหมือนกันว่ารอยยิ้มของทัตจะทำเอาใจโครมครามได้ขนาดนี้
“…หนูเองก็ไปเช็คของบ้างดีกว่า”
“เอ้ย!”
พิมจะดึงตัวฝ้ายไว้ เพราะทางฝ้ายทนเขินมองหน้าทัตต่อไม่ไหว เธอเลยหนีออกห้องไปจนได้
ในห้องเลยเหลือแต่พิมที่ใจยังเต้นตุบตับ กับทัตที่ยังทำตาปริบ ๆ สับสน
“ฝ้ายเป็นอะไรน่ะ?”
“ยังจะถามอีก ร้ายกาจชะมัดเลยนะนายน่ะ”
พิมถอนหายใจหน่ายเหนื่อยกับแฟนหนุ่มตัวเองซะเหลือเกิน แม้จะเข้าใจอยู่ว่าทัตไม่ได้มองตัวเขาเองเป็นคนมีเสน่ห์ขนาดนั้น แต่ก็อยากให้เขารู้จักคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อย
ถึงตรงนั้นจะเป็นข้อดีอยู่บ้างก็เถอะน้า
พิมแอบคิดว่าลักษณะนอบน้อมเจียมตัวทำให้ทัตดูน่ารักไปอีกแบบ
และ… เพราะความรู้สึกนั้นตื่นขึ้นมา พิมเลยลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ทัตราวกับทนไม่ไหว
เห็นพิมขยับขยุกขยิกอยู่ข้าง ๆ ยิ่งทำเอาทัตสงสัยไปใหญ่
“เอ่อ… มีอะไรเหรอ———”
“อื้อ! ทนไม่ไหวแล้วอ่ะ ขอหน่อยเถอะ!”
แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร พิมก็พุ่งเข้ามากอดเข้าเสียแน่นจนหายใจไม่ออก
ความอบอุ่นแบบที่ไม่เคยได้รับจากผู้หญิงคนไหนเริ่มจะปลุกสัญชาตญาณของทัตให้เตลิดตาม
…พูดถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากเรื่องแผนการที่พัฒนาขึ้น ก็มีความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพิมด้วยที่ใกล้ชิดกันขึ้น
หลังคบกันก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าพิมค่อนข้างชอบสกินชิพ
ตอนเป็นเพื่อนกันมีบ้างก็จริง แต่ไม่คิดเลยว่าพอเป็นแฟนกันแล้วจะติดหนึบแบบนี้
ก็ถ้านับย้อนไป เวลาที่อยู่ด้วยการสองต่อสองฉันก็จะโดนน้วย กลายเป็นหมอนข้างของเธอตลอดเลย
แต่ว่า… ถ้าถามว่าชอบหรือไม่ชอบ
มันก็ต้องชอบอยู่แล้ว
คิดไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้หนี
กลับกัน… หน้าของทัตจมลงไปกับหน้าอกของพิม ความนุ่มนิ่มทำเอาสติของเขาละลาย จนแทบจะกลายเป็นทาสของสัมผัสอันแสนวิเศษโดยสมบูรณ์
แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ… ทุกครั้งก็เป็นฝ่ายพิมที่เข้าหาฉันก่อนทุกที
ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่อยากรุกหรอกนะ แต่ก็กลัวพิมจะไม่ชอบเนี่ยสิ
ทัตแอบคิดในจังหวะที่พิมผละออกไป บนใบหน้าเธอยังยิ้มกริ่มอิ่มใจหลังได้เติมพลัง
แม้พิมจะพอใจแล้วแต่ก็ยังกลับไปจ้องทัตต่อ
…นั่นทำให้พิมรู้ว่าทัตเองก็ยังมองเธอไม่วางตา สบกับแก้มที่กำลังแดงก่ำของเขายิ่งทำให้อารมณ์พิมกลับมาพลุ่งพล่าน
“ตายแล้ว นี่ฉันกระตุ้นนายเกินไปเหรอ?”
พิมยิ้มทำปากแมวใส่ทัต แถมยังมากอดอกเน้นเนินให้เห็นอย่างจงใจ
ยัยคนนี้นี่… เห็นไม่รุกหน่อยเลยได้ใจสินะ
ทัตทั้งหงุดหงิดและงุ่นง่าน รู้สึกว่าถึงคราวต้องสั่งสอนไม่ให้สาวน้อยคนนี้เอาเนื้อมาล่อเสือเล่นเสียบ้างแล้ว
“!!?”
ทัตยืนขึ้นทำเอาพิมสะดุ้งตกใจจนถอยหลัง
สายตาของทัตที่จ้องมาทำเอาพิมนิ่งเหมือนโดนงูจ้อง พอทัตเดินเข้าไปจับไหล่เธอไว้ พิมก็ยิ่งตัวสั่น
แต่หาใช่เพราะต้องการปฏิเสธไม่… พริบตาที่ทัตก้มลงไปจูบเธอ พิมกลับหลับตาพริ้มอย่างเพลิดเพลิน
หัวใจทั้งสองเต้นระรัว ความคิดเพลิดอุตลุด ยิ่งรู้ว่าที่นี่เป็นโรงแรมแถมอีกฝ่ายยังเป็นคนรักของตน ความคิดอกุศลยิ่งก่อกำเนิด
ในจังหวะที่ทัตผละริมฝีปากออก ดวงตาที่ประสานกันจึงยังมีแรงปรารถนาไม่จางหาย
“ฉันเป็นผู้ชายนะ ถ้าแกล้งมากก็ต้องระวังผลที่ตามมาด้วย รู้ไหม?”
ทัตมองตาพิมทั้งที่ยังเขิน ทำเป็นพูดจาสั่งสอนทั้งที่ก็เพิ่งทำไป
อะ อะไรเนี่ย!? ทัตเริ่มรุกก่อนเหรอ?
เป็นไปได้เหรอเนี่ย? นึกว่าไม่ชอบซะอีก!
หรือนายจะต้องการฉันขนาดนั้นจริง ๆ? หลงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ!?
งื้อออออ! จะน่ารักเกินไปแล้วน้า!!!
…แต่อนิจจา นั่นยิ่งทำให้พิมใจเต้นรัวมากกว่าเดิม ดวงตาของพิมกลายเป็นรูปหัวใจไปแล้วตอนนี้
ทัตเองก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าการสั่งสอนของตัวเองไม่มีผล เพราะพิมเดินเข้ามากอดเขาจากด้านหน้า สัมผัสนุ่มทำเขาหัวหมุนอีกครั้ง
“…แล้วนายคิดว่าฉันจะปฏิเสธเหรอ?”
แต่ไม่มากเท่ากับสายตาซุกซนที่มองช้อนขึ้นมาของสาวเจ้า
พิมไม่สนใจคำเตือน เธอนำเนื้อไปล่อเสือโดยหวังผล รู้แบบนั้นทัตยิ่งกลืนน้ำลาย
“เรามาทำงานนะ” ทัตพยายามดึงเข้าเรื่องไปพร้อมกับสติ แต่พิมก็ยังมองอ้อนไม่เปลี่ยน
“งั้นแสดงว่าหลังจากงานเสร็จก็ไม่เป็นไรสินะ?”
“…เธอนี่มัน”
ทัตหน้ามุ่ยหน้าแดงก่ำไปใหญ่ แต่ที่ไม่ปฏิเสธก็เพราะเขาเองก็สนใจอยู่เหมือนกันนั่นแหละ
ทัตเองก็มีความกังวลเรื่องอย่างว่าอยู่บ้างในแง่ที่ว่า ‘บ้านของเธอเป็นผู้ดีมีกะตังค์’ แต่ดูเหมือนบ้านของพิมจะไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ผิดคาด
มีแฟนสาวแสนสวย ใจดี แถมที่บ้านยังไฟเขียว… ทุกอย่างเป็นใจขนาดนี้แล้วทัตจะอดกลั้นความรู้สึกตัวเองได้อย่างไร
ถ้าจะมีสิ่งที่ไม่เป็นใจ… ก็คงมีแต่ความเป็นส่วนตัวของสถานที่นี่แหละ
“อุ้ย”
ฝ้ายที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นภาพทัตกับพิมกอดกันอย่างแนบแน่นนั่นแลคือตัวอย่าง
ทั้งที่ตั้งใจจะกลับมาหาทั้งสองคนเพราะใจเย็นลงแล้วแท้ ๆ แต่พอกลับมาเห็นภาพอย่างนี้ฝ้ายก็ยิ่งเขินจนควันออกหูหนักกว่าเดิม
“นะ หนูเข้าห้องผิดค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน ๆ!”
พิมรีบวิ่งไปล็อคคุณน้องเขาไว้แทบไม่ทัน
ต้องขอบคุณที่เธอคิดเร็วทำเร็ว ไม่งั้นบรรยากาศคงประหม่าและอึดอัดแย่ เวลาแบบนี้ความสามารถในการอ่านสถานการณ์ของพิมช่วยได้เยอะจริง ๆ
…ถึงสำหรับทัตจะเรียกว่ารู้สึกหวาดเสียวในหลาย ๆ ความหมายก็ตาม
เฮ้อ…
ทัตถอนหายใจ… ที่น่าตลกคือเขาทั้งรู้สึกโล่งใจและเสียดายในเวลาเดียวกัน
❖❖❖❖❖
ก็… ก่อนที่จะมีเรื่องยุ่ง ๆ ไปกว่านี้พวกเราก็เลยแยกกันพัก
ก็เกือบจะทำให้ฝ้ายลำบากใจแล้วนี่นะ
เพราะทางฝ้ายน่ะ ดูจะกังวลมากเลยที่จะเป็นก้างขวางคอของฉันกับพิม
เรื่องนี้ต้องขอบคุณพิมเพราะว่าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น
…และได้ยินว่าพิมไปคุยกับฝ้ายนอกรอบมาด้วย ทั้งเรื่องว่าฝ้ายรู้สึกยังไงกับเรา และฝ้ายอยากจะทำยังไงกับความรู้สึกนั้น
ซึ่งดูเหมือนจะเคลียร์กันไปเรียบร้อย
และจากที่เห็น… ถ้าทั้งสองยังสนิทกันได้อยู่แบบนี้ก็แสดงว่าไปกันด้วยดีแหละนะ
ทางพิมเองก็บอกว่าอยากจะให้ฝ้ายเป็น ‘น้องสาว’ ของทั้งฉันและพิมต่อไป
เพราะงั้นแหละ จะให้ฝ้ายเว้นระยะห่างมากไปพิมก็คงรู้สึกไม่ดีกับน้องเขาเหมือนกัน
แต่จะให้ฉันใกล้ชิดไปก็ไม่ดี เรื่องเลยสรุปไปว่าให้พิมนั่นแหละเป็นคนกลางกั้นตามความเหมาะสม ซึ่งฉันเองก็คิดว่าแบบนั้นดีเหมือนกัน
…เพราะว่ากันตามตรง ให้คนที่เป็นจุดตัดความสัมพันธ์อย่างฉันจัดการมันก็น่าลำบากใจอยู่ล่ะนะ
เพราะงั้น ให้พิมกับฝ้ายคอยอยู่ด้วยกันแหละดีแล้ว
ทางพิมก็สบายใจขึ้น ทางฝ้ายก็ไม่เหงาหรือรู้สึกถูกทิ้งอีก
แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการสงบจิตใจสำหรับการเข้าประชุม โดยเฉพาะทัตที่มีเรื่องจะนำเสนอ
…จนกระทั่งเวลาได้มาถึง
โดยใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมเพียงแค่ 15 นาที
ตอนนี้ทัต พิมและฝ้ายกำลังยืนอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงแรมที่เข้าพัก
ตึกหลักเป็นอาคารความสูง 5 ชั้น ทางเข้าที่มองลอดเข้าไปก็ดูโอ่อ่า ออกแบบใกล้เคียงกับโรงพยาบาลสาขาที่เซฟเวอร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้เป็นฐานทัพ
ชัดเจนว่าที่นี่คือหมุดหมายของการประชุมใหญ่ของเซฟเวอร์
“ไปกันเถอะค่ะ พี่ทัต พี่พิม”
ฝ้ายที่รู้สถานะตัวเองเดินนำทัตกับพิมขึ้นมา ปรับท่าทางตัวเองใหม่อย่างองอาจแน่วแน่ สายตาเองก็คมกริบเป็นคนละคนกับก่อนหน้า
“เวลาแบบนี้พึ่งพาได้จริงนะเนี่ย”
“รับทราบเลยค่ะหัวหน้า”
โดนทัตกับพิมแซวฝ้ายก็แอบเผลอยิ้มบ้าง
แต่ทั้งสองคนเองก็รู้กาลเทศะ… ทัตกับพิมเดินตามฝ้ายเข้าไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่ปรับให้จริงจังขึ้น เช่นเดียวกับฝ้ายผู้เป็นหัวหน้าหน่วยหลัก
ทั้งสามเดินขึ้นไปยังชั้นสูงสุดอันเป็นที่ตั้งของห้องประชุม พอลิฟต์เปิดออกก็พบโถงทางเดินยาวทอดไปทางขวาตลอดแนว และนำไปสู่ห้องประชุมใหญ่ด้านในสุด
มีผู้คนจำนวนมากกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ระหว่างทาง ทั้งม้านั่ง เก้าอี้รอ หรือยืนท้าวคางแถวหน้าต่าง
…แต่จุดที่น่าสังเกตคือมีเกินกว่าครึ่งที่จับจ้องมาทางพวกทัต ทำให้ต้องระวังตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อย่าได้กังวลไปค่ะ”
เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง ให้พวกทัตรีบหันขวับ
เธอคือหญิงสาวสวมชุดเมดผมสีดำยาวสลวย คนเดียวกับที่เดินทางมาติดต่อกับเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อสัปดาห์ก่อน… คริส
ถึงความประทับใจแรกจะไม่ดี แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเป็นพวกเดียวกัน พวกทัตเลยผ่อนคลายลงบ้าง
“ทุกคนเป็นพวกของเรา พวกเขามาเพื่อถ่วงเลเวลเท่านั้นค่ะ” คริสเดินนำขึ้นมาอยู่ข้างหน้าฝ้ายชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น
“…งั้นเองสินะคะ”
ฝ้ายตอบกลับใจเย็นลง คริสก็พยักหน้ารับครั้งเดียวแล้วเดินนำไปที่ห้องประชุม สีหน้าเธอเรียบเฉยเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกันไม่มีผิด
ทัตเดิมตามไปก็สังเกตสายตาพวกที่จ้องมาไปด้วย
ถ่วงเลเวลมอนสเตอร์… จะว่าไป ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์จะขึ้นกับเลเวลเฉลี่ยของผู้มีพลังในบริเวณนั้นนี่นา
แล้วในการประชุมครั้งนี้ก็มีหัวหน้าหน่วยหลักอยู่ 6 คนกับผู้ติดตาม
เลเวลเฉลี่ยน่าจะเกินร้อยอย่างไม่ต้องสงสัย
งั้นเอาคนที่เลเวลน้อยกว่ามาถ่วงเลเวลเฉลี่ยก็ดีแล้ว
ฉันไม่อยากเจอกับไอ้ตัวชุดเกราะนั่นอีกหรอกนะ
ทัตนึกแล้วรู้สึกขนลุก การต่อสู้กับ Chivalry ยังทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวไม่หายแม้จะเอาชนะมาได้แล้ว มันเป็นตัวปัญหาถึงเพียงนั้น
ไม่สิ… ทุกคนก็คิดว่ามันคือตัวปัญหาเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ระวังถึงเพียงนี้
แล้วถ้าจะให้ประชุมนอกเหตุเฟิร์สไนท์ก็อาจจะเหลือหลักฐานไว้ที่โลกจริงอีก
ดังนั้น ถึงจะเสี่ยงไปหน่อยที่ต้องประชุมในช่วงเฟิร์สไนท์ แต่มันก็ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับการประชุมสำคัญแบบนี้
“ทุกท่านเชิญทางนี้”
คริสผายมือไปที่ประตูห้องประชุมบานใหญ่ ดูไม่ค่อยใส่ใจความรู้สึกคนอื่นจนพิมหงุดหงิดเช่นเคย
“ไม่เป็นไรนะ”
“…ไม่เป็นก็ได้”
ทัตก็ได้แต่ลูบหลังปลอบใจ พิมเองก็ใจเย็นลงเร็วมาก คงเพราะเวลาจริงจังกำลังใกล้เข้ามา
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก เผยให้เห็นโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ที่แบ่งเก้าอี้เป็นสองฝั่งและตรงกลางด้านในสุดสำหรับประธานซึ่งกำลังว่างอยู่
หากอนุมานจากตำแหน่ง… คนที่นั่งเก้าอี้ทั้งสองฝั่งต้องเป็นหัวหน้าหน่วยหลักไม่ผิดแน่
คนที่นั่งเก้าอี้ฝั่งซ้ายคือชายหนุ่มในชุดตำรวจไร้ยศไร้ดาว สีหน้าถมึงทึงทำเอาไม่อยากเข้าใกล้ โดยมีผู้ติดตามเป็นคนสวมชุดลำลองทั่วไปสองคน
อีกคนที่นั่งเก้าอี้ฝั่งซ้ายคือหญิงสาวที่มีผมหลายสี แถมยังเจาะหูเจาะจมูก เธอนั่งเก้าอี้แบบยกเท้าขึ้นนั่งยอง ลูกน้องสองคนที่อยู่ข้างหลังก็ให้บรรยากาศเดียวกันจนดูเหมือนพวกกลุ่มอันธพาล
ฝั่งขวาเป็นหญิงสาวผมสีทองสวมชุดติดระบายราวกับไอดอล เธอนั่งไขว่ห้างสบายใจเฉิบ โดยมีผู้ติดตามสองคนสวมชุดพ่อบ้านคอยพัดให้เธอทั้งที่แอร์เปิดอยู่
และสุดท้ายคือฝั่งขวาอีกคน… เป็นชายหนุ่มสวมชุดหนาโทนดำทมิฬ เขานั่งก้มหน้าก้มตาเล่นเครื่องเกมพกพาไม่สนใจอะไรเลยแม้กระทั่งผู้ติดตามด้านหลัง
หัวหน้าหน่วยทุกคนช่างเป็นเอกลักษณ์ หลากหลายสไตล์จนจับทางไม่ถูก
เดิมที แค่คนธรรมดาทัตก็ไม่แน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่าจะยอมรับแผนเขาได้ไหม
แล้วพอเป็นแบบนี้… จะให้อดกังวลก็คงยาก
ไม่ไหว… คุยกันคนละภาษาแหงแบบนี้
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION