เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 269 สิ่งที่เวินเที๋ยนเที๋ยนขอ
บทที่ 269 สิ่งที่เวินเที๋ยนเที๋ยนขอ
จี้จิ่งเชินยังคงยืนตัวตรง และมือที่ปล่อยไว้ข้างลำตัวก็กำหมัดไว้แน่น
เงียบอยู่สักพัก จี้จิ่งเชินก็ค่อยๆคลายมือของตัวเอง
“งั้นก็ตามที่พวกคุณขอ”
พูดเสร็จจี้จิ่งเชิน ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องหนังสือทันที
เมื่อเขาออกไปแล้ว ฉวีช่วยฉินก็ยังคงมีความกังวลเล็กน้อย จึงพูด: “พ่อคะ พ่อจะสู้กับตระกูลหล่อนจริงๆเหรอ?”
“ถ้าเขาต้องการอัฐิของหลิ่วถิง เขาก็ต้องทำแบบนี้แหละ”
“ ถึงแม้จี้จิ่งเชินจะยอมทำ แต่ตระกูลหล่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะจัดการได้นะคะ”
“ตระกูลหล่อนในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว”
จี้หยวนวู่ค่อยๆเดินไปที่หน้าต่าง ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม
“เธออย่าลืมสิ ว่ายังมีตระกูลเวินอีก และตอนนี้ตระกูลหล่อนก็เหลือผู้หญิงแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นเธอแบกภาพลักษณ์ของตระกูลไม่ได้หรอก”
เมื่อฉวีช่วยฉินนึกถึงเวินหงหยู้ที่หลายวันมานี่อยู่ที่ตระกูลหล่อนตลอด ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
จี้หยวนวู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาช้าๆ: “ในเมื่อจี้จิ่งเชินทำลายตระกูลจี้ ฉันก็จะให้มันเอาตระกูลหล่อนมาคืนพวกเรา การซื้อขายครั้งนี้คุ้มจริงๆ”
“ถ้ามันสามารถเอาตระกูลหล่อนมาเป็นของมันได้จริงๆ ก็ดีสิคะ”
พูดเสร็จ ฉวีช่วยฉินก็หันมองไปรอบๆ แล้วเกิดความสงสัยขึ้นมา
“แล้วจี้คางล่ะคะ? ทำไมไม่ได้เจอเขาเลย? อย่าปล่อยให้เขาโผล่ขึ้นมา ทำลายแผนการของพวกเรานะคะ”
“เขาอยู่ในห้องใต้ดิน” จี้หยวนวู่พูด
เมื่อฉวีช่วยฉินได้ยิน ก็ตกใจจนต้องเบิกตากว้าง
“ห้อง….ห้องที่เมื่อก่อนเคยขังหลิ่วถิงเหรอคะ?”
“ใช่”
จี้หยวนวู่หันหน้ามา และเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเธอมีความกังวลเล็กน้อย จึงพูด: “ใจอ่อนแล้วเหรอ?”
ฉวีช่วยฉินตะลึง แล้วส่ายหัวไปมา
จี้หยวนวู่จึงพูดต่อ: “รอให้จี้จิ่งเชินทำตามที่พวกเราสั่ง แล้วเอาตระกูลหล่อนมาให้ได้ก่อน”
“และเมื่อถึงตอนนั้นตระกูลหล่อน ตระกูลจี้ และยังมีธุรกิจในชื่อของจี้จิ่งเชิน ทั้งหมดก็จะกลายเป็นของยี่หยันคนเดียว เธอคิดดีๆนะ”
เมื่อฉวีช่วยฉินนึกถึงยี่หยัน ก็กัดฟันกรอด
“เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะไม่ยอมให้เขาออกมาทำเรื่องของพวกเราพังเด็ดขาด”
จี้หยวนวู่พยักหน้าด้วยความพอใจ
“ถ้าเรื่องยังไม่สำเร็จ ก็อย่าเพิ่งปล่อยเขาออกมา”
“ค่ะ”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนกลับมาถึงตระกูลหล่อน ก็ได้ไปพบคุณนายหล่อนที่ห้องหนังสือทันที
“กลับมาแล้วเหรอ?”
คุณนายหล่อนดูท่าทางของเธอ แต่ก็เดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สายตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนในตอนนี้ ไม่ใช้สายตาหวานๆที่ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ไม่ใช่ทุกข์และไม่ใช่สุข แต่กลับเป็นสายตาที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว
“คุณนายหล่อนคะ คุณนายเคยพูดว่า ถ้าหนูต้องการอะไร คุณนายสามารถทำให้หนูได้ใช่ไหมคะ”
เมื่อคุณนายหล่อนได้ฟังประโยคนี้ ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
เธอวางปากกาในมือลง นำมือมาทับซ้อนกัน แล้วเงยหน้าขึ้นมองเวินเที๋ยนเที๋ยนที่อยู่ข้างหน้าของเธอ
“ใช่จ้ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดอย่างหนักแน่น: “หนูขอเข้าไปทำงานในบริษัทหล่อนซือได้ไหมคะ?”
คุณนายหล่อนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“หนูอยากเข้าไปทำงานที่บริษัทหล่อนซือเหรอ?”
เดิมทีเธอตั้งใจเลี้ยงให้เวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นคนสืบทอดตระกูลหล่อนนั่นแหละ แต่ด้วยเมื่อก่อนเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องบริษัทเลย
และบวกกับเวินหงหยู้ก็รู้สึกว่าดูบีบบังคับมากเกินไป คุณนายหล่อนจึงไม่ได้พูดออกมา
แต่ตอนนี้ เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับเป็นคนพูดออกมาเอง
“หนูคิดดีแล้วเหรอ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
คุณนายหล่อนมองเธออยู่สักพัก ไม่รู้ว่าในงานเลี้ยงวันนี้ของตระกูลจี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้
แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็คือสิ่งที่คุณนายหล่อนต้องการจะเห็นอยู่แล้ว
“ได้ เดี๋ยวฉันจะหาตำแหน่งในบริษัทให้หนูหนึ่งตำแหน่ง”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ คุณนายหล่อน”
คุณนายหล่อนยิ้มเล็กน้อย เธอรู้สึกพลังงานในร่างกายหายไปทันที จึงพูดด้วยเสียงที่นุ่มเบา: “วันนี้หนูคงเหนื่อยน่าดู กลับไปพักผ่อนเถอะจ้ะ”
และเมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินออกไป คุณนายหล่อนก็ไม่ได้ดูข้อมูลที่อยู่ในมือต่ออีก
เธอนั่งคิดอยู่สักพัก แล้วได้โทรไปที่เบอร์ๆหนึ่ง เพื่อหาตำแหน่งในบริษัทให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน
เมื่ออีกฝ่ายได้ฟัง ก็พูดออกมาแบบลังเล: “ตำแหน่งนี้……จะเหมาะสมจริงๆเหรอครับ?”
“คุณทำตามคำสั่งของฉันพอ”
“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ คุณนายหล่อน”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ คุณนายหล่อนก็ได้นำสัญญาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดอีกรอบ
เช้าวันถัดมา เวินเที๋ยนเที๋ยนก็นั่งรถมาที่บริษัทหล่อนซือ
ตึกของบริษัทหล่อนซือกับบริษัทเอ็มไอกรุ้ปมีความแตกต่างกัน ส่วนของยอดตึกที่สูงทะลุก้อนเมฆนั้นจะเป็นสีเทาเข้ม เป็นสไตล์เดียวกันกับที่บริษัทหล่อนซือเคยทำมาก่อน
แต่เพราะเป็นอุตสาหกรรมของสามตระกูลใหญ่ จึงไม่มีใครกล้าดูถูก
เวินเที๋ยนเที๋ยนลงจากรถ และเมื่อเดินเข้าไปในบริษัท มีคนจำนวนไม่น้อยที่จำเธอได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เวินเที๋ยนเที๋ยนมาบริษัทหล่อนซือ แต่ทุกคนก็จะรู้จักคนที่จะมารับช่วงบริษัทต่อในอนาคต
เธอเพิ่งจะเดินเข้ามาในบริษัทได้ไม่นาน ก็มีผู้ชายวัยกลางคนที่ใส่สูทรองเท้าหนัง รีบวิ่งออกมาจากข้างใน
สองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าของเธอหุ่นออกอ้วน พวกเขาวิ่งมาจนเหงื่อแตกเต็มตัว
และเมื่อมาถึงหน้าของเวินเที๋ยนเที๋ยน พวกเขาก็ยิ้มกว้างให้กับเธอ
“คุณเวิน ขอโทษด้วยนะครับ ที่พวกผมมารับช้า”
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไปมองคนอีกมากมายที่อยู่ข้างหลังของพวกเขา ตั้งแต่เลขาไปจนถึงผู้ช่วย รวมๆแล้วมากกว่ายี่สิบคน ทุกคนวิ่งมาจนดูกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย
ไม่เป็นไร” เธอยิ้มเล็กน้อย: “เดี๋ยวฉันขึ้นไปข้างบนเองนะ”
ผู้จัดการที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดรีบส่ายมือ
“เดี๋ยวพวกผมส่งคุณขึ้นไปดีกว่าครับ คุณเวินจะได้คุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้น”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองรอยยิ้มของเขาที่ดูยิ้มแบบกลัวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกลัวเธอขนาดนี้
เธอยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง เผื่อจะทำให้ตัวเองดูสุภาพอ่อนโยนมากขึ้น
“ขอบใจนะ งั้นพวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
ผู้จัดการจึงรีบเดินไปข้างหน้า แล้วพาเวินเที๋ยนเที๋ยนไปขึ้นลิฟต์ แล้วกดลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุด
“ห้องทำงานของฉันอยู่ชั้นบนสุดเหรอ?” เวินเที๋ยนเที๋ยนอดไม่ได้ที่จะถาม
เมื่อวานเธอแค่ขอให้คุณนายหล่อนหาตำแหน่งให้เธอเท่านั้น ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นงานอะไร
อีกฝ่ายก็รีบพยักหน้าแล้ว
“ใช่ครับ ห้องทำงานของรองประธานไม่มีคนมาใช้งานนานแล้ว แต่ผมก็ให้พวกเขาทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วนะครับ หลังจากคุณเวินเข้าไปแล้ว ถ้ามีอะไรที่ต้องการ……”
“รองประธาน?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วและพูดขัดจังหวะเขาขึ้นมา
เธอไม่รู้มาก่อนเลย ว่าที่คุณนายหล่อนพูดว่าจะหาตำแหน่งให้เธอหนึ่งตำแหน่งนั้น ก็คือตำแหน่งรองประธานเนี่ยเหรอ?
“ใช่ครับ คุณเวิน มีอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่าครับ?”
อีกฝ่ายมองเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างระมัดระวัง
จริงๆแล้วคุณนายหล่อนจะมาบริษัทหล่อนซือน้อยมาก และในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็มีความน่าจะเป็นไปได้ที่เวินเที๋ยนเที๋ยนจะกลายเป็นกระบอกเสียงของคุณนายหล่อน
แถมเข้ามาเธอก็ครองตำแหน่งเป็นรองประธานแล้ว ใครก็ไม่กล้าบ่น
หนึ่ง คือทุกคนรู้ดีว่า ก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนเคยช่วยจี้จิ่งเชินบริหารบริษัทเอ็มไอกรุ้ป แสดงว่าเธอต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดา
สอง ก็เพราะว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นลูกบุญธรรมของคุณนายหล่อน
ขอแค่เป็นคนตระกูลหล่อนเท่านั้น ตำแหน่งในบริษัทก็จะสูงทุกคน
แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตระกูลหล่อนในตอนนี้ที่เหลืออยู่แค่คุณนายหล่อนกับเวินเที๋ยนเที๋ยนสองคน เพราะฉะนั้นการที่เธอจะได้เป็นรองประธาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ทุกคนก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที
เขาทำหน้าที่พาเวินเที๋ยนเที๋ยนขึ้นไปข้างบนด้วย และคอยแนะนำลักษณะโดยทั่วไปของบริษัทไปด้วย
และเมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนฟังไปได้สักพัก ก็รู้ว่าคนคนนี้แซ่หยาง เป็นผู้จัดการฝ่ายออกแบบ และทำงานอยู่บริษัทหล่อนซือมานานกว่าสิบปีแล้ว
เมื่อเธอเห็นว่าเขาพูดจนเหงื่อแตกไปหมด เธอก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้น: “ผู้จัดการหยาง ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อย คุณไปพักก่อนได้นะ เดี๋ยวฉันจะขอไปดูข้อมูลล่าสุดของบริษัทก่อน”
“ไม่ ไม่เป็นไรครับ”
ผู้จัดการหยางรีบส่ายมือไปมา เขาไม่ได้เหนื่อยเลยสักนิด แต่แค่รู้สึกตื่นเต้นเท่านั้นเอง
ถึงแม้เขาจะทำงานอยู่ที่บริษัทหล่อนซือ มาตั้งแต่รุ่นของคุณพ่อของคุณนายหล่อน จนมาถึงรุ่นคุณนายหล่อน แต่เขาก็เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในก้อนเมฆ เพราะเขาจะมีโอกาสได้คุยกับพวกเขาน้อยมาก
แต่ตอนนี้กลับได้เจอกับเวินเที๋ยนเที๋ยน เขาจึงได้ตื่นเต้นจนเหงื่อออกไปทั้งตัว