แต่ถึงยังไงแม่ของเธอก็ไม่อยู่แล้ว เฉินซู่เองก็เกลียดเฉินจินซานเช่นกัน ไม่ว่าเหลยถิงจะทำอะไรถึงขั้นไหน เธอก็ตัดสินใจจะเคียงข้างเขา เป็นแรงสนับสนุนเขาอย่างเช่นเมื่อวาน
เฉินหร่านที่เข้าไปตรวจร่างกาย หมอก็ได้บอกว่าไม่ได้เป็นโรคอะไร นี่ก็ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
เฉินจินซานเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หลี่หรงทั้งต้องไปดูแลเฉินจินซานที่โรงพยาล และต้องดูแลเฉินหร่านที่บ้าน จนตอนนี้เธอได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของบ้านตระกูลเฉินไปแล้ว เวลาเดินก็ต้องยืดตัวตรง
ทุกวันนี้เฉินหร่านไม่กล้าออกไปไหน ในใจเธอมีแต่ปัญหา เธอกลัวจะเจอคนรู้จัก หรือเจอกับเหล่าผู้ชายในคืนนั้น
หลี่หรงคอยช่วยเฉินหร่านแก้ปัญหา แต่เธอก็ไม่รับฟังและอยู่แต่บ้านทั้งแบบนี้ รู้สึกแต่ว่าถ้าเธอออกไป คนทั้งโลกก็จะหัวเราะเยาะเธอ
เหลยถิงประสบความสำเร็จและได้โครงการนั้นมา และสวี๋หยู่เจี๋ยก็ได้มาเป็นเลขาของเขาอีกครั้ง ไม่มีใครไม่มั่นใจกับคลื่นของการดำเนินงานนี้ ทุกคนต่างรู้สถานะยัยปีศาจที่ไม่พ่ายแพ้ใครในการบริหาร
ยัยปีศาจเป็นเลขาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเหลยถิง และตัวเธอเองก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว ตอนเฉินหร่านปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งเธอ เธอก็ยังคงมองเฉินหร่านอย่างสงบและมั่นใจ
เดิมทีบางคนในแผนกธุรการไม่พอใจสวี๋หยู่เจี๋ย อยากให้เฉินหร่านขึ้นไปเหยียบหัวสวี๋หยู่เจี๋ย แต่พอสวี๋หยู่เจี๋ยกลับคืนตำแหน่ง ก็ไล่พวกเหม็นเน่าไป บางครั้ง การยึดอำนาจก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เหลยถิงไม่เคยเกลียดคนที่มีความทะเยอทะยาน
และสวี๋หยู่เจี๋ยรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เข้าบริษัท
หลังจากที่เฉินหร่านจากไป ฝ่ายธุรการก็คอยพูดถึงเธอ และเกือบทุกคนจะพูดล้อเลียนและดูถูก และยังมีข่าวลือต่าง ๆ เกิดขึ้นอีก บางคนถึงกับส่งวีแชทหาเฉินหร่าน จนเฉินหร่านที่อยู่ที่บ้านก็แทบเป็นบ้าตาย และปฏิเสธที่จะอ่านวีแชท
หลี่หรงไม่ใช่ปัญญามองลูกสาวของเธอเป็นแบบนี้ได้ เธอเชิญจิตแพทย์มาเพื่อให้คำปรึกษา ซึ่งเป็นชายที่สวมชุดลำลองและใส่แว่นชื่อ สีคุน
สีคุนรู้สถานการณ์มาบ้างจากหลี่หรง ครั้งแรกที่เขาให้คำปรึกษาด้านจิตกับเฉินหร่านไปก็ถูกเฉินหร่านทำร้ายเข้า
หลี่หรงขอโทษและยังเชิญทานอาหารเย็น สีคุนปฏิเสธไป แต่ทว่าได้บอกว่าเดี๋ยวครั้งหน้าจะมาใหม่ และจะให้คำปรึกษาด้านจิตใจกับเฉินหร่านระยะยาว
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เฉินซู่ที่เลิกงานก็รีบไปบ้านตระกูลเหลยเพื่อทานอาหารเย็นกับซินเหม่ยอิงและเหลยว่านจวิน
"ซู่ซู่ ถิงเอ๋อร์ไม่ได้มากับเธอเหรอจ๊ะ"
"ช่วงนี้เขางานยุ่งมากเลยค่ะ ได้โครงการใหญ่มา ทั้งบริษัทก็เลยยุ่งอยู่กับมันน่ะค่ะ" เฉินซู่ยิ้ม "ช่วงนี้ร่ายกายเป็นยังไงบ้างคะแม่?"
ซินเหม่ยอิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ก็ดีนะจ๊ะ เพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวกับพ่อเธอเนี่ยแหละ ถ่ายรูปมาเยอะเลยนะ ฉันจะไปเอามาให้ดู"
ก่อนอาหาร ซินเหม่ยอิงพาเฉินซู่ดูรูปอยู่นานสองนาน พูดถึงสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับทริปนี้ เธออายุ 50 กว่าแล้ว แต่ก็ยังยิ้มเหมือนเด็กผู้หญิง ทำให้มองออกเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหลยว่านจวินนั้นดีมาก
ถึงเวลาอาหาร เหลยหย่าถึงได้ลงมา พอเห็นเฉินซู่กล่าวทักทาย แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเธอเหมือนพี่สะใภ้เลย
ซินเหม่ยอิงแอบตีลูกสาวตัวเอง แต่เหลยหย่าก็ไม่ได้สนใจเธอแล้วก็ไม่หลบเลี่ยงด้วย ที่เหลยหย่าเป็นแบบนี้ ซินเหม่ยอิงก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
เมื่อรับประทานอาหาร ทุกคนต่างก็ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เหลยหย่าเองก็ยังคงพูดคุยกับเฉินซู่
"นางฟ้าตัวน้อยอย่างเฉินหร่านเพิ่งได้งานไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงหายไปล่ะ?"
"ลาออกแล้วล่ะ ทำงานผิดพลาด ตัวเองเลยลาออกไป" เฉินซู่ตอบ
เหลยหย่าไม่ได้สนใจการนินทา เธอสนใจแต่ผลลัพธ์เท่านั้น "เหอะ ควรไปตั้งนานแล้ว ถึงจะไม่ออกไปเอง ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องไล่ออกแน่นอน"
"ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างรู้ดี" เฉินซู่เห็นด้วย ในที่ของเหลยหย่า เธออยู่ฝ่ายเขาก็น่าจะดีกว่า
ซินเหม่ยอิงเห็นว่าพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้คุยกันได้ดีก็พลอยมีความสุขไปด้วย ก่อนจะคีบเนื้อปลาให้ทั้งสอง เฉินซู่เวลาทานปลาก็จะคอยหยิบก้างออก ส่วนเหลยหย่าก็คีบเนื้อปลากลับไปที่จายของซิงเหม่ยอิง
"แม่คะ แม่เอาก้างออกให้หนูหน่อยสิคะ แต่ก่อนพี่คอยเอาออกให้ แต่ตอนนี้พี่ไม่อยู่ หนูเลยไม่ค่อยอยากทานปลาเลย" เหลยหย่ายู่ปาก ความอยากอาหารของเธอก็ลดลงทันที
"ได้สิ แม่จะเอาออกให้นะ" ซินเหม่ยอิงพูดไปก็หยิบก้างออกไป "ตอนเด็กเสี่ยวหย่ามักจะเป็นไข้หวัด พอเป็นหวัดขึ้นมา ต่อมทอนซิลก็บวม พอต่อมทอนซิลบวม เวลาทานปลาก็ก้างติดคอจนร้องไห้ทุกครั้งเลย จนต่อมาถิงเอ๋อร์เลยคอยช่วยเอาก้างปลาออกให้"
ซินเหม่ยอิงกลัวเฉินซู่จะน้อยใจ แต่เธอไม่รู้เลยว่าเป็นเฉินซู่ต่างหากที่ไม่กล้าน้อยใจ อย่างน้อยก็ไม่กล้าน้อยใจต่อหน้าเหลยหย่าล่ะนะ
"เขาเป็นพี่ชายที่ดีนะคะ" เฉินซู่กล่าว "เอาใจใส่น้องสาวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วค่ะ"
เหลยหย่าก็มีความสุขขึ้นมา "แน่นอนสิ พี่ชายคอยเอาใจฉันมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เอาใจฉันคนเดียวด้วย"
"เสี่ยวหย่านี่ก็ ให้พี่มาคอยตามใจทั้งวันได้ไงกัน รีบสอบใบรับรองได้แล้วนะ อย่าเอาแต่อยู่ในบริษัทของพี่เขาสิ ไปทำคดีอื่นบ้าง ลองไปศาลอื่นบ้าง" เหลยว่านจวินพูดอย่างจริงจัง คำพูดของเขานั้นเบามากแล้ว ถ้าเป็นเหลยถิง เขาคงสั่งให้ไปสอบแล้วล่ะ
แต่ลูกชายก็เชื่อฟังดีเลยไม่ต้องกังวล แต่ลูกสาวคนนี้นี่สิ ไม่กังวลอะไรเลย ไม่มีความสามารถ มีแต่นิสัยคุณหนู
"รู้แล้วน่า" เหลยหย่ากินข้าวไปสองคำ "หนูอิ่มแล้ว ไปทำงานก่อนนะคะ"
เฉินซู่เองก็ถือโอกาสกล่าวว่า "ฉันไปกับเธอแล้วกันนะ"
"พ่อคะ แม่คะ เราไปก่อนนะคะ" ทั้งสองเดินออกไปพร้อมกัน
ซินเหม่ยอิงมีความสุขมากเพราะคิดว่าลูกสาวและลูกสะใภ้เข้ากันได้ดี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสุขในครอบครัว แต่พอเธอนึกถึงลูกชายก็ปวดหัวทันที
"ว่านจวิน ครั้งก่อนที่คุณไปหาหมอศัลยกรรมกระดูกน่ะ เจอหรือยังคะ?"
"เจอแล้วแต่ยังไม่ได้คุยเลย ตอนนี้เขาพักร้อนอยู่ที่ต่างประเทศ ฉันก็คงให้กลับมาดูอาการขาเหลยถิงไม่ได้หรอก เดี๋ยวรอเขากลับมาแล้วฉันจะนัดให้ถิงเอ๋อร์เองนะ" เหลยว่านจวินขมวดคิ้ววุ่น "ขาของถิงเอ๋อร์ไม่ดีขึ้นสักที อารมณ์ของเขาก็เริ่มแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน แม้ว่าลูกสะใภ้คนนี้จะไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ก็นิสัยดี อนาคตก็ยังคอยสอนได้ เธอดูสิ ไม่มาหาเราพร้อมลูกสะใภ้เลย"
"คุณไม่ได้ยินที่ซู่ซู่พูดว่าเขาไม่ว่างเหรอคะ?" ซินเหม่ยอิงอยู่ฝ่ายลูกชาย "อดทนกับลูกเหมือนที่คุณอดทนกับเสี่ยวหย่าสิคะ อย่าเอาแต่โมโหท่าเดียว"
"ฉันโมโหตรงไหนกัน?"
"แล้วคุณมีตรงไหนที่ไม่โมโหบ้างล่ะคะ?" ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันเป็นปกติ
เหลยหย่าที่อยู่ในรถก็อารมณ์เสียบอกว่าไม่อยากไปสอบใบรับรอง บอกว่าสอบใบรับรองยุ่งยากน่ารำคาญ
ตอนสมัยเรียน เฉินซู่ก็เคยเห็นพวกคนรวยและเจ้าอารมณ์ พอสอบก็สอบตกและต้องสอบใหม่ สอบไม่ผ่านก็จะต้องจ่ายค่าสอบ ใหม่ วัน ๆ ไม่อ่านหนังสือ แต่สุดท้ายก็จบมาได้
เธอรู้ว่าทางโรงเรียนมีเรื่องราวภายใน
แต่ในสังคมมันต่างกัน สังคมยังคงเข้มงวดในบางด้าน เช่น การสอบใบรับรองบางอย่าง และการแข่งขันระหว่างคน บางครั้งก็ต้องใช้ทักษะจริง
"เฉินซู่ เธอมีวิธีช่วยฉันโกงข้อสอบครั้งนี้ไหม? หาคนมาแทนก็ได้ เงินน่ะไม่เป็นปัญหาหรอก เธอน่าจะรู้จักคนด้านนี้นะ" เหลยหย่าที่พูดออกมาก็รู้สึกว่าตนนั้นเหนือกว่า
MANGA DISCUSSION