ตอนที่ 55
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษ
ฉันนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะเรียน ฟังบทเรียนของอาจารย์ไปพลางถอนหายใจไปพลาง
สุดท้ายแล้ว ฉันก็ยังไม่สามารถเห็นด้วยกับความพยายามของยุยได้อย่างเต็มที่ และถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ หัวใจยังเต็มไปด้วยความขุ่นมัวที่หาสาเหตุไม่ได้
เมื่อหันไปมองข้าง ๆ ก็เห็นยุยที่ยังคงเปล่งประกายอยู่เหมือนเช่นทุกวัน
ช่วงนี้ยุยมุ่งมั่นอยู่กับการแก้ปัญหามาตลอด แต่ดูเหมือนตั้งแต่เมื่อวานเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ คงจะเตรียมการเสร็จสิ้นหมดแล้วล่ะมั้ง
ดังนั้น—
“หลังเลิกเรียนวันนี้ ไปกับฉันหน่อยได้ไหม?”
คำขอของเธอในตอนเช้า ฉันก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว
หลังเลิกเรียน ฉันกับยุยเดินออกจากห้องเรียน มุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าที่ตั้งอยู่กลางภูเขาใกล้ ๆ
ท้องฟ้าหม่นเทา ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ฉันก้าวขึ้นบันไดหินที่เปียกลื่นอย่างระมัดระวัง ทั้งสองข้างทางรายล้อมด้วยต้นไม้รกครึ้ม และใบไม้ที่ร่วงหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนขั้นหิน
เสียงของยุยที่พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ลำบากเหรอ? ให้ฉันอุ้มไหม? หรือไม่ก็ให้ฉันเป็นคนอุ้มเธอเอง” ฉันฟังผ่านหูไป แล้วค่อย ๆ เดินขึ้นไปจนสุดทาง ก่อนจะเดินลอดผ่านเสาโทริอิสีแดงหม่น
เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าไม่มีผู้คนอื่นเลย มีแค่ศาลาเล็ก ๆ กล่องรับเหรียญทำบุญ ลานชำระล้างมือ และสำนักงานศาลเจ้าขนาดเล็กอยู่ด้านใน
ศาลเจ้าธรรมดาเล็ก ๆ แบบที่เห็นได้ทั่วไป
แล้วพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไรกันน่ะเหรอ? ก็เพื่อมาขอพรไงล่ะ
“ฉันทำทุกอย่างที่พอทำได้แล้ว ที่เหลือก็ต้องพึ่งพระเจ้าแล้วล่ะ”
ยุยพูดพร้อมพนมมือ ถูมือเข้าหากันอย่างอ้อนวอน
“ว่าแต่…ฉันจำเป็นต้องมาด้วยเหรอ?”
“ไม่”
“อ่า แบบนั้นเองสินะ”
“ใช่ แต่ตามที่ฉันคาดไว้นะ ฉันน่าจะถูกพาตัวไปตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปแล้วล่ะ เพราะงั้นก่อนหน้านั้น ฉันอยากเติมพลังยุยด้วยส่วนผสมของริคุไว้ก่อน”
ฉันไม่รู้หรอกว่าส่วนผสมแบบนั้นคืออะไร แต่ก็แค่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบไป
“งั้นก็มาเริ่มกันเถอะ ขอล้างมือก่อนละกัน ต้องทำให้ถูกขั้นตอนนะ”
“ถ้าจะทำให้ถูกขั้นตอนจริง ๆ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนเดินลอดโทริอิแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พระเจ้าคงไม่ใจแคบถึงขนาดนั้นหรอก”
“งั้นล้างมือก็ไม่ต้องล้างก็ได้นี่นา?”
“ไม่ได้นะ พระเจ้าสนแค่จำนวนเงินที่ใส่ในกล่องทำบุญเท่านั้นแหละ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ยุยก็ล้างมือด้วยท่าทางงดงามและถูกต้องตามมารยาทเป๊ะ
“ดูจริงจังดีนะ”
“แน่นอน เพราะฉันยังอยากเป็นนางเอกอยู่”
แล้วเธอก็พูดต่อ
“เมื่อก่อน ฉันเคยบอกว่าอยากเป็นนางเอกเพื่อให้ริคุหันมามองฉันใช่ไหมล่ะ นั่นก็เป็นเหตุผลใหญ่นะ แต่ต่อให้ไม่มีริคุ ฉันก็คงพยายามเป็นนางเอกอยู่ดี”
เธอหยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดมือพลางถามฉันว่า
“ริครู้เรื่องครอบครัวของฉันบ้างไหม?”
รู้สึกเหมือนเคยมีการเล่าถึงอยู่บ้าง แต่จำรายละเอียดไม่ได้ เลยส่ายหน้า
“อ้อ ยังไม่ได้เล่าไว้นี่นะ งั้นขอเล่าให้ฟังหน่อย ฉันเคยใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นกับแม่ที่แสนใจดี อยู่หน้ากองไฟ ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน… แต่พอแม่พากลับมาญี่ปุ่นก็กลายเป็นชีวิตธรรมดาแบบทั่ว ๆ ไป”
“อ๋อ เพราะแบบนั้นเลยพยายามแย่งตำแหน่งเมดสินะ?”
“ใช่เลย ตอนนั้นกำลังอยู่ในวัยที่อ่อนไหว ชีวิตก็แสนเงียบเหงา พอเจอสภาพแบบนั้นก็เลยเริ่มคิดแบบติดดินขึ้นมา ว่าการได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบสุขอยู่เงียบ ๆ ตรงมุมหนึ่งของโลก นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
“ดูไม่เหมือนคนที่อยากเป็นนางเอกเลยแฮะ”
“ก็เพราะแบบนั้นไง ถึงได้อยากมีในสิ่งที่ไม่มี”
ยุยพูดพลางยิ้ม
“พอได้อยู่ใกล้ ๆ กับริคุที่เป็นเหมือนฮีโร่ของประเทศ ที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ตลอดเวลา มันก็รู้สึกแห้งเหี่ยวขึ้นมาน่ะสิ”
แห้งเหี่ยว แล้วก็เหงา
เด็กสาวที่อยู่ตรงขอบโลก พยายามเอื้อมมือไปยังแสงสว่าง แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ที่ของตัวเองก็ตาม
เมื่อคิดแบบนั้น ความรู้สึกที่ร้อนวูบขึ้นมาจากข้างในก็เอ่อล้นออกมา
ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่สามารถเห็นด้วยกับยุยจากใจจริง แต่ฉันอยากสนับสนุนเธอด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
“ยุย เรามาเดินลอดโทริอิใหม่อีกรอบกันเถอะ”
ฉันยิ้มให้เธอที่ทำตาโตอย่างตกใจ
“ฉันเองก็อยากให้คำอธิษฐานของเธอเป็นจริงเหมือนกัน”
“อ่ะ ฮะฮะ ขอบคุณนะ ริคุ”
ยุยยิ้มทั้งเขินทั้งดีใจออกมาจากหัวใจจริง ๆ
หลังจากนั้น พวกเราก็ใช้สมาร์ทโฟนค้นหาวิธีไหว้ที่ถูกต้อง แล้วจึงไปสักการะอย่างจริงจัง
แน่นอนว่าคำขอพรคือเรื่องของยุย ขอให้เธอได้เป็นนางเอกให้ได้ แล้วจึงหันหลังให้กับศาลเจ้า
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ”
“อืม กลับกันเนอะ”
แต่ในขณะที่พวกเรากำลังเดินลงบันไดหิน และกำลังจะถึงกลางทางนั่นเอง—
“ยุย! หมอบลง!”
ฉันรู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้า พอรีบหมอบลง เสียงปืนก็ดังขึ้นทันที
รู้สึกได้ว่ากระสุนเฉียดผ่านเหนือหัวไป ฉันรีบมองหาต้นตอของเสียงปืน
มีเพียงหนึ่งจิตสังหาร แปลว่า…
ฉันรีบวิ่งพุ่งเข้าไปยังพุ่มไม้ที่เป็นต้นทางของเสียงปืน ตามเสียงกิ่งไม้ที่ขยับไหวจากการหลบหนี
ฉันมองเห็นแผ่นหลังของชายในชุดสูท และพอเข้าไปใกล้ ก็โถมตัวเข้าประชิดจับกดไว้ได้ ทะลึ่งตัวเขาให้ลื่นลงไปตามทางลาดของภูเขาแล้วหยุดชนกับต้นไม้
เมื่อพยายามจะจับเขามัดไว้ กลับทำได้โดยไม่มีการขัดขืนใด ๆ พอดูใกล้ ๆ ก็พบว่าเขาหมดสติไปแล้ว
ฉันแก้มัดแล้วตรวจดูร่างของชายคนนั้น ผมสีเงิน มีกลิ่นดินปืนลอยออกมาจากเสื้อผ้า
ผมสีเดียวกับยุย บ่งบอกว่าเป็นคนจากถิ่นเดียวกัน และกลิ่นดินปืนก็ยืนยันว่าเขาคือคนร้ายแน่นอน
เหตุผลที่เขาพยายามลอบสังหารยุยนั้นก็เดาได้ไม่ยาก
การที่ยุยถูกพบตัวเร็วเกินไปนั่นแหละคือปัญหา
รัฐมนตรีที่เคยลอบสังหารองค์ชายล้มเหลว คงคิดว่าคงลอบสังหารไม่สำเร็จอีกแน่ ๆ จึงจำใจเลือกยุยให้เป็นทายาทแทน
แต่ตอนนี้ การลอบสังหารองค์ชายยังไม่เกิดขึ้น เพราะงั้นถ้าองค์ชายตาย แล้วมีทายาทอยู่ล่ะก็ นั่นคือเรื่องที่แย่สุด ๆ ก่อนที่ใครจะรู้ว่ามียุยอยู่ รัฐมนตรีจึงส่งมือสังหารมากำจัดเธอเสียก่อน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ ควรรีบโทรแจ้งตำรวจ—ไม่สิ ตอนนี้ถ้าให้ยุยเห็นชายคนนี้จะไม่ดีแน่
แค่คิดได้…ก็ช้าไปแล้ว
“ริคุ!”
ยุยตามมาจนเจอ
“ไม่เป็นไรใช่ไหม!?”
“อ-อืม”
“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ…”
ยุยหันไปมองชายในชุดสูท แล้วก็ชะงัก
“…แบบนี้เองสินะ”
เพียงแค่เห็นสายตาเธอ ฉันก็รู้ว่าเธอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว
“อีกแล้วเหรอ…โดนช่วยไว้อีกแล้ว ฮะฮะ…”
เธอหัวเราะอย่างเจ็บปวด น้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บใจ
“ถ้าไม่ถูกช่วย ฉันก็คงตายไปแล้วสินะ รู้แล้วล่ะ…ใช่ มันก็แน่อยู่แล้ว ฉันมันโง่เองที่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”
แก้มของยุยสั่นระริก
“ตลกดีเนอะ คนที่ไม่มีอะไรเลยแท้ ๆ แต่ยังกล้าฝันว่าจะเป็นนางเอก เห่อความฝันไร้สาระ แล้วก็ทำตัวเหนื่อยเปล่า สุดท้ายก็พอใจกับแค่ความพยายามของตัวเอง ช่างน่าขำจริง ๆ…”
เสียงของเธอสั่นสะท้านพร้อมกับสายฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“ทั้งที่ควรจะหาทางประนีประนอม ฉลาดกว่านี้ เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ แต่อย่างฉันกลับ…กลับโง่จนทำอะไรไม่ได้เลย…”
น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม
“อะ-อะฮะฮะ ทั้งที่ควรจะพูดขอบคุณก่อนแท้ ๆ ขอโทษนะ แล้วก็ ขอบคุณที่ช่วยฉันนะ ริคุ ฉันดีใจมากจริง ๆ”
เธอหันหน้ามาหาฉัน ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด
“เอ่อ คือ…สุดท้ายแล้วฉันคงเป็นนางเอกไม่ได้หรอก เพราะงั้น…ขอโทษนะที่ต้องพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ แต่ว่า ช่วย…ช่ะ…ช่วย—”
ยุยกัดฟันแน่น ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตานั้นดูเหมือนสัตว์นักล่าที่กำลังคำรามอย่างสุดแรง ต่อต้านคำพูดที่ไม่อยากเอ่ยออกมา
ฉันอยากให้เธอพูดว่า “ช่วยด้วย”
แต่ก็ไม่อยากให้เธอพูดคำนั้น
อยากช่วยเธอที่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง
แต่ก็ไม่อยากให้เธอยอมแพ้กับการเป็นนางเอก
ความรู้สึกทั้งสองฝั่งถาโถมเข้ามา จนทำให้พูดอะไรไม่ออก
ฝนยังคงตกหนัก ฉันรู้สึกเหมือนเท้าถูกตรึงกับพื้น จนเกือบจะยืนอยู่แบบนั้นไปตลอด
และในที่สุด ฉันก็เปล่งเสียงออกมาได้
“ก่อนอื่น เราแจ้งตำรวจกันเถอะ แล้วกลับไปที่โรงเรียนที่ปลอดภัยดีกว่า”
กับคำพูดของฉัน ยุยก็พยักหน้ารับเบา ๆ โดยไม่มีแรงเลยสักนิด.
MANGA DISCUSSION