เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 83 ได้ข่าวคราวของเนี่ยนเหยาแล้ว
บทที่ 83 ได้ข่าวคราวของเนี่ยนเหยาแล้ว
หมินอันเกอที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟ ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
“ขอให้ทุกคนเตรียมตัวสักนิด งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เขาพูดแล้วกะพริบตาให้เวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วไปทักทายคนอื่น ๆ
ทุกปีงานเลี้ยงการกุศลซาหวาจะเชิญนักแสดงที่เป็นที่นิยมที่สุดแห่งปีมาเป็นผู้จัดรายการ แม้ว่าพวกเขาคุ้นเคยกับดาราใหญ่ แต่เมื่อหมินอันเกอปรากฏตัว แต่ก็เปล่งประกายต่อหน้าทุกคนได้
แม้ว่าจะมีคนไม่มากนักที่เข้าร่วมในงานการกุศลครั้งนี้ แต่จำนวนเงินที่ระดมได้ในแต่ละปีนั้นเกินกว่าหมื่นล้าน
เงินบริจาคได้มาจากการประมูลสิ่งของ ของแขกที่มาร่วมงาน และหลังจากงานเลี้ยงจบลงก็จะถูกส่งต่อไปยังองค์กรการกุศลเพื่อสร้างโรงเรียนประถม
จี้จิ่งเชินให้หมายเลขของเขาใส่ในมือของเวินเที๋ยนเที๋ยน
ในไม่ช้า ภาพวาดสีน้ำมันก็ถูกนำขึ้นมา เป็นภาพวาดที่ดาราท่านหนึ่งบริจาคให้
หมินอันเกอหยิบไมโครโฟนขึ้นมา เขายืนบนเวทีเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ บรรยากาศค่อยๆคึกคักขึ้นมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนต้องประหลาดใจที่เห็นว่าทุกครั้งที่มีคนยกป้ายหมายเลขขึ้นราคาจะเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งแสนหยวนในเวลาเพียงไม่กี่นาทีภาพเขียนก็มีราคาหนึ่งล้านหยวน
เธอจ้องที่ภาพวาดบนเวทีและคาดไม่ถึงว่าภาพวาดดังกล่าวจะได้เงินไปมากขนาดนี้
จี้จิ่งเชินสังเกตเห็นสายตาของเธอ
“อยากได้เหรอ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบส่ายหัวทันที
“ผู้ที่เขียนภาพนี้ เป็นศิลปินหรือว่าจิตรกร?”
“ไม่ใช่”
จี้จิ่งเชินยิ้มแล้วชี้ไปที่ดาราคนหนึ่งที่สวมชุดสีแดงที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“นี่เป็นเพียงการแสดง คนที่มาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อการกุศล แต่มาเพื่อชื่อเสียง"”
“ถ้าให้พูดถึงคนส่วนใหญ่แล้ว การใช้จ่ายเงินเพียงเล็กน้อย แต่สามารถซื้อชื่อเสียงได้ ก็คุ้มที่จะจ่าย”
เขายกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นการเยาะเย้ย
“แล้วคุณหล่ะ?”เวินเที๋ยนเที๋ยนมองไปที่เขา
จี้จิ่งเชินพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่า
“จะได้หน้าไม่ต้องให้คนอื่นเอามาให้”
ในไม่ช้าภาพวาดสีน้ำมันบนเวทีก็ถูกซื้อในราคาสูงถึงสองล้านและสินค้าชิ้นที่สองก็ถูกนำขึ้นมาบนเวที
เวินเที๋ยนเที๋ยนสังเกตอยู่สักพักและพบว่าผู้คนที่นี่จริงๆแล้วไม่สนใจว่าสินค้าคืออะไร
ตราบใดที่สถานะของผู้เสนอการประมูลนั้นสูงราคาที่ขายก็จะยิ่งสูงขึ้นเช่นกัน
ในไม่ช้าการประมูลก็สิ้นสุดลงและแม้แต่เจียงหยู่เทียนก็ขอให้หลิวอ้านซื้อให้สองอย่าง
เวินเที๋ยนเที๋ยนยังนั่งอยู่ที่เดิม จนสินค้าชิ้นสุดท้ายสุดท้ายขึ้นมาบนเวทีอย่างระมัดระวัง
ผ้าคลุมที่ด้านบนถูกเปิดออก และของที่อยู่ในถาดสีขาว คือที่ทับกระดาษชิงเถียนแกะสลักวางไว้หนึ่งชิ้น
เมื่อแสงไฟตกลงมามันก็เปล่งประกายระยิบระยับ
ดวงตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนสว่างขึ้น แสงนั้นระยิบระยับที่อยู่ไกลแต่ยังมองเห็น ที่ทับกระดาษอันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
เป็นอย่างที่คิดไว้ ของชิ้นนี้เป็นจุดเด่นของงานการกุศลครั้งนี้ ทุกคนต่างมีความสนใจขึ้นมา
บางคนที่ชอบเล่นของเก่าก็อยากลองดู
เวินเที๋ยนเที๋ยนยังสังเกตอย่างละเอียด
จี้จิ่งเชินเหลือบมองมาที่เธอและเห็นว่าดวงตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นประกาย
เห็นเธอจ้องมองที่ทับกระดาษนั้น ดูเหมือนลูกแมวมาถูอุ้งเท้าในใจของเขา
คนอื่นเริ่มเสนอราคากันแล้ว แต่เธอไม่ได้ยกมือ
ภายในเวลาไม่นานราคาก็สูงถึงห้าล้าน
ผู้ประมูลได้น้อยลงเรื่อยๆ ดูแล้วน่าจะสิ้นสุดในไม่ช้า
ทันใดนั้นจี้จิ่งเชินก็จับมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนให้ยกมือขึ้น
ดวงตาของหมินอันเกอมองไปที่มือของพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
“หกล้าน”
เสียงต่ำทำให้ราคาสูงขึ้นหนึ่งล้าน พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนตกใจและมองเขาด้วยความประหลาดใจ
จี้จิ่งเชินก้มไปข้างหน้าเล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่าคุณอยากได้เหรอ?”
จี้จิ่งเชินพูดต่อ “ให้ผมซื้อเอาหน้าหน่อย”
เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
เขาขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น แล้วกระซิบที่ข้างหูของเวินเที๋ยนเที๋ยน
“ผมให้คุณเป็นของขวัญดีไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนนิ่งไป ในหูของเธอได้ยินแต่เสียงหึ่งๆ
“ไม่ต้อง……”
“นับหนึ่ง”
จี้จิ่งเชินยกมือขึ้นอีกครั้ง
“สิบล้าน”
ผู้ที่เสนอราคาค่อยๆเงียบลง
ราคา สิบ ล้านทำลายสถิติราคาประมูลสูงสุดในประวัติศาสตร์ของงานงานการกุศลซาหวา!
และนี่เป็นครั้งแรกที่จี้จิ่งเชินมาเข้าร่วมและเป็นครั้งแรกที่มีส่วนร่วมในการประมูล
ทันทีที่ราคาออกมา ก็ไม่มีใครกล้าตัดหน้า
ท่าทีของหมินอันเกอค่อนข้างสงบลงและเขาก็เคาะค้อนในมือเพื่อกำหนดราคาสุดท้าย
ที่ทับกระดาษถูกบรรจุใหม่อย่างดีและส่งให้จี้จิ่งเชินเขาไม่ได้มองมันแต่ยื่นไปให้เวินเที๋ยนเที๋ยน
“ถือไว้ อย่าทำหายหล่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนถือที่ทับกระดาษราคาสิบล้านเล่มไว้ในมือ เธอจะกล้าทำหายได้ยังไง?
ถ้าถูกกระแทกมูลค่าของที่ทับกระดาษคงจะลดลงอย่างมาก
“ของสิ่งนี้แพงเกินไป ฉันไม่อาจ……”
จี้จิ่งเชินทำหน้าขรึมลง
“ถือไว้”
ทันทีที่การประมูลสิ้นสุดลงในไม่ช้าก็มีคนเข้ามาพูดคุย
เขาไม่ได้ต้องการที่จะพูดคุยคนอื่นๆแต่ในที่สุดเขาก็จำต้องไป
“ฉันแค่รอคุณที่นี่ก็พอแล้ว” เวินเที๋ยนเที๋ยนตอบกลับไปอย่างยินดี
จี้จิ่งเชินไม่ต้องการทิ้งให้เธออยู่คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมินอันเกออยู่ ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจ
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนที่ยังถือที่ทับกระดาษไว้ในมือกลัวตามจี้จิ่งเชินเข้าไปในฝูงชน กลัวจะบังเอิญไปชนอะไร ยังไงก็ไม่ยอมไป
จี้จิ่งเชินไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “อย่าเดินไปไหนส่งเดช ถ้าถูกคนไล่ออกไป ผม……”
“ฉันไม่พูดหรอกว่าคุณพาฉันมา”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดตามที่จี้จิ่งเชินพูดไว้ก่อนหน้านี้
คิดไม่ถึงใบหน้าของจี้จิ่งเชินจะขรึมลง
“ถ้าคุณกล้า!บอกชื่อผมกับพวกเขา ไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณ”
หลังจากเขาเตือนเธอ ในที่สุดเขาก็จากไป
เวินเที๋ยนเที๋ยนยืนอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง จริงๆแล้วเธอต้องการที่จะหยิบที่ทับกระดาษออกมาดู
เจียงหยู่เทียนเอนตัวไปข้างๆหลิวอ้าน แต่ดวงตาของเธอยังจ้องมองที่ จี้จิ่งเชินกับเวินเที๋ยนเที๋ยน
เมื่อเห็นจี้จิ่งเชินเดินออกไป เธอก็ดึงหลิวอ้านให้ลุกเดินไป
“คุณหลิว พวกเราไปดูทางนั้นกันดีกว่า”
หลิวอ้านมองไปที่สวนที่เธอชี้ให้ดู แววตาของเขามีแสงสะท้อนออกมา เขาจับลงไปที่เอวของเจียงหยู่เทียน
“ได้ ได้ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในสวนและหลิวอ้านก็อดใจรอไม่ไหวโผเข้าหาเธอ
เจียงหยู่เทียนยกมือขึ้นปัดเขาออกด้วยความรังเกียจในขณะที่แสร้งทำเป็นเขินอาย แต่สายตาของเธอก็ยังมองไปรอบๆ
เมื่อเห็นจี้จิ่งเชินสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
หลิวอ้านคลอเคลียอยู่บนร่างของเธอ และปากเหม็นเน่าของเขายังคงจูบรอบคอของเธอไม่หยุด
เจียงหยู่เทียนเมื่อครู่แค่แบ่งรับแบ่งสู้ แต่วินาทีต่อมาเธอก็ตะโกนร้องขึ้นมา
“ช่วยด้วย!คุณหลิว!คุณอย่าทำแบบนี้!”
“อย่า!ช่วยฉันด้วย!”
จี้จิ่งเชินกำลังพูดถึงความร่วมมือกับประธานของบริษัทเซินหลาน ในทันใดเขาก็ได้ยินเสียงตะโกน และหันไปมอง
เจียงหยู่เทียนถูกหลิวอ้านกดลงบนเก้าอี้ เธอร้องไห้ไปด้วยตะโกนไปด้วย
อีกด้านหนึ่งเวินเที๋ยนเที๋ยนยังคงยืนอยู่ที่เดิม และแตะเบาๆบนกล่องที่ทับกระดาษ
จู่ๆก็มีคนมายืนข้างเธอเงียบๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไปมอง เห็นหมินอันเกอเดินเข้ามาข้างๆเธอ
“เที๋ยนเที๋ยน” เขาพูดด้วยเสียงที่มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน
“พี่หมิน?”
หมินอันเกอมองไปรอบๆ และกระซิบ “พี่ได้ข่าวของเจี่ยงเนี่ยนเหยาแล้ว”