ตอนที่ 300 เข้าคุกจำยามวิกาล
ครุ่นคิดอยู่นานเฟิงอู๋โยวก็เงยหน้าขึ้นและขยิบตาให้เฟิงอี้
เฟิงอี้เข้าใจความหมาย แต่ไม่ตอบสนอง
“เซ่อเจิ้งหวาง โปรดดูแลอู๋โยวด้วยขอรับ” เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวยืนขวางอยู่ด้านหน้า เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากจวินมั่วหรัน
ทันทีที่เสียงพูดสิ้นสุดลง เหล่าคนดูที่ตื่นตระหนกก็พากันตั้งสติกลับมาได้
ที่แท้เซ่อเจิ้งหวางแห่งตงหลินก็อยู่ในร้านโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงด้วยเช่นกัน
เพียงแต่…อยู่ในชุดสตรีรัดรูปเปิดสะดือสีชมพู!
ทุกคนมองไปที่จวินมั่วหรันและค่อยๆ เดินไปข้างหลังเขาทีละคน
ไม่ว่าอย่างไร จวินมั่วหรันก็เป็นกระดูกสันหลังของแคว้นตงหลิน ดังนั้นเขาจะต้องดูแลพวกเขาอย่างแน่นอน
หยุนเฟยไป๋ขยี้ตามองจวินมั่วหรันในชุดกระโปรงบางๆ ที่เกือบจะปริขาดอยู่เต็มทนอย่างไม่เชื่อสายตาเขาตกใจเป็นที่สุด
คนบ้าที่อยู่ตรงหน้าคือจวินมั่วหรันจริงๆ หรือ
กล้ามเนื้อหน้าอกที่นูนออกมาถูกพันด้วยผ้าโปร่งสีชมพูแน่น!
หน้าท้องกำยำเย้ายวน ผิวสีเข้มเล็กน้อย สะท้อนแสงแวววาว
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือไรเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาบนกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขา ที่สะท้อนถึงพละกำลังของเขาอย่างเป็นนัยอยู่ตลอดเวลา
เลื่อนลงไปอีก…ให้ตายเถอะ! ไม่กล้าดูแล้ว!
เมื่อหยุนเฟยไป๋เห็นเรียวขายาวสีขาวสะดุดใต้กระโปรงผ้าโปร่ง อยู่ๆ ก็ปวดตาขึ้นมา เขาจึงรีบละสายตาออกทันที
จวินมั่วหรันเลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววไม่พอใจ “ไร้มารยาท ห้ามดู”
หยุนเฟยไป๋พูดขึ้น “ข้าไม่มีทางอยากดูแน่นอน อนาจาร!”
หลังจากนั้นไม่นานหยุนเฟยไป๋ก็สงบอารมณ์ลงและพูดอย่างจริงจัง “ข้ามีหลักฐานที่ชี้ว่าเฟิงอี้ขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน และข้าก็มอบหลักฐานทั้งหมดให้กับศาลต้าหลี่แห่งแคว้นตงหลินแล้ว”
ความหมายของเขาก็คือ ต่อให้เขาไม่มาจับเฟิงอี้ เฟิงอี้ก็ไม่มีทางหนีกฎหมายของแคว้นตงหลินได้
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวมืดมนลง เมื่อเห็นว่าเฟิงอี้ไม่ยอมพูดเพื่อหักล้าง ภายในใจของนางก็ยิ่งไม่แน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ
หรือว่าเฟิงอี้ขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินไปจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็อยากจะยกนิ้วโป้งให้เขาเลย
ปราชญ์ผู้รอบรู้ธรรมดา มือไม่มีแรงจับไก่[1] แต่กลับสามารถขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินมาได้ เช่นนั้น เขาคงมีฝีมือเหนือชั้นกว่าสุดยอดเทพแห่งการขโมยในใต้หล้านี้เสียอีก!
“คงต้องส่งตัวผู้ต้องหาให้ทางศาลต้าหลี่ก่อน หวังว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินจะปฏิบัติตามกฎหมายของแคว้นตงหลิน และไม่ซักไซ้เขาเป็นการส่วนตัว”
จวินมั่วหรันพูดอย่างไม่เปิดช่องว่างให้โต้แย้ง จากนั้นจึงสั่งอัยการแห่งศาลต้าหลี่ที่เพิ่งจะมาถึงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ดูแลเฟิงอี้ให้ดี ห้ามทรมานเพื่อเค้นคำสารภาพ”
“ขอรับ”
อัยการแห่งศาลต้าหลี่รับปาก
เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าเฟิงอี้เป็นพี่ชายของเฟิงอู๋โยว แต่ยังรู้ว่าเฟิงอี้รู้จักกับจวินมั่วหรัน
แล้วเขาจะกล้าทรมานเฟิงอี้ได้เยี่ยงไร
อัยการแห่งศาลต้าหลี่พูดกับหยุนเฟยไป๋อย่างสุภาพ “ขอองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินอย่าใจร้อน ทางศาลต้าหลี่จะคืนความยุติธรรมแก่ท่านแน่นอน เฟิงอี้จะถูกนำตัวไปที่ศาลต้าหลี่ก่อน หลังจากนั้น เมื่อหลักฐานได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้ว ทางสามสำนัก[2]จะตัดสินพิจารณาเป็นลำดับต่อไป”
“ออกไป”
ใบหน้าของหยุนเฟยไป๋เยือกเย็นลง เดิมทีเขาอยากสอบปากคำเฟิงอี้ภายในคืนนี้ แต่จวินมั่วหรันกลับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ทำเอาแผนของเขาสูญเปล่าทันที
เฟิงอู๋โยวแอบสังเกตสีหน้าของหยุนเฟยไป๋ ภายในใจก็รู้สึกพรั่นพรึง
จากมุมมองในตอนนี้ คดีขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินถือว่าเป็นเรื่องจริง ดูเหมือนเฟิงอี้จะมีร่วมในส่วนคดีร้ายแรงครั้งใหญ่นี้ด้วย ดังนั้นเขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์
นางจำได้ว่าเฟิงอี้เคยพูดเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าเขาไม่ได้เป็นอิสระก็เพราะสถานะของเขา และเมื่อเชื่อมโยงกับคดีขโมยตราพยัคฆ์ในวันนี้ อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
นางไม่ต้องการเข้าไปพัวพัน เพราะเฟิงอี้ทำดีกับนาง ดังนั้นนางไม่สามารถเพิกเฉยได้
เมื่อคนอัยการแห่งศาลต้าหลี่นำกำลังคน ‘เชิญ’ เฟิงอี้ออกจากโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงอย่างสุภาพ หยุนเฟยไป๋ก็สะบัดชายแขนเสื้อเดินตามไปข้างหลังพร้อมจากไป
ก่อนจากไป หยุนเฟยไป๋หันกลับมามองอย่างกะทันหัน นัยน์ตาสีม่วงเข้ม ดูลุ่มลึกเกินหยั่งถึง
ริมฝีปากที่หนาพอประมาณของเขาผุดแววชั่วช้า เสียงของเขาแผ่วเบาแต่แฝงความร้าย ชวนให้รู้สึกหนาวสะท้าน “เฟิงอู๋โยว คดีขโมยตราพยัคฆ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่”
“หากองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินต้องการให้ข้าเข้าไปมีส่วนร่วม ข้าก็ยังพอมีแรงจะสู้กลับ”
สีหน้าของเฟิงอู๋โยวดูสงบ มีเพียงหางตาที่กำลังเหลือบไปมองเฟิ่งจือหลินอย่างเงียบๆ
ในความคิดของนาง เฟิ่งจือหลินต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน
มิฉะนั้นเขาคงไม่เสียสละบุตรชายคนโตของเขาง่ายๆ แบบนี้
แม้ว่าเฟิงอี้จะต่อสู้ไม่เป็น แต่เขาก็มีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม
ทั่วทั้งแคว้นเป่ยหลี มีคนน้อยมากที่สามารถเล่นงานเขาได้
“เฟิงอู๋โยว ข้ามีลางสังหรณ์ว่าสุดท้ายเจ้าจะตกมาเป็นของข้าอย่างง่ายดาย”
หยุนเฟยไป๋พูดจาหยาบคายโดยไม่คำนึงถึงความหงุดหงิดในดวงตาของจวินมั่วหรันแม้แต่น้อย
ทันทีที่พูดจบเขาก็นำคนเดินออกไป
ครั้นฟู่เย่เฉินเห็นว่ามีคนกล้าต่อต้านจวินมั่วหรันอย่างเปิดเผย ก็รู้สึกสุขใจที่ได้เห็น “ดูเหมือนว่าปีศาจร้ายแห่งแคว้นหยุนฉินผู้นี้จะไม่ลงรอยกับจวินมั่วหรัน”
คิ้วอันเรียวงามของไป๋หลี่เหอเจ๋อขมวดเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกสะท้านกระดูก “หากสิ้นริมฝีปากเสียแล้ว ฟันก็ย่อมเหน็บหนาว[3] จวินมั่วหรันชั่วร้ายเป็นที่สุด ในขณะเดียวกัน หยุนเฟยไป๋ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมง่ายๆ”
“อาเจ๋อ บางทีเจ้าอาจคิดมากเกินไป กลยุทธ์ของจวินมั่วหรันไม่ได้ด้อยไปกว่าหยุนเฟยไป๋เลย พวกเขาฝีมือพอๆ กัน หากพวกเขาสองคนมีความขัดแย้งกัน พวกเราจะใช้ประโยชน์”
“ข้าก็หวังว่าเช่นนั้น”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อตอบเสียงทุ้ม ก่อนหันกลับมาสั่งให้ฉู่ฉีส่งนายบำเรอรูปงามทั้งหกคนไปที่เรือนแพทย์พยากรณ์
เฟิงอู๋โยวหางตากระตุก รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังวางแผนเล่นงานนาง
แต่นางกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฟิงอี้เกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น
…
ณ เรือนจำแห่งศาลต้าหลี่
ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ถูกลืมและทิ้งร้าง
กำแพงที่กั้นอยู่ แบ่งแยกระหว่างเสียงเพลงประกอบการเต้นรำด้านนอกกำแพง กับคุกอันมืดมิดเน่าเฟะ
เมื่อถึงเวลายามสอง[4] นอกจากเสียงร้องสะอื้นภายในคุกแล้วก็ยังมีเสียงร้องโหยหวนของทรชนคนบาปหนา
ลมเย็นพัดสอดแทรกเข้ามาตามรอยแตกของกำแพง ฝุ่นฟุ้งไปทั่ว นำพากลิ่นเปรี้ยว เน่าเปื่อย เหม็นสาบไปตามซอกหลืบในคุก
เฟิงอี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อฟาง เขากำลังหลับตาทำสมาธิ
อีกก้าวเดียว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้เป็นอิสระ
น่าเสียดายที่หยุนเฟยไป๋จับได้เสียก่อน
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบแผ่วเบามาจากมุมห้อง
เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเฟิงอู๋โยวกับจวินมั่วหรันมาถึงที่ห้องขังแล้ว
อีกด้านของลูกกรงเหล็ก ใบหน้าของเฟิงอี้ยังคงปรากฏรอยยิ้มจางๆ อยู่เช่นเคย เขาโบกมือให้เฟิงอู๋โยวและพูดแผ่ว “อู๋โยว ในคุกมียุงและแมลงวันเยอะ เจ้ารีบกลับไปเถิด”
“ท่านพี่ คดีขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินเกี่ยวข้องกับพี่จริงๆ หรือ”
“อู๋โยว นี่เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าต้องจำไว้เสมอว่าเจ้าตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเฟิงอย่างเด็ดขาดแล้ว”
“เฟิ่งจือหลินมีส่วนเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ เมื่อถูกจับได้เขาจึงใช้พี่เป็นโล่รับลูกธนู”
เฟิงอู๋โยวพูดด้วยความโกรธ แม้ว่านี่เป็นเพียงการคาดเดา แต่ท่าทีที่เฟิ่งจือหลินที่ปฏิบัติต่อเฟิงอี้ทำให้นางไม่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง
เฟิงอี้ส่ายศีรษะ ใบหน้าของเขาฉายแววหวั่นใจ แต่ดวงตายังคงมีประกายแวววาว “มนุษย์ทุกคนย่อมตายจาก บางคนหนักอึ้งปานขุนเขา บางคนเบาบางราวขนนก เนื่องจากใช้ชีวิตแตกต่างกัน[5] ถ้าความตายของข้าสามารถแลกกับชีวิตของประชาชนได้ เฟิงอี้ผู้นี้ก็ยอมตายอย่างไม่นึกเสียใจ”
หลังจากที่เขาพูดแบบนี้ออก ในที่สุดเฟิงอู๋โยวก็เชื่อว่าเฟิงอี้ขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินมาจริงๆ
“ท่านพี่ ข้าจะปล่อยท่านออกไปเดี๋ยวนี้” เฟิงอู๋โยวไม่พูดให้มากความ นางควานหากุญแจหลายดอกในมือเพื่อจะเปิดห้องขังและปล่อยเฟิงอี้ไป
“เด็กโง่ ข้าทำความผิดร้ายแรง ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ทันทีที่ถูกจับ โอกาสที่จะหนีห่างจากความวุ่นวายของข้าก็สูญสิ้นแล้ว จากนี้ไป ทั่วผืนทะเลทั้งสี่ทิศจักไร้ซึ่งกายหยาบของพี่ชายคนนี้” เฟิงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงที่ลูกกรงเหล็ก ยื่นมือออกไปสัมผัสกับแก้มของเฟิงอู๋โยวเบาๆ
ผิวของนางบอบบางและเรียบเนียน เจือกลิ่นหอมหวานจางๆ
เฟิงอี้ลูบแก้มของเฟิงอู๋โยวอย่างอาวรณ์ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้เข้าใกล้เฟิงอู๋โยวมากขนาดนี้
ตั้งแต่นางสวมชุดเกราะออกรบฆ่าศัตรู นิสัยของนางก็เยือกเย็นลงมาก แม้แต่เขาก็ไม่กล้าแตะต้องนาง
สีหน้าของจวินมั่วหรันอึมครึมลง เขาดึงเฟิงอู๋โยวไปด้านหลัง
เขามองเฟิงอี้อย่างนิ่งเฉย แววไม่พอใจผุดขึ้นในดวงตาสีดำประกายทอง น้ำเสียงเยือกเย็นลงฉับพลัน “ข้าได้เลื่อนเวลาการพิจารณาไต่สวนคดีของสามสำนักออกไปอีกสามวัน ในระหว่างสามวันนี้ ข้าจะสั่งให้คนส่งข้าวให้เจ้าโดยเฉพาะ ห้ามประมาทเด็ดขาด”
“หมายความว่าเยี่ยงไร” เฟิงอี้ขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ในเมื่อเจ้าเป็นพี่ชายของอู๋โยว เช่นนั้นก็เป็นพี่ชายของข้าด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิงอี้ก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง
เดิมทีเขาคิดว่าจวินมั่วหรันสนใจแต่ความงามของเฟิงอู๋โยว และคงไม่จริงใจ
นึกไม่ถึงว่าจวินมั่วหรันจะยื่นมือมาช่วยเขาเพื่อเฟิงอู๋โยว
“ขอบพระคุณท่านใต้เท้าเป็นอย่างยิ่ง”
เฟิงอี้มีรู้สึกหลากอารมณ์ขึ้นในใจ เขามองว่าจวินมั่วหรันกับหยุนเฟยไป๋เป็นคนประเภทเดียวกัน เป็นพวกปีศาจกระหายเลือดที่ไม่สนใจชีวิตของคนรากหญ้า
แต่วันนี้เขาถึงได้รู้ว่าจวินมั่วหรันแตกต่างจากหยุนเฟยไป๋
หยุนเฟยไป๋ไม่มีหัวใจ แต่จวินมั่วหรันมีหัวใจ
จวินมั่วหรันพูดขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ เส้นทางของเจ้าและข้านั้นแตกต่าง แต่จุดหมายเดียวกัน”
เฟิงอู๋โยวมองจวินมั่วหรันกับเฟิงอี้อย่างไม่สบอารมณ์และถามด้วยน้ำเสียงเจอแววไม่พอใจ “พวกเจ้ากำลังรำไทเก็กกันอยู่หรือกระไร ไฉนข้าถึงไม่เข้าใจสักคำ”
เฟิงอี้คลี่ยิ้มเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่มาก “อู๋โยว ข้าไม่เป็นไร ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน รีบกลับไปพร้อมกับท่านใต้เท้าเสียเถิด”
“วันนี้จะต้องทำให้ท่านพี่พูดออกมาให้ได้!”
เฟิงอู๋โยวพึมพำเสียงต่ำ นางถอดจี้ที่คอออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แกว่งไปมาต่อหน้าเฟิงอี้อย่างคุ้นเคย
เมื่อเห็นดวงตาของเฟิงอี้นิ่งค้าง ก็พลันดีใจขึ้นมาและรีบเอ่ยถาม “ไฉนอยู่ๆ พี่ถึงลงมือขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน”
เฟิงอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย และยื่นมือออกไปนอกลูกกรงเหล็กอีกครั้งและหยิกแก้มของเฟิงอู๋โยวเบาๆ “เจ้าไปเรียนวิชาสะกดจิตมาจากไหน คิดจะสะกดจิตพี่ชายตัวเองกระนั้นหรือ”
“ท่านพี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่จะถามว่าจี้นี้ดูดีหรือไม่”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกอายขึ้นมาวูบหนึ่ง นางไม่คาดคิดว่าสมาธิของเฟิงอี้จะดีจนถึงขึ้นต้านทานวิชาสะกดจิตของนางได้
สีหน้าของเฟิงอี้ดูหม่นหมองเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเด็ดขาด “รีบกลับไปเร็วเข้า”
“ขอท่านพี่โปรดระวังตัว”
เมื่อเห็นว่าการสะกดจิตล้มเหลว เฟิงอู๋โยวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไปอย่างผิดหวัง
หลังจากออกจากศาลต้าหลี่ นางก็ยังบ่นพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้เยี่ยงไร การสะกดจิตของข้าไม่ได้ผลได้เยี่ยงไร”
นางเข้ามาขว้างด้านหน้าจวินมั่วหรันอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้นก็รวบรวมสมาธิทั้งหมด หยิบจี้ออกมาและคิดจะทดลองกับจวินมั่วหรันอีกครั้ง
[1]มือไม่มีแรงจับไก่ หมายถึงปราชญ์ผู้อ่อนแอไร้พลังกำลังน้อย
[2]สามสำนัก คือระบบพิพากษาสูงสุดของราชสำนัก ปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฉิน เป็นระบบที่สามหน่วยงานหลักร่วมกันไต่สวนและพิพากษาคดีใหญ่ๆ ในราชสำนัก ประกอบไปด้วย กรมอาญา รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน ศาลต้าหลี่หรือศาลยุติธรรมสูงสุด รับผิดชอบการพิพากษา และสำนักตรวจการ รับผิดชอบการกำกับตรวจสอบ
[3]หากสิ้นริมฝีปากเสียแล้ว ฟันก็ย่อมเหน็บหนาว หมายถึงทั้งสองเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและมีส่วนได้ส่วนเสีย
[4]ยามสอง คือช่วงเวลาตั้งแต่ 21:00-23:00 นาฬิกา
[5]มนุษย์ทุกคนย่อมตายจาก บางคนหนักอึ้งปานขุนเขา บางคนเบาบางราวขนนก เนื่องจากใช้ชีวิตแตกต่างกัน หมายถึงคนเราหนีความตายไม่พ้น บางคนได้ใช้ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่โดยการสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม ทำให้ผู้คนจดจำไปตลอดกาล แต่บางคนกลับไม่มีคุณค่าใดๆ เลย ถ้อยคำนี้เป็นของซือหม่าเชียน นักประวัติศาสตร์และนักประพันธ์ผู้ทรงอิทธิพลแห่งประวัติศาสตร์จีนที่พูดเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนฉุกคิดถึงคุณค่าของชีวิต
MANGA DISCUSSION