เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 260 ความคิดเห็นของจี้คาง
บทที่260 ความคิดเห็นของจี้คาง
รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นคือจี้คาง น้ำเสียงของจี้จิ่งเชินจึงเย็นชาเป็นอย่างมาก
“มีธุระอะไรครับ?”
ถึงแม้ว่าจี้คางจะเคยชินกับน้ำเสียงเช่นนี้ของจี้จิ่งเชินไปแล้วนั้น แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน ก็ยังคงรู้สึกผิดและเจ็บปวดเช่นเดิม
เขาเว้นวรรคไปแล้วเอ่ยขึ้น : “เมื่อกี้นี้ฉันได้ยินจี้ยี่หยันกับฉวีช่วยฉินปรึกษากัน เหมือนกับว่าต้องการจะขู่เธอ”
จี้คางรู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัยของจี้จิ่งเชิน ถึงได้บอกเขาเรื่องนี้
แต่จี้จิ่งเชินกลับไม่ได้เชื่อเขาเลย
สำหรับจี้จิ่งเชินแล้ว ไม่มีอะไรที่จะดูน่าเชื่อถือทั้งสิ้น
“หรือครับ?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชายิ่งขึ้น “คุณโทรมาบอกผม นี่ก็เป็นหนึ่งในแผนของพวกคุณหรือเปล่า?”
เมื่อจี้คางได้ยินแล้วนั้น จึงรีบส่ายหน้าขึ้นทันที
“ไม่ใช่ พวกเขาไม่รู้ว่าถูกฉันค้นพบแล้ว เธอระวังหน่อยแล้วกัน บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับหลิ่วถิง……”
ได้ยินประโยคนี้แล้วน้ำเสียงของจี้จิ่งเชินเปลี่ยนไปเป็นเย็นชายิ่งขึ้น
“ผมไม่อยากได้ยินคุณเอ่ยชื่อแม่ผมออกมาแบบนี้ คุณไม่มีค่าพอ”
จี้คางเงียบสนิทขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา
“ขอโทษ…..”
“นี่อาจจะเกี่ยวกับแม่ของเธอ”
จี้จิ่งเชินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด : “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมาเป็นห่วงอยู่แล้ว!”
จี้คางได้ยินแล้ว จึงจำต้องเอ่ยขึ้นมา : “จิ่งเชิน เธอรู้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเธอกับแม่ของเธอ”
“ไม่มีเจตนาร้ายอย่างนั้นหรือ? คุณให้แม่คลอดผมออกมา แล้วขังเธอเอาไว้ในห้องใต้ดินเป็นเวลาสิบสองปีเนี่ยนะ?”
“อย่าว่าแต่นี่จะไม่ใช่วิธีการของคุณเลย ถ้าหากคุณไม่ยอมสักอย่าง ทำไมไม่ช่วยแม่ออกมา?”
จี้คางส่ายหน้า แล้วอธิบายขึ้นอีกครั้ง : “ไม่ใช่ หลังจากที่ตอนนั้นฉันเมา ฉวีช่วยฉินวางยาฉัน ฉันไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาจะมีวิธีการแบบนี้…..”
“ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน แต่ฉันที่อยู่ในตระกูลจี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรได้อยู่แล้ว…..”
จี้คางเอ่ยพูดมาจนถึงตรงนี้แล้ว ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
แต่จี้จิ่งเชินกลับทำเป็นฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาไปเสียอย่างนั้น
สำหรับบิดาทางสายเลือดของตัวเองคนนี้ ในใจของเขานั้น เป็นผู้ชายที่เลวร้ายยิ่งกว่าคนที่ทำผิดในการข่มขืนเสียอีก!
จี้คางรู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะอธิบายอย่างไร เขาก็คงจะไม่เชื่อ จึงทำได้เพียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ : “เรื่องในอดีต มีอีกหลายเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ……”
เขาถอนหายใจออกมา พลางเอ่ย : “ฉันได้บอกในสิ่งที่ฉันรู้กับเธอหมดแล้ว หวังว่าเธอจะระวังตัว อย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับเธออีกก็แล้วกัน”
จี้จิ่งเชินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “ทำไมต้องบอกผมเรื่องนี้?”
“เพราะว่าเธอเป็นลูกชายของฉันไง”
จี้จิ่งเชินเอ่ยพูดอย่างเย็นชา : “จี้ยี่หยันต่างหากที่เป็นลูกชายของคุณ แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้มีพ่อแบบคุณ”
พูดจบแล้วนั้น ไม่รอให้จี้คางได้อธิบาย จี้จิ่งเชินจึงวางสายไปเลยทันที
จี้คางยังอยากจะพูดอะไรอีกนั้น แต่กลับพบว่าทางฝั่งนั้นได้วางสายไปแล้ว
เขาวางสายด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น และกำลังจะหันกลับมานั้น ก็ได้ยินเสียงที่แสดงความโมโหดังขึ้น
“แกกำลังทำอะไร?”
จี้คางตกใจเสียจนรีบหันมา เห็นจี้หยวนวู่ยืนอยู่ทางด้านหลังของตัวเอง
ไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้นานขนาดไหน บทสนทนาของเขากับจี้จิ่งเชินเมื่อครู่นี้ เขาได้ยินไปมากน้อยแค่ไหนกัน?
ในใจของเขาดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที
“พ่อ มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรครับ?”
จี้หยวนวู่มองไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือเขา ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ถ้าหากฉันไม่มา แกก็จะเอาเรื่องของตระกูลจี้ทั้งหมดบอกมันไปแล้วใช่ไหม? แล้วนี่ยังจะมาทำลายแผนของยี่หยันอีกสินะ!”
จี้คางส่ายหน้า : “อย่าให้พวกเขาพี่น้องต้องมาแบกรับเรื่องบุญคุณและความแค้นที่หลงเหลือไว้จากเมื่อก่อนเลยนะครับ จี้จิ่งเชินเขาเองก็…..”
“น่าสงสาร?”
จี้หยวนวู่ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “เขาแย่งทุกอย่างของตระกูลจี้ไป มีอะไรให้ต้องน่าสงสาร?”
เขามองจี้คางที่อยู่ตรงหน้า ด้วยสีหน้าที่เกลียดชัง : “ตอนแรกฉันคิดว่าแกแค่โง่ แต่ไม่คิดเลยว่าแกยังจะขี้ขลาดไร้ความสามารถแบบนี้! แทบไม่ต่างจากผู้หญิงเลย!”
“แม้แต่ช่วยฉินแกยังจะตามเธอไม่ทันเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นทำไมฉันเก็บแกเอาไว้! ฉันจะไม่ยอมให้แกมีโอกาสมาทำลายแผนของพวกฉันหรอก”
จี้คางมองดูสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว รู้สึกตกใจเสียจนต้องถอยหลังไป
“พ่อจะทำอะไร?”
จี้หยวนวู่ยกมือขึ้นเรียกคนมา
“ในเมื่อแกคิดว่าพวกนั้นน่าสงสาร ถ้าอย่างนั้นแกก็ไปดูที่ที่พวกนั้นเคยอยู่กันเสียหน่อยก็แล้วกัน”
พูดจบแล้ว จึงหันไปพูดกับบอดี้การ์ดสองสามคนนั้น : “จับเขาไปขังไว้ที่ห้องใต้ดิน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ก็อย่าให้เขาได้ออกมา!”
สีหน้าของจี้คางเปลี่ยนไปในทันใด
“พ่อจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ?”
จี้หยวนวู่เหลือบมองเขา
“ฉันไม่มีลูกอย่างแก”
พูดจบแล้ว เขาก็หันหลังกลับออกไปทันที
จี้คางอยากจะตามไป แต่กลับถูกบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆขวางทางเอาไว้
ใบหน้าที่เคร่งเครียดของเขา ตำหนิว่าออกมา : “พวกนายใครกล้าแตะต้องตัวฉัน?”
บอดี้การ์ดสองสามคนนั้นมองหน้ากัน แต่พวกเขากลับฟังเพียงแค่คำสั่งของจี้หยวนวู่เพียงเท่านั้น
ใครๆก็รู้ว่าตอนนี้ที่ตระกูลจี้ จี้คางไม่มีอำนาจใดๆทั้งนั้น
พวกเขารีบพาตัวจี้คางไปยังห้องใต้ดิน ขังเขาไว้ในสถานที่ที่เคยขังจี้จิ่งเชินและหลิ่วถิงในตอนนั้น
ภายในห้องที่ไม่ใหญ่มากนักไม่ได้มีคนมาที่นี่เป็นเวลานาน จึงทำให้มีฝุ่นปกคลุมอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
จี้คางมองไปรอบๆ แทบไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนั้นจี้จิ่งเชินและหลิ่วถิงอยู่ที่นี่เป็นเวลานานขนาดนั้นได้อย่างไร
เขาถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“เป็นความผิดของผมเอง เป็นความผิดของผมทั้งหมด….”
ถ้าหากตอนนั้นเขามีความคิด ปฏิเสธความต้องการของพวกเขา ก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้…..
จี้จิ่งเชินที่เพิ่งจะวางสายจากจี้คางไปนั้น
หันกลับมาสั่งพ่อบ้าน : “ต่อไปโทรศัพท์ที่มาจากตระกูลจี้ ไม่ต้องรับ”
พ่อบ้านพยักหน้า แล้วรีบตอบรับ
หลังจากวันนั้น บนมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นก็มีแหวนเพชรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวง
คนในคฤหาสน์ต่างก็รู้กันหมด ถึงเรื่องดีๆของจี้จิ่งเชินและเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ใกล้จะมาถึงนี้
เวลานี้จะต้องไม่ให้คนของตระกูลจี้มาทำให้วุ่นวายได้เป็นอันขาด
เมื่อได้รับคำสั่งจากจี้จิ่งเชินแล้ว พ่อบ้านจึงรีบแจ้งกับคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
ของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลจี้ จะต้องเอาไว้นอกคฤหาสน์ จะต้องไม่ให้มารบกวนจี้จิ่งเชินและเวินเที๋ยนเที๋ยน
สั่งเรื่องนี้แล้ว จี้จิ่งเชินก็หันกลับเดินออกไปทางด้านนอก
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ในสวน กำลังตัดแต่งกำแพงดอกไม้อยู่ในสวนกับคนงาน
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน
จี้จิ่งเชินเห็นท่าทางของพวกเขาแล้ว จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ใบหน้าที่ตึงๆของเขาดูผ่อนคลายลงมาในที่สุด
เขาเดินเข้าไป ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน แล้วโอบเอวของเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้
“เป็นอย่างไรบ้างครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นเขาเข้ามา ถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่นี้ระยะห่างของตัวเองกับคนสวนนั้นอยู่ใกล้กันมากเกินไปแล้ว
เธอจึงรีบเลี่ยงออกมา แล้วมองพิจารณาอาการของจี้จิ่งเชิน ทั้งเป็นกังวลว่าอาการป่วยของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก
ถึงแม้ว่าช่วงนี้ การแสดงออกของจี้จิ่งเชินจะไม่มีความผิดปกติมาโดยตลอดก็ตาม
แต่เรื่องก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่น่าตกใจมากจริงๆ เธอจะไม่รู้สึกกังวลเลยก็คงไม่ได้
คนสวนมองจี้จิ่งเชิน แล้วตกใจ จึงรีบเอ่ยทักทายเขา แล้วออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว
ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ถึงอาการป่วยของจี้จิ่งเชิน
สำหรับเขาแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น
ภายในคฤหาสน์ก็พยายามจะหลีกเลี่ยงที่จะไปแตะต้องเวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นการชั่วคราว นี่เป็นข้อปฏิบัติตามธรรมเนียมอยู่แล้ว
จี้จิ่งเชินเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนมองพิจารณาตัวเองอยู่นั้น จึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น : “อย่ากังวลไปเลยครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า แล้วดึงมือเขาเอาไว้
“ขอโทษนะคะ”
จี้จิ่งเชินส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะ”