ตอนที่48 ความหิวโหยและความอิ่มเอิบ
เมื่อพวกรูดี้ขึ้นบันไดมาถึงชั้นแรก ฟรานซ์นี่รออยู่ในห้องนั่งเล่นก็วิ่งเข้าไปหาพวกเขา
“คุณพ่อ! อาการของคุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ว่างใจได้แล้วล่ะ ดูเหมือนว่านางจะรอดแล้ว”
“จริงเหรอเนี่ย? ค่อยโล่งอกหน่อย….”
พอได้ยินคาร์ลว่าแบบนั้น ฟรานซ์ก็รู้สึกโล่งอก
พอเห็น ฟรานซ์ที่เป็นกังวลกับอาการของแม่เขา แสดงออกมาแบบนั้น รูดี้กับนาโอมิต่างพากันยิ้มออกมา ดีใจที่สามารถช่วยเธอไว้ได้ทัน
แต่หว่าเมื่อสายตาของรูดี้เหลือบไปเห็นบางอย่างในห้องนั่งเล่น เขาก็ถึงกับสะดุ้งตัวแข็ง
“อะ ไอ้นี่มัน สุดยอดไปเลยเดส”
ตอนที่เขาได้ยินว่านาโอมิยังไม่ได้กินอะไร เข้าก็เดาเอาว่ามันอาจจะเป็นเพราะใส่น้ำร้อนไม่พอ หรือกะเวลาที่ต้องรอผิดไปเท่านั้น แล้วในกรณีแบบนั้นแม้ว่ารสชาติมันจะแย่แต่ก็น่าจะยังพอกินได้อยู่ เพราะงั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ได้กินมันเข้าไปเพียงเพราะแค่ปรุงพลาด แต่พอมาได้เห็นโศกนาฏกรรมตรงหน้าแล้ว มันก็กระจ่างขึ้นมาทันที
“นี่หรือว่า เอาบะหมี่ถ้วยไปย่างมา….เป็นไอเดียที่คาดไม่ถึงเลยเดส…..”
พอเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนๆของก้อนบะหมี่ถ้วยเหล่านั้นมันก็ไหม้เกรียมไปหมด
จะว่ายังไงดี มันเหมือนกับกำลังมองดูความพยายามที่สูญเปล่าอยู่เลย
แม้ว่ามันจะไม่ถึงกับกินไม่ได้เลยไปซะหมด แต่พอดูดีๆแล้วก็พบว่ามีร่องรอยอันน่าสลดของการกัดแทะราวกับว่า มาลองกินมันดูสักหน่อยละกันอยู่ด้วย
“ไม่ได้ลองใส่น้ำร้อนลงไปเลยเหรอเดส?”
รูดีว่าแบบนั้นขณะที่ยกจานบะหมี่ถ้วยขึ้นมา นาโอมิที่ได้ยินแบบนั้นก็กระพริบตาปริบๆ
“น้ำร้อน? ไอ้นี่มันเป็นของที่ต้องต้มเหรอ?”
“…..ต้ม? มันก็ไม่ถึงกับกินไม่ได้หรอก แต่ก็นะ ยัยโซลาริสนี่ก็ งี่เง่าเกินไปแล้ว ทำไมถึงไม่บอกวิธีกินไว้ก่อนละเนี่ย?”
รูดี้ถอนหายใจพลางเทบะหมี่ไหมๆพวกนั้นลงในถังขยะ
กลับเข้าไปในครัวแล้วกะว่าจะเสิร์ฟกาแฟให้ทุกๆคนก่อนจะเริ่มเตรียมมื้อดึก พวกเขาไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่ช่วงบ่าย แล้วตอนนี้มันเลยสามทุ่มไปแล้วด้วย มันจะดีกว่าที่จะเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและ แคลลอรี่สูง
ระหว่างที่เขากำลังคิดถึงเรื่องพวกนั้นอยู่นั่นเอง ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
“ขม!!”
“ขมปี๋เลย!!”
“อาฮาฮาฮาฮา!”
ทันไดนั้นคาร์ลกับฟรานซ์ก็ร้องออกมา แล้วก็มีเสียงหัวเราะของนาโอมีลอยออกมาจากในห้องนั่งเล่น
ดูเหมือนว่านาโอมิจงใจที่จะไม่บอกพวกเขาเกี่ยวกับรสชาติของกาแฟเพราะหวังว่าจะสนุกไปกับผลการตอบรับของพวกเขา
“ชิโชวกำลังสนุกน่าดูเลยนี่นา แต่ถึงอย่างนั้น พออยู่คนเดียวทีไนก็มักจะทำหน้ามืดมนอยู่เรื่อยเลยนี่นะ”
รูดี้ที่ไม่รู้ถึงอดีตของนาโอมิ ก็เริ่มทำอาหารต่อ คิดว่าถ้าถึงเวลาที่เธออยากจะเล่า เดี๋ยวเธอก็บอกกับเขาเอง
“รอกันนานเลยใช่ไหมล่ะ อาหารเย็นวันนี้คือ โฮวเฝอ เดส”
รูดี้ยกหม้อใบใหญ่เข้ามาในห้องนั่งเล่น ที่ทั้งสามคนกำลังนั่งรออยู่รอบๆโต๊ะ
“โฮวเฝอ?”
“จ่าจ๊าง~เดส”
รูดี้วางหม้อลงบนแท่นรอง แล้วเปิดฝา ทันไดนั้นกลิ่นหอมของฟักทองต้มในซุบมิโสะก็ลอยออกมา
“มันเป็นลูกผสมระหว่างอาหารญี่ปุ่นที่เรียกว่า โฮวโตว แต่ไม่ได้ใส่เส้นของมัน แล้วผมใช้เส้น เฝอ ของ เวียตนาม ลงไปแทน
ปรุงรสด้วยเห็ดหอม มิโสะ น้ำปลา แล้วก็ใส่ฟักทอง เนื้อหมู เห็ดชิเมจิกับเอโนกิ กับแครอท ลงไป แล้วก็ใสขิงไว้เป็นรสแฝง เดส”
นาโอมิ พยักน่าให้กับคำอธิบายของเขา คาร์ลกับฟรานซ์ที่เพิ่งเคยได้เห็นอาหารที่รูดี้ทำเป็นครั้งแรก ก็หลงใหลไปกับ เฝอในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆอยู่
“นี่ นาราคุ อย่าบอกนะว่าเธอได้กินของน่าอร่อยแบบนี้ทุกๆวันเลยน่ะ”
“ไม่หรอก เอาจริงๆแล้วมันหรูกว่านี้เยอะจริงไหม รูดี้”
นาโอมิยิ้มแล้วตอบคาร์ลไปแบบนั้น รุดีก็พยักหน้ารับ
“วันนี้เป็นอาหารง่ายเพราะไม่ค่อยมีเวลาทำเดส”
“เอาจริงเหรอเนี่ย…..”
ระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน ฟรานซ์ก็เขามาใช้ที่คืบและกระบวยช่วยตัก เฝอ ลงในถ้วยของทุกๆคน มันไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากจะช่วยหรืออะไรหรอก แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากที่จะกันมันเร็วขึ้นเท่านั้น
“ใครอยากดื่มเหล้ายกมือขึ้น!”
ระหว่างที่ฟรานเสิร์ฟอาหาร รูดี้ก็ถามขึ้นมา นาโอมีได้ยินแบบนั้นก็ยกมือขึ้น
“ฉันดื่ม”
“ข้าจะหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าระหว่างที่เมียข้ายังป่วยอยู่”
“ผมไม่ดื่มครับ”
พอว่าแบบนั้นรูดี้ก็เสิร์ฟนาโอมิกับตัวเองด้วยเหล้าญี่ปุ่นยี่ห้อง “โอนิบาบะโคโรชิ” แล้วเสิร์ฟชาเขียวให้คาร์ลกับฟรานซ์
พออาหารและเครื่องดื่มพร้อมแล้วพวกเขาก็เริ่มกินกัน
พอรูดี้จิบน้ำซุปก็ได้สัมผัสถึงรสชาติที่ผสมผสานกันระหว่างมิโสะกับน้ำปลาและความหวานจากฟักทอง ความกลมกล่อมจากส่วนผสมและกลิ่นหอมของเห็ดหอมกระจายไปทั่วปาก แม้แต่เส้น เฝอ เองก็ซึมซับรสชาติของน้ำซุปเข้าไป ทำให้มันอร่อยมาก
พึงพอใจกับผลงานของตัวเอง รูดี้หันไปมองดูคนอื่นๆแล้วพบว่าด้วยความหิวเป็นแรงขับเคลื่อนพวกเขาตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างขะมักเขม้น แล้วยังต่อถ้วยที่สองกันอีกด้วย
“ทุกคนนี่กินกันเร็วเป็นบ้าเลยเดส”
รูดี้เองก็ไม่ยอมแพ้รีบกวาดของในถ้วยลงท้องแล้วเติมรอบสองบ้าง
……………………………………………………………………………………………………………
ผ่านไปได้กว่าหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่โซลาริสมารับตัวโดมินิและชอว์น
ทั้งสามคนเดินผ่านความมืดของป่าด้วยแสงนำทางจากเวทย์ของชอว์นแต่ทว่าพวกเขานั้นเดินทางกันทันทีหลังจากที่ต่อสู่เอาตัวรอดมาโดยไม่ได้พักดื่มน้ำหรือกินอะไรเลยจนพวกเขาใกล้จะถึงถึงขีดจำกัดกันแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้น แบตเตอรี่ของโซลาริสนั้นยังเหลืออยู่ที่67%เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะต่อไปอีกสามวันก้ยังมีพลังงานเหลือเฟือ
“พี่ ข้าว่าน่าจะได้เวลาหยุดพักกันแล้วล่ะ”
“ก็จริงนะ”
โดมินิคพยักหน้าตอบชอว์น แล้วส่งเสียงบอกโซลาริสที่เดินนำดุ่ยๆอยู่ข้าหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“คุณโซลาริส เรามาหยุดพักกันก่อนดีไหม?”
[เข้าใจแล้วค่ะ งั้นวันนี้เรามาพักกันที่นี่ก่อนนะคะ]
โซลาริสหยุดเดินแล้วหันกลับมา
สองพี่น้องจึงเลือกนี่เหมาะๆแล้วนั่งลงพัก โซลาริสเองก็นั่งลงที่พื้นใกล้ๆกัน
“ชอว์น เจ้าได้พกอาหารมาบ้างไหม?”
“ไม่มีหรอก ตอนที่เราออกมาจากหมู่บ้าน เราไม่ได้เอาอะไรมาเลยนะ”
“อา ก็จริงนะ อย่างน้อยถ้าเราเอาน้ำมาด้วยก็ยังดีแท้ๆ”
แม้ว่าชอว์นจะสามารถใช้เวทมนต์เรียกน้ำออกมาได้ แต่ทว่าน้ำที่เกิดจากเวทมนต์นั้นไม่ใช่ของจริง มันจึงไม่สามารถดับกระหายของพวกเขาได้ ส่วนโซลาริสเอง ถ้าหากเธอมีอารมณ์ความรู้สึกก็คงจะเตรียมน้ำและอาหารก่อนมาทำภารกิจกู้ภัยแบบนี้ แต่ทว่าเธอถูกบอกให้มารับตัวพวกเขาเท่านั้น เธอจึงไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกจากเลื่อยยนต์สำหนับการป้องกันตัว
ภารกิจกู้ภัยนั้น อาหารและน้ำดื่มเป็นสิ่งจำเป็น
ได้เรียนรู้เรื่องเหล่านั้นจากการสนทนาของพวกเขาเธอจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า
[ดิฉันจะไปนำน้ำและอาหารมาให้ค่ะ กรุณารออยู่ที่นี่สัก2ชั่วโมงนะคะ]
“….ห๊ะ?”
“….เอ๊ะ?”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังแปลกใจโซลาริสก็เดินหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
“นี่ พี่คิดว่าคุณโซลาริสเนี่ยเป็นใครกันแน่เหรอ?”
“ข้าจะไปรู้ได้ไงเล่า”
ทั้งสองคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ก็ตัดสินใจที่จะตัดสินใจที่จะเชื่อมันในตัวของโซลาริสแล้วพยายามซ่อนตัวเพื่อไม่ให้ถูกพบโดยสัตว์อสูรในป่า
MANGA DISCUSSION