ตอนที่ 52
ผมใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมที่ยังเปียกไม่แห้งดี พร้อมกับปิดม่านห้องลง เหมือนต้องการจะปิดทัศนียภาพอันมืดมัวด้านนอกไปด้วย
ขว้างผ้าขนหนูใส่ตะกร้าผ้าอย่างขี้เกียจ แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พลิกตัวไปมาสองสามครั้ง แต่กลับนอนไม่สบายเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ต้องจำใจมองเพดาน แล้วเผชิญหน้ากับความรู้สึกอึดอัดในอก
ตั้งแต่แยกกับยุยมา ก็รู้สึกคล้ายจะคลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา รู้สึกแปลก ๆ ที่สลัดไม่หลุด
ทั้งที่ไม่มีอะไรให้รู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิดเดียว
ถ้าผมได้ลงเอยกับยุย ซึ่งแก้ไขทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความลำบาก ไม่ต้องกลายเป็นพระเอกเกมจีบสาว — ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมปรารถนามาโดยตลอดตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้ ดูเผิน ๆ แล้ว ไม่มีสิ่งใดให้ลังเลหรือคาใจเลยด้วยซ้ำ
…แต่ทำไมกันล่ะ? อะไรคือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ?
หรือเพราะผมไม่อยากให้ยุยเลิกเป็นนางเอกของผม?
ถ้ายุยกลายเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ผมก็ไม่ใช่พระเอกผู้ช่วยเหลือเธออีกต่อไป แต่เป็นแค่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาคนหนึ่ง โอกาสที่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจะยังคงชอบเพื่อนร่วมห้องธรรมดาอยู่ก็คงน้อยมาก — และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะยังชอบเธออยู่หรือเปล่า ถ้ายุยเลิกเป็นนางเอก โอกาสจะได้อยู่ด้วยกันมันก็น้อยลงแน่นอน แล้วผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น…
—ไม่ใช่แน่นอน
ถ้าผมรักยุยจนห้ามใจไม่อยู่ก็คงอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น ต่อให้มีความรู้สึกอยากช่วยเพราะสงสาร ก็ไม่ใช่ความรัก ต่อให้ยุยจะไปลงเอยกับใครคนอื่น ผมก็ยอมรับมันได้อย่างไม่มีปัญหา
งั้น…เพราะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลงเอยกับ “ยุยที่แก้ไขทุกอย่างแล้ว” อย่างนั้นเหรอ?
ต่อให้ผมไม่ได้อยู่กับยุย ยังมีวาคานะ มีฮิเมโนะ — ความเป็นไปได้ที่ผมยังต้องเดินบนเส้นทางพระเอกเกมจีบสาวก็ยังไม่หมด ถ้าได้อยู่กับยุยที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยผมก็ตัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งไปได้ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ นั่นทำให้รู้สึกเสียดาย…
—ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ
ผมไม่ใช่คนเลือดเย็นถึงขนาดจะคิดแบบนั้น และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ผมไม่คิดแบบนั้น ก็คือ…
ผมตระหนักได้จากคำพูดของยุย ว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ผมก็จะไม่กลายเป็นพระเอกของเกมจีบสาวอีก
ผมนึกถึงข้อความที่เขียนไว้ในสมุดขึ้นมา
“เพื่อไม่ให้เอนเอียงและเลือกตัวเลือกที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะต้องไม่ตกหลุมรัก”
ตามที่ยุยพูด — ถ้าผมไม่ตกหลุมรักพวกเธอ ทั้งวาคานะและฮิเมโนะก็จะยังคงอยู่ในฐานะนางเอกที่ผมต้องช่วยเหลือ มุมมองของผมที่มีต่อพวกเธอจะไม่เปลี่ยน เพราะแบบนั้น ต่อให้เธอมีเสน่ห์ดึงดูดแค่ไหน ผมก็จะไม่หลงรัก และถ้าทัศนคติไม่เปลี่ยน ผมก็จะไม่เอนเอียงในการตัดสินใจในเกม
ดังนั้น ไม่ว่าจะลงเอยกับยุยหรือไม่ ผมก็จะไม่กลายเป็นพระเอกของเกมจีบสาวอีกต่อไปแล้ว ผมจึงไม่รู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้อยู่กับ “ยุยที่จัดการทุกอย่างแล้ว”
“เฮ้อ……”
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า หลังจากพิจารณาความเป็นไปได้มากมาย แล้วตัดทิ้งไปทีละข้อ
ผมลองคิดดูแล้ว ก็ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เป็นผลเสียกับผม มีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น — อย่างเรื่องที่เคยมองว่าการช่วยเหลือยุยคือความผิดพลาด กลับกลายเป็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรืออย่างการที่ผมไม่ต้องเป็นพระเอกของเกมจีบสาวอีกต่อไป ก็เป็นเรื่องดีด้วย
อาจเพราะมันไม่มีภาระอะไรเลย แล้วมีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น ก็เลยรู้สึกแปลก ๆ
เหมือนกับคำพูดที่ว่า “ของฟรีมักแพงที่สุด” หรือไม่ก็ “ความหวังดีมักมีเบื้องหลัง” — ความรู้สึกประมาณนั้นแหละ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมก็คงได้แต่ทอดถอนใจกับความคิดที่ไร้สาระเหลือเกิน
มัวแต่จมอยู่กับอารมณ์ไร้สาระแบบนี้ เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดมันก็ช่างสูญเปล่า
ผมแค่ “ไม่ต้องทำอะไรเลย” ก็เพียงพอแล้ว นั่นแหละคือคำตอบ ทุกอย่างจะลงตัวเอง
“เอาล่ะ วันนี้ถือเป็นวันฉลองหลุดพ้นจากคำสาป ไปสั่งซูชิให้ฮิเมกะซังเอามาให้ดีกว่า”
ผมเหยียดตัวออกแล้วพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
…แต่ทำไมกันนะ ความรู้สึกมันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย
ทำไมกันนะ
ทั้งที่ผมเคยอธิษฐานมาตลอดว่าไม่อยากเป็นพระเอกของเกมจีบสาว
นั่นคือความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของผมแท้ ๆ
แล้วทำไมล่ะ?
ทันใดนั้น คำพูดของยุยก็แวบเข้ามาในหัว
『ฉันก็ไม่อยากเป็นนางเอกเหมือนกัน ฉันอยากเป็นตัวเอกของเรื่องราวของฉันเอง ไม่ใช่นางเอกของริคุ ฉันอยากเดินไปข้างหน้าในฐานะเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อคิระ ยุย』
『ถ้าฉันได้รับความช่วยเหลือจากริคุ ฉันก็คงกลายเป็นแค่นางเอกของริคุ แต่ฉันอยากเป็นตัวเอกในชีวิตของฉันเอง』
ยุยไม่ได้แค่ “ไม่อยากเป็นนางเอก” เท่านั้น เธอยังมีความปรารถนาอยากเป็นตัวเอกของเรื่องราว ซึ่งเป็นแนวคิดตรงข้ามกับผม — เรียกได้ว่าเป็นการปฏิเสธแนวทางของผมเลยก็ว่าได้
…คงเป็นตรงนี้แหละ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
ผมไม่อาจเห็นด้วยกับยุยที่อยากเป็นตัวเอกอย่างสุดหัวใจได้ เพราะผมไม่อยากเป็นพระเอก
มันเลยค้างคาใจ
อา ให้ตายสิ ตอนที่กำลังคิดว่าจะมีความสุขแล้วแท้ ๆ ที่ได้หลุดพ้นจากการเป็นพระเอก กลับถูกราดน้ำเย็นใส่เสียอย่างนั้น
ยุยก็คือยุย ผมก็คือผม แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง
“ช่างมัน ๆ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”
ผมล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง แล้วมองขึ้นไปที่เพดาน
…เป็น “พระเอก” นี่มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ?
MANGA DISCUSSION