เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 59 แฟนใหม่ของจี้จิ่งเชิน
บทที่ 59 แฟนใหม่ของจี้จิ่งเชิน
มีเสียงเอะอะโวยวายอยู่หน้าห้องจัดงานเลี้ยง ทุกคนจึงหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วหันไปมอง
ทันทีที่เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินเสียงของเจียงหยู่เทียน ก็หันไปมองจี้จิ่งเชินทันที
ซึ่งไม่เห็นความรู้สึกใดๆบนใบหน้าของจี้จิ่งเชิน และอีกด้านหนึ่ง คือเจียงหยู่เทียนได้ใช้อำนาจเพื่อเข้ามาในงาน
ชุดราตรีสีแดง และเชิดหน้าขึ้น เพื่อกวาดสายตามองทุกคนไปรอบๆ
มีหลายคนในห้องจัดงานเลี้ยงจำเธอได้ทันที และสีหน้าบางคนไม่ค่อยดีนัก
“นี่ใช่ …… แฟนใหม่ของจี้จิ่งเชินไหม?”
“ท่าทางแบบนี้ดูกล้าเกินไปเปล่า? รู้ดีว่ามาปรากฏตัวในงานนี้ แถมยังไม่เจียมตัวแบบนี้อีก”
“แฟนใหม่และแฟนเก่ามาอยู่ในงานเดียวกัน งานคืนนี้ต้องสนุกแน่ๆ”
มีหลายคนกำลังซุบซิบกันอยู่ ซึ่งในระหว่างนั้น ทุกคนในงานก็เข้าใจตัวตนของเจียงหยู่เทียน
เจียงหยู่เทียนมองแววตาที่ลึกซึ้งของคนเหล่านี้ไม่ออกเลย แต่ก็พอใจมากที่ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ
เธอเงยหน้าขึ้น และเจอจี้จิ่งเชินอยู่ในฝูงชน จึงรีบเดินไป
“พี่จี้”
เจียงหยู่เทียนจับมือของเขา พร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม?”
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ผลักเธอออกไป
“เธอมาได้ยังไงกัน?”
“ไม่ใช่ว่าคุณเรียกฉันมาหรอกเหรอ?”
เจียงหยู่เทียนย้อนถามไปหนึ่งประโยค และพร้อมกับพูดว่า “ฉันได้ยินคุณพูดว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 60 ปีของคุณลุง และแน่นอนว่าฉันต้องมาร่วม”
ภายในห้องจัดงานเลี้ยงเงียบมากๆ ไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่สายตาจ้องมาทางจี้จิ่งเชินและอีกสามคน
จี้คางที่ยังอยู่บนเวที ได้มองไปทางเจียงหยู่เทียนอย่างจริงจัง
ในไม่กี่วันนี้มีข่าวลือต่างๆของจี้จิ่งเชินออกมา และเขาก็ได้ยินมาเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าการแต่งงานของเขากับตระกูลเจี่ยงเป็นการถูกบังคับ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดต่อจี้จิ่งเชิน ดังนั้นต่อให้คนอื่นจะพูดกันไม่ดียังไง เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว วันนี้ทั้งญาติสนิทและมิตรสหายมากมายมาอยู่รวมกันที่นี่ เจียงหยู่เทียนไม่แยกว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก และได้ขึ้นไปพูดบนเวที ซึ่งตระกูลที่ขายหน้าคือตระกูลจี้ทั้งตระกูล
เขากระแอมเบาๆ พร้อมกับเริ่มถามว่า
“จี้จิ่งเชิน คนคนนี้คือใคร? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อน”
“เพื่อนของผม”
จี้จิ่งเชินไม่ค่อยอยากให้เทียนเทียนรู้จักคนในตระกูลจี้ จึงตอบไปอย่างเย็นชา
แต่เจียงหยู่เทียนจะไม่ยอมปล่อยโอกาสดีๆนี้ เพื่อเอาใจพ่อของจี้จิ่งเชิน
“คุณลุง ฉันคือเจียงหยู่เทียนค่ะ”
จี้คางมองอย่างนิ่งๆ แวบหนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเพื่อนกัน ก็ปล่อยๆไปเถอะ”
หลังจากพูดเสร็จ ก็หยิบแก้วขึ้นมา และไม่สนใจเธอ พร้อมกับพูดว่า “ทุกคนปาร์ตี้ต่อ”
หลังจากที่ดื่มเหล้าเสร็จ ก็ถึงเวลาที่จะอวยพรวันเกิด
จี้คางไม่ชอบที่คนเสียงดัง จึงปล่อยให้หนุ่มๆสาวๆอยู่ในห้องจัดงานเลี้ยง และตนเองกับเพื่อนสนิทไม่กี่คนออกไปที่ลานบ้าน
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันหลังกลับอย่างลังเล แต่เห็นเจียงหยู่เทียนกำลังวุ่นอยู่กับการที่จี้จิ่งเชินอยากไปเต้นรำ
เมื่อจี้ยี่หยันเดินเข้าไป จึงเชิญเธอไปที่ลานบ้านด้วยกัน
“เนี่ยนเหยา ไปด้วยกันไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงหันกลับมา
“โอเค”
ทั้งสองจึงออกมาจากตรงนั้นด้วยกัน และเมื่อจี้จิ่งเชินเห็นแบบนั้น
สีหน้าของเขาจึงไม่ค่อยดี พร้อมกับผลักเจียงหยู่เทียนออก เพื่อที่จะตามไป
แต่คาดไม่ถึงว่าเจียงหยู่เทียนจะดึงมือเขากลับมาทันที และมองไปตามสายตาของเขา
“พี่จี้คุณอยู่เต้นกับฉันต่อนะ พี่เขามีคุณจี้ดูแลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
สีหน้าของจี้จิ่งเชินยิ่งแย่ไปกว่าเดิม เธอจึงพูดต่อไปว่า “ฉันยังไม่เคยเข้าร่วมงานเต้นรำมาก่อนเลยนะ เมื่อก่อนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แค่กระโปรงก็ยังไม่เคยใส่ และฉันฝันมาตลอดว่าจะได้เต้นรำด้วยกันกับคุณในงานเต้นรำนะ”
สิ่งที่ทำให้จี้จิ่งเชินไม่สามารถทนได้ ก็คือเจียงหยู่เทียนพูดถึงเรื่องราวในอดีต
เพียงแค่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองยังดูแลเทียนเทียนได้ไม่ดีพอ ทำให้เธอต้องรอนานขนาดนี้
เขาหันกลับมา พร้อมกับท่าทีที่จำใจ
“ก็ได้ แต่แค่ครั้งเดียวนะ”
ในบริเวณลานบ้านของตระกูลจี้ มีทั้งดอกไห่ถางที่ทั้งบานและยังไม่บาน แถมยังมีเก้าอี้ไม้สไตล์เรียบง่ายตั้งอยู่อีกด้วย
ชาร้อนบนโต๊ะที่ผ่านการชงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเพื่อนของจี้คางส่วนใหญ่จะอายุใกล้เคียงกัน พอได้พูดคุยกันก็คุยกันได้สารพัดเรื่อง แถมคุยเพลินมากๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนยืนข้างๆ เพื่อที่จะเติมน้ำชาให้พวกเขาอยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ซึ่งเริ่มจากเมื่อกี้สายตาของจี้ยี่หยัน ก็ยังไม่ละจากเธอเลย
ฉวีช่วยฉินออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง สีหน้าของเขาทั้งดำทั้งดูไม่ได้
เธอเดินมาข้างๆจี้ยี่หยัน พร้อมบ่นเบาๆว่า
“เจียงหยู่เทียนคนนั้นคืออะไรเหรอ? ที่นี่เป็นที่ที่เธอจะมาได้เหรอ?”
“เธอยั่วโมโหท่านยังไงล่ะ?”
ฉวีช่วยฉินพูดอย่างน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่พอใจว่า “คุณไม่เห็นพฤติกรรมเสน่ห์แพรวพราวของเธอเมื่อกี้ ที่เกือบจะก้มเข้าไปใกล้จี้จิ่งเชิน น่าอับอายจริงๆ!”
ขณะที่กำลังพูดอยู่ เธอก็ยืนมองเวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งยิ่งทำให้รังเกียจมากขึ้นไปอีก
“มันไร้ประโยชน์จริงๆ ทั้งถูกพวกเขารังแกขนาดนี้แล้ว แถมยังพูดไม่ออกสักคำ ตระกูลเจี่ยงเลี้ยงคนแบบไหนมากันเนี่ย?”
จี้ยี่หยันยิ้มเล็กน้อย
“แม่ ไม่ใช่ว่าคุณไม่ชอบเธอหรอกเหรอ? ทำไมตอนนี้ถึงช่วยเธอแก้ตัวล่ะ?”
“ฉันไม่ได้ช่วยเธอแก้ตัว เธอทำแบบนี้ทำให้ตระกูลจี้ของพวกเราขายหน้า! ฉันไม่ชอบเธอ แต่ฉันไม่อยากได้ยินคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่าตระกูลของพวกเราไร้ศีลธรรม!”
เธอลดเสียงลง แล้วกัดฟันด้วยความโมโห พร้อมกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและหันไปมองทางจี้คาง
จี้ยี่หยันดึงมือเธอมา พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แบบนี้มันดีมากๆไม่ใช่เหรอ? ผมรู้สึกว่าเจี่ยงเนี่ยนเหยาดีมากๆ”
ฉวีช่วยฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ แล้วมองสายตาจี้ยี่หยันที่จ้องแต่เวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ตลอด และตอนนั้นเองที่สามารถเดาได้ทันทีเลย
“จี้ยี่หยัน คุณอย่าบอกนะว่าคุณ……”
ทันทีที่เธอพูดออกมา จี้คางก็ตกใจทันที
มีชายชราอายุกว่า 70 ปีท่านหนึ่ง นำเอากล่องไม้ออกมาจากด้านหลัง แล้วเดินมาด้านหน้าของจี้คางอย่างภาคภูมิใจ
“ไอน้อง ครั้งนี้คือวันเกิดครบรอบ 60 ปีของคุณ ผมให้คนหาของที่ดีมาให้ เฮ้ คุณเปิดดูสิ”
ตัวกล่องทำมาจากไม้จันทน์ บนกล่องมีการแกะสลักลวดลายที่สวยงาม แค่รับกล่องมา ดูแวบเดียวก็เดาได้เลยว่าข้างในไม่ใช่ของธรรมดาแน่ๆ
“ท่านจาง นี้คืออะไร?”
บุคคลที่ถูกเรียกว่าท่านจางได้จับ ลูบเคราไปมา และเอื้อมมือไปเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง
“เป็นขวดดมกลิ่นในช่วงยุคสมัยพระเจ้าซื่อจง! ผมต้องจ่ายไปเยอะมากนะ กว่าจะได้มันมา!”
ทุกคนที่นั่งอยู่สนใจวัตถุโบราณนี้อย่างมาก แค่ได้ยินว่ามาจากราชวงศ์ชิง ก็ทยอยกันเข้ามาดูเลย
ภายในกล่องบรรจุไปด้วยขวดดมกลิ่นสีสันสวยงามมาก แม้ว่ารูปทรงจะงดงาม แต่ไม่ใช่มรดกตกทอด กลับมองว่าเป็นของใหม่ที่เพิ่งทำออกมา
ช่วงเวลาหลายร้อยปีของประวัติศาสตร์ มันควรหรือไม่ควรที่จะสว่างและสดใสขนาดนี้
“ไม่ใช่อะ ท่านจาง ขวดดมกลิ่นของคุณเป็นของปลอม?”
“ใช่ๆ สีก็ค่อนข้างจะสว่างไป คุณโดนคนพวกนั้นต้มแล้วใช่ไหม?”
“เป็นไปไม่ได้!”
เดิมทีท่านจางภาคภูมิใจอย่างมาก แต่พอเห็นว่าพวกเขาพากันพูดว่าขวดดมกลิ่นที่ตนเองนำมาเป็นของปลอม สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นความโกรธในทันที
“เป็นความจริง! แต่ฉันเอามาจากช่องทางที่เป็นความลับ ไม่มีทางพลาดได้”
“คุณเคยส่งให้ผู้ประเมินค่าดูไหม?”
ท่านจางหยุดชะงักเล็กน้อย พร้อมกับส่ายหัวอย่างลังเล
“แต่ผมรู้สึกว่านี้คือของจริง มันเป็นของจริง!”
แต่ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง คนอื่นก็ไม่มีใครเชื่อเลย
ท่านจางร้อนใจจนสีหน้ากลายเป็นสีแดงๆ
“จี้คาง ไม่ใช่ว่าคุณก็ไม่เชื่อผมนะ?”
จี้คางรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาเคยศึกษาและวิจัยวัตถุโบราณ ซึ่งขวดดมกลิ่นตรงหน้า ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนของปลอม
พอท่านจางเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาของเขา จึงตบโต๊ะด้วยความโมโห
“พวกคุณไม่เชื่อผมเลย!”
เขาเอื้อมมือไปเก็บกล่อง และทันใดนั้นก็มีเงาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
เวินเที๋ยนเที๋ยนก้าวไปข้าวหน้าเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาให้เห็น
“ขอโทษนะคะ ขอดูหน่อยได้ไหมคะ?”