เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 267 เธออย่าร้องไห้เลยนะ เที๋ยนเที๋ยน
บทที่ 267 เธออย่าร้องไห้เลยนะ เที๋ยนเที๋ยน
สายตาของจี้จิ่งเชินยังคงมองอยู่ที่ร่างของเขาสองคน
และเมื่อเห็นการกระทำของหมินอันเกอ สายตาของเขาก็เลื่อนลงมาหยุดอยู่ตรงมือที่จับกันไว้
เจียงหยู่เทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ก้าวมาข้างหน้า และไม่รู้ว่าพูดอะไรตรงข้างหูของเขา จี้จิ่งเชินถึงได้ถอนสายตากลับมา แล้วเดินลงมาอย่างช้าๆ
ภายในงานเลี้ยงเงียบสนิทเพราะไม่มีใครคุยกันเลย
แต่สายตา กลับมองที่ร่างของเวินเที๋ยนเที๋ยนและร่างของเจียงหยู่เทียนสลับไปมา
ตอนแรกก็พูดว่างานวันนี้จัดให้กับคู่หมั้นของจี้จิ่งเชิน แต่ตอนนี้จี้จิ่งเชินออกมาพร้อมกันกับเจียงหยู่เทียน นี้คือตัวเลือกของคู่หมั้นฝ่ายหญิงถูกเปลี่ยนตัวอย่างนั้นเหรอ?
ในขณะที่แขกทุกคนกำลังคาดเดากันอยู่ เจียงหยู่เทียนกับจี้จิ่งเชินก็เดินลงมาจากบันได และไปยื่นอยู่ตรงกลางของห้องจัดงานเลี้ยงแล้ว
ฉวีช่วยฉินเดินขึ้นมาข้างหน้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วหันมาพูดกับแขก: “งานเลี้ยงในวันนี้ ได้จัดขึ้นเป็นพิเศษให้กับจี้จิ่งเชินและเจียงหยู่เทียน ฉันดีใจมากนะคะที่ทุกคนมาร่วมในงานนี้ได้……”
ในขณะที่เธอยังพูดไม่จบ ท่านจางที่ยืนอยู่ข้างๆของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ทนไม่ไหว
“อะไรคือจัดขึ้นเพื่อเจียงหยู่เทียน? ไหนบอกว่างานวันนี้จัดให้กับคู่หมั้นของจี้จิ่งเชินไม่ใช่เหรอ?”
เขาพูดไปด้วยและหันมองไปที่เวินเที๋ยนเที๋ยนด้วย เพราะฉะนั้นความหมายของคำพูดนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เดิมทีก็แค่คิดอยู่ในใจ แต่เมื่อโดนกระตุ้น เขาจึงได้พูดออกมา
และเมื่อทุกคนได้ฟัง ต่างก็รู้สึกเห็นด้วย
“ใช่ๆ ไหนบอกว่าจัดให้คู่หมั้นไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วนี่ใครเป็นคู่หมั้นที่แท้จริงกันแน่?”
“แค่นี้ก็ไม่รู้ ก็ถูกเปลี่ยนคู่หมั้นไง”
ในขณะที่ทุกคนกำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ทำได้แค่เม้มริมฝีปากไว้แล้วนิ่งเงียบ
ห้องจัดงานเลี้ยงเสียงดังไปทั่วห้อง
เมื่อเห็นแบบนี้จี้จิ่งเชินจึงได้เดินขึ้นมาพูด
“ไม่ใช่ครับ”
เพียงแค่เขาเปิดปากพูด ทุกคนในงานเลี้ยงก็เงียบลงทันที
และเมื่อทุกคนหันไปมองที่เขา เขาจึงได้พูดต่อ: “งานเลี้ยงในครั้งนี้ ไม่ได้จัดขึ้นให้กับคู่หมั้นของผม”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ คนในงานยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีก
ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้มางาน ก็ได้ยินข่าวว่าเป็นงานที่จัดให้กับคู่หมั้นของจี้จิ่งเชินมาตลอดนิ
ไม่คิดมาก่อนว่าข่าวจะเป็นข่าวปลอม?
พวกเขาหันไปมองทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง
ไม่ว่าข่าวจะเป็นข่าวจริงหรือปลอม ในงานเลี้ยงแบบนี้จี้จิ่งเชินไม่ได้ออกมาพร้อมกันกับเวินเที๋ยนเที๋ยน แต่กลับเลือกเจียงหยู่เทียนเป็นคู่ควง แค่นี้ก็ทำให้ทุกคนสงสัยจนแทบอยากจะรู้คำตอบแล้ว
ในขณะที่มีฝูงชน คั่นกลางอยู่นั้น สายตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินมาบรรจบกันกลางอากาศ
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ฉวีช่วยฉินก็เดินออกมา และพูดกับแขกในงาน: “ขอให้ทุกคนสนุกเต็มที่นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
พูดเสร็จ ก็ค่อยๆเดินออกไปจากฝูงชน
หมินอันเกอพูดเบาๆกับเวินเที๋ยนเที๋ยน: “เธอไปที่ลานบ้านก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะให้จี้จิ่งเชินไปหา ดีไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า แล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
ห้องโถงได้ทำการเชื่อมต่อกับลานด้านนอกไว้
อากาศด้านนอกหนาวเย็น บนพื้นก็เต็มไปด้วยหิมะ และไม่มีใครยอมออกมาจากงานเลี้ยง
ตอนนี้หิมะได้หยุดตกไปแล้ว ข้างๆก็มีต้นซากุระเหี่ยวเฉาที่ข้างบนต้นนั้นเต็มไปด้วยหิมะที่หนาเป็นชั้นๆ
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนมายืนอยู่ที่ใต้ต้นซากุระ เธอก็นึกถึงครั้งที่แล้ว ที่เธอมาช่วยท่านจางวินิจฉัยและประเมินค่าวัตถุโบราณที่นี่
ตอนนั้นยังเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิอยู่เลย แต่ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว
“เวินเที๋ยนเที๋ยน”
ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ ก็มีเสียงที่มีความอาฆาตดังขึ้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไป ก็เจอเจียงหยู่เทียนกำลังเดินมาทางเธอ
เธอเดินตรงมาถึงข้างหน้าของเวินเที๋ยนเที๋ยน ใบหน้ามีสีหน้าของความเกลียดชัง
“วันนี้เธอยังกล้ามาร่วมงานอีกเหรอ? งานเลี้ยงวันนี้เป็นงานที่ถูกจัดขึ้นเพื่อฉัน”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเขาด้วยความใจเย็น แล้วถาม: “พวกเธอได้ทำอะไรกันแน่ จี้จิ่งเชินถึงได้ยอมรับเธอกับจี้ยี่หยันเข้าไปอยู่ในบริษัท?”
เจียงหยู่เทียนยิ้มอย่างพอใจ
“ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของจี้จิ่งเชินต่างหาก เธอไปถามเขาไม่ดีกว่าเหรอ”
พูดเสร็จ เธอก็ตั้งใจพูดขึ้นมาอีก: “อ้อ จริงด้วยสิ ยังไงตอนนี้เธอก็ไม่มีทางได้เจอกับจี้จิ่งเชินหรอก เพื่อจะมาเจอเขา เธอยังตั้งใจมาถึงที่นี่ เธอเนี่ยน่าสงสารจริงๆ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนถูกเขาพูดจี้จุด จนทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว
“นี้เป็นเรื่องระหว่างฉันกับจี้จิ่งเชิน เธอไม่ต้องมายุ่ง”
“ถูกฉันจี้จุดซะแล้วเหรอ”เจียงหยู่เทียนยื่นมือออกไปผลักเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ได้ยินมาว่าวันนั้นเธอรออยู่ข้างล่างบริษัทตั้งสองชั่วโมงเลยเหรอ”
“รักจนโงหัวไม่ขึ้นเลยนะ แต่ก็น่าเสียดาย ที่ในสายตาของจี้จิ่งเชินกลับไม่เคยมีเธอเลย”
เมื่อเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ยอมพูดอะไร เธอยิ่งพูดอย่างเปิดเผย: “เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เธอยังจะยึดติดไม่ยอมปล่อยอีกเหรอ?”
“ฉันว่าคนที่มาพร้อมกับเธออย่างหมินอันเกอก็ไม่เลวไม่ใช่เหรอ? เธอก็ลองๆดูสิ”
“เขาคงไม่ถือสาหรอกว่าตอนนี้เธอเป็นรองเท้าที่เสียไปแล้ว”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!”เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดขัดเธอขึ้นมา
“ทำไมไม่พูดล่ะ? เธอไม่กล้าฟังเหรอ? ที่ฉันพูดมาเป็นเรื่องจริงทุกเรื่อง”
เจียงหยู่เทียนคว้ามือของเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้“เธอไม่เคยแย่งอะไรของฉันได้เลยตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนแย่งไม่ได้ ต่อไปก็จะแย่งไม่ได้เหมือนกัน และของที่เป็นของเธอ ฉันก็จะค่อยๆแย่งมาทีละอย่างๆ!”
“ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมให้เธอทำสำเร็จอีก!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วแน่น เธออยากจะสะบัดมือของเขาออก
แต่แรงของเจียงหยู่เทียนกลับเยอะกว่า เพราะฉะนั้นมือของเธอก็ยิ่งถูกจับแน่นขึ้นไปอีก
เธอเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะระยะการยืนที่ใกล้กัน จึงทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเห็นว่าบนใบหน้าของเธอยังมีรอยแผลเป็นอยู่
จู่ๆในหัวของเธอก็ปรากฏแผลที่น่ากลัวบนใบหน้าของเจียงหยู่เทียนขึ้นมาอีกครั้ง
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงได้ลองผลักเขาออก แต่ครั้งนี้เธอผลักเขาออกสำเร็จ
เจียงหยู่เทียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว และชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังของเธอ
ต้นซากุระสั่นอย่างแรง และหิมะที่เกาะอยู่บนต้นซากุระก็ร่วงลงมา ซึ่งแค่ดูก็รู้ได้ว่ามันกำลังจะตกใส่ร่างของเวินเที๋ยนเที๋ยน
เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ตกใจ และรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วมองหิมะที่ตกลงมาจากบนหัว
วินาทีต่อมา ก็มีสองมือดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนทันที
สองมือนั้นกดเธอไว้ในอก แล้วปกป้องร่างกายของเวินเที๋ยนเที๋ยน
หิมะที่หนาเป็นชั้นๆตกลงมาในทันที
เวินเที๋ยนเที๋ยนนิ่งไปสักพัก เมื่อรู้ว่าคนที่มาใหม่คนนั้นคือใคร
หิมะตกอยู่หลายวิกว่าจะหยุดในที่สุด และบนพื้นก็เต็มไปด้วยกองหิมะหนาๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนขยับตัวออกมาจากอกของเขา แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ก็เห็นว่าบนหัวและไหล่ของจี้จิ่งเชินนั้นเต็มไปด้วยหิมะ และแม้แต่คิ้วก็ยังมีหิมะเกาะอยู่เล็กน้อย
ใบหน้าของเขาเย็นชา ดูแล้วเหมือนกับคนน้ำแข็ง
เดิมทีเจียงหยู่เทียนยังอยากจะดูฉากดีๆต่อ แต่ไม่คิดว่าอยู่ๆจี้จิ่งเชินจะมาปรากฏอยู่ที่นี่ สีหน้าของเธอจึงเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ทันที
จี้จิ่งเชินจ้องมองที่เธอ แล้วขยับริมฝีปากขึ้นมา
และคำทุกคำราวกับถูกแช่แข็งกลางอากาศ
“ไสหัวออกไป!”
“จี้จิ่งเชิน คุณ……”
เจียงหยู่เทียนยังอยากจะพูดต่ออีก แต่เมื่อเห็นสายตาที่ดุร้ายของจี้จิ่งเชิน ก็ทำได้แค่กัดฟันกรอด
สักพักเธอก็ยิ้มขึ้นมา
“จี้จิ่งเชิน คุณอย่าลืมนะ ว่าอีกสักพักพวกเรายังมีเรื่องที่สำคัญกว่านี้อีก”
พูดเสร็จ เธอก็ถือกระโปรงของตัวเองแล้วออกไป
และตอนนี้ที่ลานบ้านก็เหลือแค่จี้จิ่งเชินกับเวินเที๋ยนเที๋ยนสองคน
เงียบสงบไม่มีเสียงใดๆ
จี้จิ่งเชินค่อยๆถอนหายใจขึ้นมาในความเงียบ
แล้วเขาก็จับมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนมาลูบ
“ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าออกมาแค่นี้ล่ะ? ไม่กลัวป่วยเหรอ? หนาวไหม?”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ฟังประโยคนี้ ก็รู้สึกเจ็บปลายจมูกขึ้นมาทันที
“คุณจะพูดคำพูดพวกนี้อีกทำไม?”
เธออยากจะสะบัดมือของจี้จิ่งเชินออก แต่เขากลับจับไว้แน่น
“คุณอย่าร้องไห้เลยนะ เที๋ยนเที๋ยน”
เมื่อเขาพูด ขอบตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยิ่งแดงขึ้น
จี้จิ่งเชินถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออก และนำไปคลุมไว้ที่ไหล่ของเวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วดึงเธอเข้าไปกอด
“ผมขอโทษนะ”